หลังจากที่เคลียร์งานในครัวเสร็จบุญรักษากับคนงานทั้งสองบ้านก็ถือโอกาสตั้งวงกินหมูกระทะกันตอนสองทุ่มหน่อยๆ พอกินไปได้ครึ่งชั่วโมงปริญก็เดินออกมาหาพวกเธอ
“น้าใจมีอะไรให้ผมกินไหมครับ อืม หมูกระทะก็น่าสนใจนะครับ หอมเชียว”
“คุณโปรดกินไหมคะ เดี๋ยวน้าจัดการให้”
“เอ่อ น้าใจกินต่อเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวบุญษาทำให้คุณโปรดเอง” เห็นทุกคนกำลังกินอร่อยเธอก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเบรก ยิ่งกับน้าใจที่ชอบกินหมูกระทะเป็นชีวิตจิตใจ
“เออๆ งั้นฝากเอ็งด้วยแล้วกัน”
บุญรักษาเลยลุกจากวงแล้วเข้าครัวไปเตรียมวัตถุดิบให้เขา มีหมูซึ่งหมักเผื่อไว้ในตู้เย็น กุ้ง หมึกที่ต้องล้างใหม่ หั่นผักเพิ่ม ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็เรียบร้อย ปริญก็น่าจะกินประมาณนี้
“คุณโปรดให้บุญษาตั้งโต๊ะที่ไหนคะ”
“หลังบ้านก็ได้”
บุญรักษายกเสบียงไปที่โต๊ะหลังบ้าน ต่อปลั๊กพ่วงและเปิดหม้อย่างไฟฟ้าให้เขา เทน้ำให้แล้วก็คีบมันหมูขึ้นวางบนกระทะให้ด้วย
“เอ่อ คุณโปรดเอาอะไรเพิ่มไหมคะ”
“ในตู้เย็นมีเบียร์ไหม”
“เดี๋ยวบุญษาไปดูให้นะคะ” ซึ่งมันก็มีสิ่งที่เขาต้องการ เธอเลยเอาน้ำแข็งใส่กระติก พร้อมเบียร์สองขวดไปหาเขา ตักน้ำแข็งใส่แก้ว รินเบียร์ให้
“แล้วเมื่อกี้กินอิ่มหรือยัง”
“อิ่มแล้วค่ะ” จะให้ตอบว่ายังไม่อิ่มจะไปกินต่อก็ไม่รู้จะยังไง
“งั้นนั่งเป็นเพื่อนสิ ขี้เกียจคีบขึ้นย่าง...อืม เธอเองก็กินเป็นเพื่อนน่าจะดีกว่า”
แม้อาจจะดูเหมือนปกติที่ปริญจะอยากมีคนนั่งกินเป็นเพื่อน ตอนนี้เธอก็อยู่ใกล้เขาที่สุด แต่ความที่ตัวเองมีชนักติดหลัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าปริญตั้งใจแกล้งเลยทำให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ก็ต้องยอมนั่งกินหมูกระทะเป็นเพื่อนเขา เธอเองก็ยังหิวอยู่เหมือนกัน
บุญรักษาคีบหมูปิ้งย่างบนเตา พลิกให้เขาด้วยเหมือนที่เคยทำให้ปกติ เหลือแค่คีบใส่จานให้นั่นแหละ แต่คงไม่ทำให้หรอก แม้จะรู้สึกว่าปริญไม่ยอมคีบหมูใส่จานเองเสียที
“คุณโปรด หมูมันจะไหม้แล้วนะคะ” แต่สุดท้ายก็ต้องทักหน่อย จะคีบใส่แต่จานตัวเองจนหมดก็ยังไงอยู่ เหมือนกดดันเธออย่างไรไม่รู้ แต่บุญรักษาก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อีกฝ่ายชักสีหน้าเหมือนหงุดหงิดไม่พอใจก่อนจะคีบหมูใส่จานเอง
เป็นการกินหมูกระทะที่บรรยากาศตึงๆ ไม่มีใครพูดใครจา ปกติเขายังหาเรื่องแหย่เธอเล่นอยู่บ้าง แต่บุญรักษาก็ทำเป็นไม่สน...ไม่ง้อ นั่งกินกันไปสักพักแม่ของเขาก็เดินออกมาหาปริญข้างนอก บุญรักษาก็ทำตัวไม่ถูก เธอควรจะมีคำอธิบายแบบไหนให้รุ้งรดาดีล่ะ
“ทำไมได้ให้น้องมากินเป็นเพื่อนล่ะ แทนที่เขาจะได้ฉลองกัน” มาถึงก็บ่นลูกชาย ปริญก็ชักสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“ก็เขาบอกว่าอิ่มแล้ว...ไม่มีเพื่อนกินเลยให้กินเป็นเพื่อน”
