ภายในแท็กซี่คันนั้น
หญิงสาวที่หน้าเหมือนขวัญระมิงค์ราวกับแกะนั่งอยู่ทางเบาะหลัง มือประสานกันบนตัก สีหน้าของเธอเศร้าสร้อย เธอเอนกายพิงพนัก พลางลูบท้องตัวเองเบา ๆ
ระหว่างนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอที่อยู่ในกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้น เธอถอนหายใจยาว ๆ เบา ๆ ครั้งหนึ่งก่อนเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา
“ปิ๊งท้องเหรอ ท้องกับใครน่ะ” ทันทีกดรับ คำถามตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความหวาดระแวงจากแฝดน้องของเธอก็ดังขึ้น
หญิงสาวเงียบ อีกฝ่ายจึงถามย้ำ
“ว่าไงปิ๊ง ท้องกับใคร?”
“ถามแบบนี้เหมือนด่าว่าปิ๊งเป็นพวกมั่วเลยนะ” แล้วเธอก็หัวเราะสนุกกลับไป “ปิ๊งก็ท้องกับแฟนปิ๊งสิ”
“ปิ๊งมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงแปลกใจ “อ้อ หรือว่ามีเมื่อสามเดือนที่แล้ว แหม...ไวไฟเหมือนกันนะเนี่ย...ตกลงท้องกับแฟนใช่มั้ย”
“ปิ๊งไม่ใช่คนมั่วไปทั่ว” น้ำเสียงของเธอจริงจังและห้วนขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็แล้วไป นึกว่าจะท้องกับ...คนอื่นเสียอีก แล้วนี่บอกพ่อหรือยัง”
“ยังจ้ะ เดี๋ยวค่อยบอก” น้ำเสียงนั้นเหินห่างเหมือนไม่ได้คุยเรื่องสำคัญ เธอก็เหมือนแฝดน้องนั่นละ ที่ไม่เคยรู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะแม่บอกว่าพ่อตายไปแล้ว ไม่เคยรู้กระทั่งว่าตัวเองมีน้องสาวและเป็นฝาแฝด จนกระทั่งแม่เสียชีวิต แล้วในรายชื่อผู้รับเงินประกันรวมถึงมรดกอื่น ๆ มีชื่อขวัญระมิงค์ เธอถึงให้ทนายติดต่อหาพ่อให้พาน้องสาวเธอมาร่วมงานศพและรับทราบถึงมรดกที่เจ้าตัวจะได้
เธอรอเวลาที่จะได้พบพ่อพบน้องสาวด้วยใจจดจ่อ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง พ่อกับน้องมองเธอเหมือนคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอ้อมกอดจากพ่อ ไม่มีกระทั่งรอยยิ้ม เธอจำได้ดีกว่าตัวเองเก้อเพียงไหนที่ตั้งท่าจะถลาเข้าไปกอด แต่พ่อกลับขยับหนีเล็กน้อย มองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า เช่นเดียวกับขวัญระมิงค์ที่ทักทายเธอเหมือนเป็นแขกมาร่วมงานคนหนึ่ง
“แล้วจะแต่งงานเมื่อไหร่” ขวัญระมิงค์ถามขึ้นอีก
“คงไม่แต่ง”
“อ้าว ทำไมอะ”
“เก็บเงินไว้เลี้ยงลูกดีกว่า”
“ว้า เสียดาย น่าจะได้จัดพร้อมกัน เก๋ดีนะ พี่น้องฝาแฝดแต่งงานพร้อมกัน ภาพต้องออกมาน่ารักแน่ ๆ เลย เอางี้มั้ย มาจัดด้วยกันเลยมั้ยล่ะ พ่อเขาจะได้เหนื่อยทีเดียว...” น้ำเสียงของขวัญระมิงค์ฟังสดใสยิ่งนัก
“ปิ๊งไม่จัดหรอกจ้ะ”
“โอเค ๆ ไม่จัดก็ไม่จัด นี่แสดงว่าได้แฟนจนเหรอ งั้นก็ดีแล้วละ สู้เก็บเงินไว้ใช้ดีกว่าเนอะ จะให้แฟนปิ๊งมาจัดงานยักษ์เหมือนพี่ปักษ์ก็คงไม่ได้ งั้นแค่นี้ก่อนนะ แล้วเดี๋ยวขวัญจะบอกพ่อให้ก็แล้วกัน” แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป พิงค์ลานนาได้แต่ยิ้มค้างกับโทรศัพท์...
หญิงสาวบอกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ บ้านเพื่อซื้อของใช้และของบำรุงครรภ์ จากนั้นจึงกลับบ้าน ซึ่งก็ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะฝ่ารถติดมาถึง เนื่องจากบ้านของเธออยู่ชานเมืองกรุงเทพที่บริเวณรอบ ๆ ยังเป็นทุ่งนาและที่ดินรกร้าง ภายในหมู่บ้านมีบ้านอยู่เพียงสิบกว่าหลังคาเรือนเท่านั้น
ตัวบ้านมีสองชั้น ด้านล่างเป็นใต้ถุนโล่ง ๆ แบบบ้านสมัยก่อน มีชุดเก้าอี้รับแขก มีโต๊ะทานข้าวและมีห้องครัว
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ หนูปิ๊ง วันนี้ทำไมเลิกเร็ว” เสียงทักถามจากข้างบ้านดังขึ้น แกเป็นหญิงวัยเลยกลางคน ร่างท้วม ผิวขาว แต่งตัวด้วยชุดอยู่บ้านลายดอก ท่าทางใจดี
“หนูไม่ค่อยสบายค่ะ เลยขอเจ้านายกลับมาพักก่อน”
“อ้าว เป็นอะไรมากหรือเปล่า แล้วนี่หาหมอหรือยังจ๊ะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ หมอให้ยามากิน เดี๋ยวนอนพักก็คงจะดีขึ้น”
“หนูน่ะ ทำงานหนักไปหรือเปล่า ป้าลุกมาเข้าห้องน้ำตอนดึก ๆ ทีไร เห็นไฟเปิดสว่างทุกที”
“พอดีงานเร่งนิดหน่อยน่ะค่ะ ยังไง หนูขอตัวก่อนนะคะป้า”
ขอตัวจากแกแล้ว เธอก็รีบเดินเข้าบ้าน จงใจซ่อนไม่ให้แกเห็นพวกนมและของบำรุงครรภ์อื่น ๆ
วางของลงบนโต๊ะในส่วนห้องครัว ยังไม่ทันจะได้จัดเข้าชั้น โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้จากพ่อ
“ค่ะ พ่อ”
“ยายขวัญบอกว่าแกท้องแล้วจะไม่จัดงานแต่งงานเหรอ? ไม่ได้นะ ยังไงผู้ชายก็ควรมีค่าสินสอดให้แก จะมากจะน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”
พิงค์ลานนาเงียบและลอบถอนหายใจเบา ๆ
“ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า” พ่อกรอกเสียงลงมาอีก
“ได้ยินค่ะ”
“ได้ยินแล้วก็รีบจัดการซะ ให้เร็วที่สุดด้วย ก่อนที่ท้องแกมันจะป่องออกมาประจานตัวเอง ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว โทร.บอกฉันด้วย”
“พ่อคะ จะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้นหรอกค่ะ”
“ทำไม? ผัวแกมันจนมาก ไม่มีปัญญาหาเงินมาแต่งหรือไง นี่แหละนะ อยู่กับแม่แกก็เลยโง่เหมือนแม่แกนั่นแหละ ไม่รู้จักหาผัวรวย ๆ เหมือนขวัญมัน รู้มั้ยขวัญน่ะเขาได้สินสอดเป็นสิบล้านเลยนะ หัดฉลาดหาผู้ชายให้เหมือนน้องหน่อยสิ”
“แค่นี้นะคะพ่อ” พูดจบเธอก็ชิงวางสาย น้ำตาเอ่อออกมาออที่หัวตา แต่เธอรีบกรีดมันทิ้ง แล้วหันไปหยิบของจัดเข้าชั้นให้เรียบร้อย...
เย็นนั้น ปักษ์ออกไปทานข้าวกับขวัญระมิงค์ข้างนอก ทั้งที่ใจจริงแล้วเขาอยากไปทานที่บ้านของเธอมากกว่าเนื่องจากห่วงว่าบิดาของเธอจะเหงา แต่หญิงสาวก็บอกว่าพ่อเองก็ออกไปกับเพื่อน ๆ ของพ่อเหมือนกัน
“วันนี้ตอนเห็นคู่แฝดขวัญพี่แทบช็อกแน่ะ” ระหว่างรออาหาร ปักษ์อดเอ่ยถึงหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้ “แล้วตอนขวัญรู้ว่าตัวเองมีแฝด รู้สึกไงบ้างอะ”
“ก็ไม่ไงนะคะ แค่รู้สึกแปลกนิดหน่อยที่มีคนหน้าเหมือนเรามากขนาดนี้” หญิงสาวเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนเอียงคอมองเขาแล้วถาม “ถ้าเจอปิ๊งอีกจะแยกออกมั้ยคะว่าเป็นขวัญหรือปิ๊ง”
“พี่แน่ใจว่าพี่แยกออก เพราะพอนึกย้อนกลับไปก็จำได้ว่าเธอแต่งตัวคนละแนวกับขวัญเลย”
ขวัญระมิงค์พยักหน้า “ใช่ค่ะ ปิ๊งเขาจะเชย ๆ หน่อย เพราะเมื่อก่อนเขาทำงานอยู่กับบ้าน เลยแต่งตัวไม่ค่อยเป็น”
ปักษ์พยักหน้ารับทราบ พลางก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างไปด้วย ขณะที่ขวัญระมิงค์เล่าต่อเสียงเจื้อยแจ้ว
“จะว่าไปก็สงสารปิ๊งเขาอยู่เหมือนกันนะคะ ตอนอยู่กับแม่ค่อนข้างลำบาก เพราะแฟนใหม่แม่นิสัยเลวมาก บังคับให้แม่เอาที่ดินไปจำนอง แล้วก็ไม่มีเงินไปไถ่ จนหลุดจำนอง พอแม่ตาย เจ้าของที่ก็ไล่ออก เลยต้องตระเวนหาบ้านใหม่”
“แล้วเขาไม่มาอยู่กับขวัญกับพ่อเหรอ” ปักษ์ถามด้วยความสงสัย