มะนาว…
“แล้วแกจะกลับมาวันไหน” ฉันเอ่ยถามเพื่อนรักขณะนอนกลิ้งไปมาบนเตียงคุยโทรศัพท์กับนาง
[อีกหลายวันเลยล่ะ โทษทีนะแกช่วงนี้ฉันยุ่ง ๆ น่ะ] เพื่อนรักพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกแกฉันเข้าใจ แกเพิ่งแต่งงานนี่นาก็ต้องมีหลายอย่างให้ทำ”
[เดี๋ยวฉันกลับกรุงเทพเมื่อไหร่เราไปตี้กัน สุขสันต์วันเกิดนะแกเอาไว้ขากลับฉันจะแวะเอาของขวัญไปให้]
“ขอบใจมากแก ขากลับก็เดินทางกันดี ๆ ล่ะ”
[อื้ม] ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
ฉันกดวางสายจากเพื่อนรักก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย วันนี้เป็นวันเกิดของฉันแต่กลับรู้สึกไม่มีอะไรตื่นเต้นเอาเสียเลย แม่ของฉันเพิ่งเดินทางไปต่างประเทศเมื่อเช้านี้ ส่วนยัยมัดหมี่เพื่อนรักก็พาสามีกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด เพื่อนคนอื่น ๆ ก็เพิ่งเริ่มงานกันทำให้ไม่มีเวลามาเจอกัน
“ไม่มีใครว่างเลยแฮะ” ฉันพึมพำเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมา “ทำไมคนที่มีพร้อมทุกอย่างอย่างเราถึงต้องมานั่งเหงาแบบนี้ด้วยนะ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลยสักนิด นี่เราใช้ชีวิตสบายเกินไปหรือเปล่า”
หลังจากเรียนจบเพื่อน ๆ หลายคนก็เริ่มแยกย้ายกันไป อย่างที่รู้ว่าหลายคนเลือกที่จะเรียนต่อ หลายคนเลือกที่จะทำงานและหลายคนตัดสินใจแต่งงานสร้างครอบครัวและลงมือทำธุรกิจส่วนตัวกัน ทำให้ต่างคนต่างไม่มีเวลามาเจอมาสังสรรค์กันเหมือนเมื่อก่อน แต่ฉันนี่สิ…
“หรือมันถึงเวลาที่เราต้องเริ่มช่วยงานแม่แล้วจริง ๆ” ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่บ่งบอกว่าสองทุ่มกว่าแล้ว “ไหน ๆ ก็จะเริ่มทำงานทำการเหมือนคนอื่นแล้ว งั้นสายปาร์ตี้อย่างเราก็ขอเที่ยวในวันเกิดตัวเองให้สุด ๆ สักวันแล้วกัน”
เวลาต่อมา…
ร้านเหล้าหลังมหา'ลัย A…
♪ ♬ ♫ ♬ เสียงดนตรีสดในร้านเหล้าเจ้าประจำหลังมหา'ลัยไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นสักนิด การที่คนคนหนึ่งจะปรับตัวได้มันต้องใช้เวลา อย่างเช่นฉันที่ไม่เคยเหงาในทุกเทศกาลหรือวันสำคัญ แต่วันหนึ่งต้องเจอกับอะไรแบบนี้มันก็อธิบายความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกัน ไหนต่อไปจะต้องเริ่มทำงานทำการอย่างจริงจังจนต้องล้มเลิกความคิดที่จะไปเป็นพนักงานบริษัทฯ อื่นก็ด้วย
“รู้งี้ฉันน่าจะขอเบอร์ติดต่อนายนั่นเอาไว้ เหงาเป็นบ้าเลยแฮะ” อยู่ ๆ ใบหน้าคมคายของใครบางคนก็ลอยมา “แต่ตอนเราออกจากบ้านแล้วมองไปบ้านของนายนั่น ก็ไม่เห็นว่าจะเปิดไฟเลยนี่นา ไหนบอกว่ามีคนอยู่?” ฉันสะบัดความคิดออกจากหัวเมื่ออยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองนึกถึงใครคนนั้นบ่อยเกินไป
“หรือจะลองคบกันนายนั่นดีนะ…” ฉันพึมพำเบา ๆ ก่อนจะกระดกเครื่องดื่มสีสวยลงคอ ไม่ปฏิเสธว่ามีบ้างที่ฉันรู้สึกหวั่นไหวกับเพทาย แต่อีกใจก็คิดว่าเขามีบางอย่างที่ไม่น่าเข้าใกล้ รวมทั้งฉันเองก็ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเขาเลย จะถามมัดหมี่ก็คงดูมีพิรุธ ทั้งยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องฉันกับเพทายตอนนี้เพราะเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน
“เพื่อนไม่มาด้วยเหรอ” ทว่านั่งดื่มไปได้สักพักเสียงทุ้มของใครบางคนที่เดินมาทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามฉันก็ดังขึ้น เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาปรายตามองแก้วเครื่องดื่มในมือฉันก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ร้านที่มีผู้คนนั่งดื่มกันเต็มไปหมด “ทำไมชอบมาที่แบบนี้ มันอันตรายนะ” คนตรงหน้าพูดต่อพลางนั่งกอดอกมองฉัน
“บอกคนอื่นว่าอันตรายแต่นายเองก็มา?” ฉันมองคนตรงหน้าก่อนจะกระดกเครื่องดื่มที่เหลือในแก้วลงคอ “มาคนเดียวเหรอ” ฉันถามต่อเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบไป
“แล้วเห็นใครอีกไหมล่ะนอกจากฉันน่ะ” กวนประสาทชะมัด! ฉันตวัดตามองคนตรงหน้าด้วยความหงุดหงิดก่อนจะรินเครื่องดื่มใส่แก้วแล้วเคลื่อนไปให้คนฝั่งตรงข้าม
“ฉันไม่ดื่ม” เสียงทุ้มเอ่ยบอก
“แล้วมาทำไม”
“มาตามเธอกลับบ้าน” หือ?