“เดี๋ยวแม่กินเป็นเพื่อนเอง อยากกินหมูกระทะเหมือนกันแต่สองคนนั้นไม่ยอมกินด้วย” หมายถึงพี่ชายกับพี่สะใภ้
“เดี๋ยวบุญษาไปเอาจานมาให้นะคะ” เธอเก็บจานของตัวเองด้วย แต่รุ้งรดาก็ห้ามไว้
“บุญษาก็กินด้วยกันนี่แหละจ้ะ” เธอต้องวางจานของตัวเองไว้ตามเดิมแล้วไปหาจานมาเผื่อรุ้งรดา
“คุณรุ้งรับเป็นน้ำเปล่า น้ำอัดลมหรือเบียร์ดีคะ”
“ฉันกินเบียร์เป็นเพื่อนลูกชายก็ได้จ้ะ”
เธอรินเบียร์ให้เจ้านาย แล้วค่อยนั่งลงย่างหมูต่อ แม้จะเคยร่วมโต๊ะกับรุ้งรดาบ้างนานๆ ครั้งแต่ก็ยังมีความเกรงใจเสมอ สถานะของเธอกับรุ้งรดาดูจะมีความพิเศษอยู่เล็กน้อย อีกฝ่ายเอ็นดูเธอมากกว่าแค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง อาจเพราะไม่เคยมีลูกสาว...และไม่คิดจะมีสามีมีลูกอีก ทั้งวัยที่ใกล้เคียงกับลูกชายตัวเอง ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แบบที่ปริญชอบข่มชอบรังแกอีกฝ่ายบ้าง...แต่ตอนไปโรงเรียนก็ช่วยดูแลน้อง ใครมาแกล้งก็ตามจัดการให้หมด ไม่รู้เพราะมีนิสัยชอบหาเรื่องคนอื่นอยู่แล้วเลยมีข้ออ้าง...หรือจะอารมณ์น้องเขาเขาแกล้งได้คนเดียวก็ไม่รู้
ปริญชอบแกล้งชอบหาเรื่องบุญรักษามาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ยังเล่นด้วยกันได้ แต่ไม่เคยทำอะไรรุนแรง จนมาตอนโตนี่แหละที่รุ้งรดาต้องจัดการ และตอนนี้มันเป็นเวลาที่เหมาะสม
“บุญษายังต้องไปมหาวิทยาลัยอีกไหมจ๊ะ”
“เอ่อ สัปดาห์หน้ายังไปอยู่ค่ะ แล้วก็รอผลสอบ เดินเรื่องจบ”
“ออ อีกหน่อยก็กลับมาอยู่บ้านแล้วสิ” รุ้งรดาลอบสังเกตลูกชายตัวเอง แต่อีกฝ่ายก็ทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้แนบเนียน
“ค่ะ บุญษาว่าจะคืนห้องสิ้นเดือนนี้ กำลังค่อยๆ เก็บของอยู่”
“อืมดีแล้ว...ที่ฉันเรียกกลับมาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย ยังไงบุญษาก็ถือว่าเรียนจบแล้ว แม่คิดว่าแม่ควรจะจัดการอะไรๆ ให้ถูกต้องได้เสียที ว่าไหมโปรด” ประโยคหลังหันไปมองลูกชายตัวเอง ขณะที่ฝั่งบุญรักษาหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม หวาดหวั่นในสิ่งที่รุ้งรดากำลังบอกว่ามันอาจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับปริญ
“แม่จะให้โปรดแต่งงานกับน้องทันทีที่น้องเรียนจบ”
บุญรักษาทั้งตกใจทั้งแปลกใจ เธอคิดว่าวันหนึ่งรุ้งรดาอาจจะรู้ แต่เรื่องแต่งงานมันไม่เคยอยู่ในจินตนาการของเธอเลย
ปริญนิ่งไปในตอนแรก ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดมุ่นแทบจะชนกัน
“นี่แม่เล่นมุกอะไร”
“จะมามุกอะไรล่ะโปรด โปรดควรต้องรับผิดชอบสิ่งที่โปรดทำ แบบที่ผู้ชายคนหนึ่งควรทำ อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ ไม่รู้ทันเรานะโปรด ที่ให้น้องออกไปอยู่ข้างนอกตอนเรียนก็เข้าทางตัวเองทั้งนั้น”
เหมือนปริญจะอึ้งไปแค่เสี้ยววินาทีที่มารดารู้ทัน ก่อนจะไหวไหล่เหมือนไม่แคร์ เขาคิดอยู่แล้วว่าแม่ต้องรู้ ยังคิดอยู่เลยว่าทำไมถึงทำเป็นไม่รู้ ที่แท้มีแผนจะจับเขาแต่งงานกับเด็กคนนี้นี่เอง
