งานหมั้นเสร็จเรียบร้อย ขวัญระมิงค์ก็เริ่มเดินหน้าจัดการเรื่องแต่งงาน โดยเธออยากจัดงานในโรงแรมระดับห้าดาว กลางใจกรุงเทพ แต่ปรากฏว่าวันดังกล่าว โรงแรมไม่ว่าง เธอเริ่มใจเสีย เริ่มงอแง แม้ว่าปักษ์จะเสนอโรงแรมอื่น เธอก็ไม่สน
“ขวัญเผลออวดกับเพื่อน ๆ ไปแล้วน่ะค่ะว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมนี้แน่นอน” เธอสารภาพกับเขาด้วยน้ำตา “ถ้าไม่ได้จัดที่นี่ขึ้นมาจริง ๆ ขวัญก็จะกลายเป็นคนขี้โม้ในสายตาคนอื่น”
“แต่เราจะบอกให้ทางโรงแรมยกเลิกงานคนอื่นเพื่อจัดงานเรามันก็ไม่ได้นี่จ๊ะขวัญ” ปักษ์เตือนความจริงในข้อนี้ “เว้นแต่ว่าเราต้องเลื่อนวันแต่งงานออกไป ซึ่งพี่ก็ไม่อยากเลื่อน พี่อยากแต่งงานกับขวัญเร็ว ๆ”
“เลื่อนออกไปอีกซักเดือนก็ได้มังคะพี่ปักษ์ ถือว่าให้เวลาขวัญในการเตรียมตัวเพิ่มขึ้นไงคะ” หญิงสาวเงยหน้ามองเขาอ้อนวอน น้ำตายังไม่หยุดไหล “นะคะ ๆ ขวัญจะเสียหน้าเรื่องสถานที่แต่งไม่ได้ งานหมั้นก็จัดเล็ก ๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง งานแต่งยังจะเล็ก ๆ อีกเหรอคะ อายเขาตายเลย นะคะ นะ พี่ปักษ์”
เจอน้ำเสียงออดอ้อนออเซาะเข้าไป ปักษ์ก็ใจอ่อนยวบ
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ว่าที่บ่าวสาวมีปัญหากัน ทำให้ทะเลาะกันหลายครั้ง จนปักษ์เผลอบ่นให้ไปรยาได้ยิน ซึ่งน้องสาวเขาก็ได้แต่ปลอบใจ
“บางคู่ถึงขั้นเลิกกันไปเลยนะพี่ปักษ์ ฉะนั้น ถ้าพี่ไม่อยากเลิก อะไรที่พอจะยอม ๆ หยวน ๆ ได้ก็ยอมพี่ขวัญเขาไปเถอะค่ะ งานแต่งมันสำคัญมากสำหรับผู้หญิงนะพี่ เขาก็อยากให้งานครั้งเดียวในชีวิตเขาออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดนั่นแหละ”
ปักษ์ถอนหายใจยาว ๆ ออกมาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยเหมือนรำพึงกับตัวเอง “พี่รู้สึกว่าขวัญเขาแปลกไปยังไงไม่รู้”
“ไม่แปลกหรอกค่า เจ้าสาวส่วนมากก็แบบนี้แหละ เขากลัวงานออกมาไม่ดีไง” คนน้องอธิบาย
“พี่ไม่รู้จะบอกปุ๊ยังไงดี พี่รู้แต่ว่าเขาไม่เหมือนคนที่เคยดูแลพี่น่ะ” ปักษ์มีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังจนคนเป็นน้องต้องเขม้นมองอย่างพิจารณา
“มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเตรียมงานแต่งเหรอคะ”
ปักษ์พยักหน้า
“อือ...แต่เรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวหรอก แต่พี่รู้สึกรวม ๆ ว่าเขาไม่เหมือนเดิม...” อ้าปากจะบอกว่า บางทีเขาก็รู้สึกห่างเหินกับขวัญระมิงค์แปลก ๆ แต่ก็ตัดสินใจไม่พูด เพราะจะกลายเป็นคนหยุมหยิม จึงรีบปัดความรู้สึกออก แล้วเอ่ยต่อ
“แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวผ่านช่วงนี้ไป เราอาจปรับตัวเข้าหากันได้มากขึ้นก็ได้” ตอนท้ายเขาตั้งใจบอกตัวเองนั่นละ ว่าอย่าคิดมากให้บั่นทอนความรู้สึกที่มีต่อคู่หมั้นเลย ให้นึกถึงช่วงที่เขาตาบอดแล้วเธอก็คอยดูแลเขาเอาไว้ให้มาก ๆ เพราะถ้าไม่มีเธอ เขาก็คงผ่านช่วงเวลาเลวร้ายแบบนั้นไม่ได้
เช้าวันนี้คุณหมอนัดปักษ์เพื่อไปเช็คดวงตาตามรอบว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า มีภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นหรือไม่ และการมองเห็นเป็นปกติไหม
ชายหนุ่มไปโรงพยาบาลคนเดียว เพราะขวัญระมิงค์ติดธุระ มาเป็นเพื่อนไม่ได้ แม่ของเขาก็มีงานสำคัญที่สมาคมของแม่ ส่วนไปรยา พอเขากลับเข้าไปทำงานที่บริษัท เธอที่บริหารงานแทนเขามาตลอดปีกว่า ๆ ก็ขอลาพักร้อน โดยการไปเที่ยวเมืองนอก
ขั้นตอนการตรวจเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่เดินไปยังรถที่จอดอยู่บริเวณลานจอดทางด้านหลังโรงพยาบาล เขาก็คุยโทรศัพท์กับคู่หมั้นไปด้วย
“จ้ะ พี่ตรวจเสร็จแล้ว นี่ขวัญอยู่ไหน พี่ไปหาได้มั้ย”
“อุ๊ย อย่าดีกว่าค่ะ ขวัญอยู่แต่กับเพื่อนผู้หญิง เกรงว่าพี่ปักษ์จะอึดอัดเปล่า ๆ เอาไว้ขวัญค่อยโทร.หานะคะ” แล้วปลายสายก็ตัดไป ปักษ์ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความน้อยใจเล็ก ๆ ที่เธอไม่ถามไถ่อาการเขาสักคำว่าเป็นอย่างไรบ้าง
และเพราะมัวแต่ก้มลงมองมือถือนั่นเอง ทำให้ปักษ์ชนเข้ากับร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนมาเต็มแรง ข้าวของของเธอหลุดมือ ร่างของเธอล้มลงไปกับพื้น
“โอ๊ะ ขอโทษครับ” ปักษ์อุทานด้วยความตกใจ รีบนั่งลงเพื่อถามอาการของเธอ “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ หันมองของของตนที่ตกอยู่บนพื้นไม่ไกลจากตรงนั้นนัก ซึ่งเป็นถุงยาของโรงพยาบาลนั่นเอง เห็นอย่างนั้นปักษ์ก็เอื้อมมือไปหยิบให้ จากนั้นยื่นคืนให้เธอ “นี่ครับ ถุงยาของคุณ”
“ขอบคุณค่ะ” เสียงตอบกลับมานั้นหวานระรื่นหูและคุ้นเคยยิ่งนัก ปักษ์เงยหน้าขึ้นมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอเองก็เงยหน้ามามองเขาเข้าพอดีเหมือนกัน แล้วปักษ์ก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจล้นพ้น!
“อ้าว ขวัญ! มาได้ไง ไหนบอกว่าอยู่กับเพื่อนไง แล้วทำไมวาร์ปมาได้เร็วนักล่ะ” พูดจบเขาก็พยายามประคองร่างเธอให้ลุกขึ้นยืน ส่วนหญิงสาวนั้นหน้าตาตื่น มองเขาเหมือนเห็นสิ่งแปลกประหลาด เธอรีบคว้าถุงยาจากมือเขาแล้วก็หมุนตัวเดินลิ่ว ๆ จากไป สร้างความงุนงงให้แก่ปักษ์อย่างที่สุด ชายหนุ่มก้าวตามทันที