พอออกจากบ้านของขวัญระมิงค์และไปส่งญาติผู้ใหญ่แล้ว ประไพกับปักษ์ก็เดินทางไปที่วัดเพื่อขอฤกษ์แต่งงานทันที
“ดูแม่จะตื่นเต้นกว่าผมนะครับ” ปักษ์อดแซวมารดาไม่ได้
“ก็แม่กลัวคนอื่นจะคว้าหนูขวัญตัดหน้าลูกไปน่ะสิ”
“ใครที่ไหนจะกล้าทำแบบนั้นล่ะครับ ในเมื่อขวัญเขารักผม เขาจะแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไง”
“หนูขวัญน่ะรักเรา ดีกับเรา แต่แม่ไม่ไว้ใจพ่อของเธอ แม่สืบรู้มาว่าคุณธนูติดการพนัน เพราะฉะนั้นแม่เลยกลัวว่าถ้ามีคนอื่นมาขอแล้วให้สินสอดมากกว่าเรา เขาจะยกหนูขวัญให้ไปง่าย ๆ”
“โธ่ แม่ นี่ไม่ใช่ละครนะครับ หรือถ้าพ่อของเธอจะทำแบบนั้นจริงๆ ขวัญก็ไม่ยอมหรอก เห็นหัวอ่อน ๆ แบบนั้น เวลาจะดื้อก็ดื้อขาดใจเหมือนกันนะครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจในตัวคนรัก
คนเป็นแม่ยิ้ม “ยังไงก็ตาม แม่ก็ต้องรีบหาฤกษ์ เพราะแม่อยากให้ลูกแต่งงานเร็ว ๆ จะได้มีหลานให้แม่อุ้มเร็ว ๆ ไงล่ะ”
ปักษ์หัวเราะ “ผมสัญญาเลยครับ หลังจากแต่งงานแล้ว ผมจะตั้งใจผลิตหลานให้คุณแม่เต็มที่เลย”
แต่ครั้นไปถึงวัด กราบหลวงลุง แจ้งข่าวเรื่องแต่งงานและขอให้ท่านดูฤกษ์ให้แล้ว ท่านซึ่งดูดวงแบบวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากกลับบอกว่าปักษ์กับขวัญระมิงค์ไม่มีดวงแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาตมาไม่อยากให้โยมทั้งสองยึดมั่นในสิ่งที่อาตมาบอกจนมากเกินไป ฟังเอาไว้เป็นแนวทางก็พอ ที่สุดแล้ว ถ้าทั้งคู่พร้อมจะแต่งงานกันจริง ๆ นั่นเป็นฤกษ์ยามที่ดีที่สุดแล้ว” ท่านสรุปในตอนท้าย
ปักษ์เห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่ประไพคิดต่างออกไป ในเมื่อพระทักแล้ว ก็ควรจะฟังและหาทางออกที่ดีที่สุด
“ถ้างั้นแม่ว่าหมั้นไว้ก่อนมั้ยปักษ์” เธอเสนอลูกชายเมื่อกลับออกมาจากวัดกันแล้ว
“หมั้นเช้าแต่งเย็นนะครับแม่”
“แม่เกรงว่าจะไม่ได้...” น้ำเสียงของคนเป็นแม่เครียดและกังวลหนัก
“ทำไมล่ะครับ ไหนแม่บอกว่าอยากจะมีหลานเร็ว ๆ ไงล่ะ”
“แต่เชื่อหลวงลุงเอาไว้หน่อยก็ดีนะลูก...แม่ว่าหมั้นไว้ก่อนซักปีก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ถือเสียว่าในหนึ่งปีนี้เป็นการเตรียมงานแต่งก็แล้วกัน”
“โห แม่ เป็นปีเลยเหรอ” คนอยากมีเมียโอดครวญ หน้าละห้อย “ผมรักขวัญจนจะบ้าตายอยู่แล้วนะแม่ ผมจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มาเป็นปัญหาระหว่างผมกับขวัญเด็ดขาด” ชายหนุ่มประกาศลั่น และคนเป็นแม่ก็นิ่งไปอย่างใช้ความคิด
“มันต้องมีวิธีแก้สิ”
ในที่สุด บทสรุปก็ออกมาตรงที่หมั้นกันไว้ครึ่งปี โดยที่จะจัดงานหมั้นแบบเงียบ ๆ เป็นการแก้เคล็ด ซึ่งปักษ์ก็พอใจในข้อสรุปนี้ เพราะสิ่งสำคัญสำหรับเขาไม่ใช่พิธีการที่ยิ่งใหญ่อลังการ เขาขอแค่ได้แต่งงานกับหญิงสาวที่เขารักเท่านั้น
งานหมั้นจึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่บ้านของเจ้าสาวในอีกสองเดือนต่อมา ซึ่งมีเพียงคนในครอบครัวและญาติสนิทเท่านั้น
งานหมั้นเสร็จสิ้น แขกทุกคนทยอยกลับกันเรื่อย ๆ เหลือว่าที่เจ้าบ่าวเป็นคนสุดท้าย
“พี่ดีใจที่สุดเลย ที่ในที่สุดความฝันของเราก็เป็นจริงครึ่งหนึ่งแล้ว” เขาเอ่ยกับขวัญระมิงค์ที่เดินออกมาส่งเขาหน้าบ้าน
“ขวัญก็ดีใจค่ะ” แล้วเธอก็ยกมือข้างซ้ายขึ้น กรีดนิ้วออก มองแหวนเพชรเม็ดใหญ่ที่นิ้วนางของตนด้วยความสุข
“เสียดายอย่างเดียว อีกตั้งครึ่งปีกว่าจะได้แต่งงาน” ปักษ์ทำหน้าเซ็ง
“ครึ่งปีก็แป๊บเดียวค่ะ” เธอมองหน้าเขาด้วยดวงตาฉ่ำหวาน ริมฝีปากที่เคลือบสีชมพูหวานแย้มออกแต่เพียงน้อย “อ้อ เย็นนี้ ขวัญนัดเพื่อน ๆ ไปเลี้ยงฉลองกันนะคะ พวกเขาอยากเจอพี่ปักษ์กันทั้งนั้นเลยค่ะ”
“ได้สิจ๊ะ เดี๋ยวพี่พาเพื่อน ๆ พี่ไปร่วมด้วยดีมั้ย ปิดร้านฉลองเลย”
นัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ปักษ์ก็ขอตัวกลับก่อน แล้วบอกว่าตอนเย็น จะมารับ
ขวัญระมิงค์มองตามร่างสูงของชายผู้เป็นคู่หมั้นด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความสุข ความสมหวัง เธอยกมือขึ้นมากรีดเพื่อชมความงามของแหวนเพชรอีกครั้ง แล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าบ้าน