“มันก็เป็นแผนของแม่เหมือนกันหรือเปล่าครับที่ทำเป็นไม่รู้มาตั้งนาน เพื่อจะจับผมแต่งงานกับเด็กนี่น่ะ”
“แม่ไม่จับแต่งตั้งแต่โปรดย่องเข้าห้องน้องก็ดีแค่ไหน”
“ใครย่อง บุญษาขึ้นมาหาผมที่ห้องเองต่างหาก” เถียงอย่างปากไวและไม่คิดจะแคร์อะไรเธออยู่แล้ว แต่มันทำให้บุญรักษาที่ตอนนี้อ่อนไหวมากกว่าปกติรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นๆ มาสาดหน้าจนชา
“เอ๊ะ ลูกคนนี้พูดอะไรไม่รับผิดชอบ” มันก็ทั้งเคยย่องเข้าห้องเธอ ทั้งเรียกให้เธอมาหาที่ห้องนั่นแหละ แต่ตอนนั้นก็ทำอะไรๆ ไม่ได้สะดวกนัก เลยวางแผนให้เธอไปเรียนแล้วรับปากจะส่งเสียเองนั่นไง
“แม่อย่าหัวโบราณน่า ผมไม่ได้บังคับขืนใจเขาเสียหน่อย เราก็วินๆ กันทั้งคู่ ผมก็ดูแลเขาอย่างดี ส่งเสียเรียนจนจบ จะเอาอะไรอีก”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้บังคับ โปรดน่าจะรู้แก่ใจตัวเองดี รู้จักไหมอำนาจนิยมน่ะ น้องจะไปกล้าหืออะไรกับโปรดล่ะ ข่มเขามาแต่เด็ก อีกอย่างตอนนั้นบุญษายังเด็ก เราโดนพรากผู้เยาว์ได้เลยรู้ไหม”
“ไม่โดนครับ เด็กนี่สิบแปดแล้ว...สิบเก้าด้วยซ้ำ” เขาจำเหตุการณ์นั้นได้ขึ้นใจ...ถ้าไม่รวมที่เขารุ่มร่ามตอดเล็กตอดน้อยน่ะนะ
รุ้งรดาชักสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจกับความหน้ามึนของลูกชาย เธอเลยหาเรื่องมาขู่เขาแบบส่งๆ
“แม่ต้องตัดโปรดออกจากกองมรดกดีไหม” ทั้งรุ้งรดาทั้งลูกชายต่างก็รู้กันดีว่าเธอแค่พูดไปอย่างนั้น แต่กับคนนอกอย่างบุญรักษาที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ ยิ่งเห็นเขาทำหน้าไม่พอใจแล้วฮึดฮัดลุกออกจากโต๊ะก็ยิ่งใจเสีย
“แม่อย่าคิดว่าจะบังคับผมได้เลย ผมไม่แต่งกับเด็กคนนี้หรอก ฝันไปเลย” ทิ้งถ้อยคำบาดหัวใจไว้เจ้าตัวก็เดินหนีเข้าบ้าน แม้จะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่เคยคู่ควร และวันหนึ่งปริญก็ต้องมีคนรักที่เหมาะสมกับเขา แต่พอถูกเขาพูดใส่หน้าในสถานการณ์ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจให้เจ็บจนแทบจะทนไม่ไหว
“เฮ้อ ลูกชายคนนี้นี่” รุ้งรดาส่ายหน้าให้ลูกชายตัวเอง หันมาหาเธอ อารมณ์บนสีหน้าปรับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใจดีอย่างรวดเร็ว
“บุญษาไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวฉันจัดการตาโปรดเอง”
“คุณรุ้งคะ บุญษาคิดว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้”
“บุญษาเชื่อฉันเถอะจ้ะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
บุญรักษารู้สึกโกรธตัวเองจริงๆ ที่ไม่เคยขัดแย้งกับใครได้แม้แต่เรื่องของตัวเอง อยู่กับปริญก็ไม่เคยขัดเขา อยู่กับรุ้งรดาก็ไม่กล้าขัดผู้มีพระคุณอีก เธอไม่รู้ว่ารุ้งรดาจะไปกดดันปริญแบบที่ขู่ไว้เมื่อกี้หรือเปล่า แล้วถ้าเป็นแบบนั้นปริญที่ไม่ชอบเธออยู่แล้ว จะยิ่งไม่เกลียดขี้หน้าเข้าไปใหญ่อีกเหรอ เธอจะแต่งงานกับเขาในสภาพนี้ได้อย่างไร