“หมายความว่ายังไง? แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่?” คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อได้ฟังคำตอบของคนตรงหน้า “นายสะกดรอยตามฉันมาเหรอ?”
“กลับบ้านได้แล้ว ที่นี่คนเยอะฉันไม่ชอบ” คนถูกถามไม่ยอมตอบหากแต่เลือกที่จะหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินมากระตุกแขนฉันให้ลุกตาม
“นายอยากกลับก็กลับไปสิ ฉันจะดื่มต่อ”
“แต่ฉันไม่ชอบที่นี่” เจ้าของมือใหญ่ไม่ยอมปล่อยแขนฉันให้เป็นอิสระหากแต่วางเงินจำนวนหนึ่งไว้บนโต๊ะแล้วกระตุกแขนฉันให้เดินตามไป เมื่อเห็นว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาฉันจึงเลือกที่จะเดินตามเขาออกจากร้านไปอย่างเงียบ ๆ
“เลิกทำตัวเหมือนผัวฉันสักทีได้ไหม นายบ้าไปแล้วหรือไง” ฉันสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมพร้อมกับตวัดสายตาใส่คนตรงหน้าด้วยความไม่พอใจเมื่อเราเดินมาถึงโรงจอดรถ ทว่าทันทีที่ฉันพูดจบบรรยากาศรอบ ๆ ก็เปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด ทุกอย่างดูเงียบสงบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงดนตรีในร้านหรือเสียงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนบนท้องถนน
“กะ เกิดอะไรขึ้นน่ะ…” ฉันกวาดสายตาไปยังรอบ ๆ พื้นที่ที่ตัวเองยืนอยู่หากแต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ยังทำตัวปกติปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหากแต่ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใด ๆ และคล้ายกับว่าทุกคนไม่เห็นฉัน…
“ไม่มีเวลาแล้ว” เสียงทุ้มของคนตรงหน้าเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดตัวฉัน
“ไม่มีเวลาอะไรของนาย…” ฉันถอยหลังออกห่างเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีท่าทีไม่น่าไว้ใจ
“ไม่มีเวลาแล้ว…”
“ไม่มีเวลาอะระอื้ออ…” เสียงของฉันถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากหนาประกบจูบลงมา ร่างใหญ่ดันตัวฉันจนแผ่นหลังนั้นชิดรถยนต์ที่จอดอยู่ มือใหญ่สองข้างประคองใบหน้าฉันไว้แน่นไม่ให้หันหนีขณะที่เรียวลิ้นสากนั้นสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากตอนที่ฉันเผลอ
“อื้ออ” ตุบ! ตุบ! ฉันทุบแผ่นหลังคนตรงหน้าแรง ๆ เมื่อเริ่มหายใจไม่ออก ทั้งสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นการคุกคามฉัน แถมยังเลือกทำในที่สาธารณะอีกด้วย
“อยู่นิ่ง ๆ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเมื่อผละออกจากจูบก่อนจะกระตุกสายเดี่ยวสีดำที่ฉันสวมอยู่ลงใต้ราวนม เผยให้เห็นเนินอกด้านในที่ทะลักออกจากบราเซียร์
“ยะอย่านะ นายจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะอื้ออ” เจ้าของใบหน้าคมคายไม่รอให้ฉันได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น หากแต่ตะปมจูบลงมาบนเนินอกทั้งสองขณะที่วงแขนแกร่งกอดรัดเอวฉันไว้แน่น เสียงหายใจของฉันหอบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อความรู้สึกเจ็บและเสียวซ่านนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหวเพราะกลัวว่าจะมีคนมาเห็น
“พะเพทายไม่ทำตรงนี้” ฉันร้องบอกเสียงสั่นพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพราะกลัวว่าจะมีคนผ่านมา แต่น่าแปลกที่นอกจากจะไม่ใครผ่านมาแล้วบรรยากาศบริเวณนี้ยังเงียบกริบทั้งที่ผู้คนด้านนอกนั้นเดินกันขวักไขว่ “พะเพทาย บอกว่าอย่าทำไงอื้ออ”