กาลเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เกียร์และกรีนน่าตื่นแต่เช้าเพื่อมางานรับปริญญาของพิมพ์ชนก หญิงสาวเรียนจบคณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังอันดับต้นๆ ของประเทศ ร่างบางไม่ทำให้ผิดหวังคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาครอบครองอย่างภาคภูมิ และคนที่ดูจะภูมิใจมากที่สุดเห็นทีไม่ใช่คนอื่นไกล กรีนน่าคว้าร่างบอบบางในชุดครุยอันทรงเกียรติสวมกอดอย่างแสนรัก
“ฉันดีใจด้วยนะยิหวา เธอทำดีมากจริงๆ” ไม่เสียแรงที่สนับสนุนเด็กคนนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องการวางตัวในสังคม พิมพ์ชนกไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักครั้ง
“ที่ยิหวามีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะความเมตตาของคุณกรีนค่ะ ยิหวาต้องขอบคุณคุณกรีนที่รักและนำพายิหวามาถึงฝั่งฝัน”
พิมพ์ชนกยกมือไหว้ผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิต กรีนน่ายิ้มกว้างลูบเรือนผมเอ็นดูเด็กในปกครอง
เกียร์ตัดสินใจหยิบกล่องสีชมพูกำมะหยี่ออกจากกระเป๋าเสื้อสูท ตั้งท่าจะยื่นให้บัณฑิตคนงามแต่เสียงเรียกที่ตะโกนมาแต่ไกลทำให้เขาต้องรีบยัดกล่องดังกล่าวกลับคืนสู่กระเป๋าตามเดิม ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม แววตาคมดุตวัดมองเด็กหนุ่มไร้มารยาท
“ว่าไงรุต มีอะไรหรือเปล่า”
พิมพ์ชนกหันไปถามเพื่อนรักเสียงหวาน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้เกียร์รู้สึกร้อนวูบวาบที่อกด้านซ้าย ร่างบางยิ้มและทักทายคนอื่นด้วยสายตาเป็นมิตร ต่างกับตอนที่มองเขาโดยสิ้นเชิง หล่อนทำเหมือนเขาเป็นยักษ์เป็นมารไม่น่าอยู่ใกล้
“พ่อกับแม่เราเรียกหาน่ะ” ศรุตเอ่ยยิ้มๆ
“อ้าว คุณลุงคุณป้ามาถึงแล้วเหรอ”
“อืม เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง ท่านอยากเจอยิหวาด้วยนะ”
ศรุตบอกด้วยความตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เขาจะแนะนำเพื่อนสาวคนสนิทให้พ่อกับแม่รู้จักอย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมามีแต่วิดีโอคอลคุยกันเท่านั้น เนื่องจากครอบครัวของเขาตั้งรกรากอยู่ที่ประเทศอังกฤษเพราะว่าทำธุรกิจอยู่ที่นั่น มีเพียงเขาที่อยากกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย และพอเรียนจบก็วางแพลนช่วยคุณลุงบริหารโรงแรม หนึ่งในธุรกิจของครอบครัวต่อทันที ศรุตไม่คิดกลับไปอยู่อังกฤษถาวร เขาชอบบรรยกาศของเมืองไทยมากกว่า
“ผมขออนุญาตยืมตัวยิหวาสักครู่นะครับ” ศรุตขออนุญาตกรีนน่าด้วยท่าทีสุภาพ
“ตามสบายจ้ะ”
กรีนน่ายิ้มและยินดีปล่อยให้หญิงสาวไปพบครอบครัวของเพื่อน ผิดกับน้องชายที่เอาแต่ทำเสียงฟึดฟัดไม่พอใจอยู่ข้างหลัง เกียร์มองศรุตที่บังอาจจับมือพิมพ์ชนกก็ยิ่งหงุดหงิด กัดฟันข่มกลั้นอารมณ์เดือดไม่ให้ปะทุต่อหน้าสาธารณะชน
“พี่ว่าเราไปหาร้านกาแฟนั่งดื่มอะไรเย็นๆ ก่อนดีไหม ยืนอยู่ตรงนี้นานๆ พี่ชักร้อนอบอ้าวจวนจะเป็นลมอยู่แล้ว”
กรีนน่าทำทียกมือกุมขมับ ถ้าไม่ใช้อุบายนี้มีหวังเกียร์ได้หุนหันพลันแล่นไปกระชากพิมพ์ชนกออกห่างจากศรุตเป็นแน่
“ไปครับ” น้องชายสลัดความขุ่นข้องหมองใจทิ้งไป นาทีนี้ก็แอบห่วงคนเป็นพี่เหมือนกัน สุขภาพร่างกายใช่ว่าจะดี มาตากแดดตากลมดูท่าคงเหนื่อยล้าไม่เบา
บรรยกาศงานเลี้ยงฉลองเรียนจบสำหรับบัณฑิตคนเก่งถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ณ สวนหย่อมหน้าคฤหาสน์ กรีนน่าลงทุนเข้าครัวทำอาหารคาวหวานด้วยตนเอง เกียร์ยืนมองพี่สาวกับเด็กในปกครองร้องคาราโอเกะกันอย่างสนุกสนาน มุมปากทรงเสน่ห์คลี่รอยยิ้มบางเบา กอดอกพิงโต๊ะลุ้นว่าเจ้าหล่อนจะร่วมเต้นด้วยหรือไม่
“เต้นหน่อยนะยิหวา เพลงโปรดเธอนี่” กรีนน่าผายมือเชื้อเชิญแต่สาวเจ้าส่ายหน้าอย่างอายๆ
“ยิหวาอายค่ะ คุณกรีนเต้นให้สนุกนะคะ เดี๋ยวยิหวาร้องเพลงให้เอง” ถ้าให้เลือกระหว่างเต้นกับร้องเพลง เธอขอเลือกอย่างหลังดีกว่า
“อะไรกัน เธอเป็นเจ้าของงานก็ต้องเต็มที่หน่อยสิ เต้นเลย เอาให้สนุก” กรีนน่าที่ดื่มพอประมาณชักเริ่มกรึ่มๆ พูดคุยเล่นอย่างสนุกสนาน
“ยิหวาจะไปไหน” กรีนน่าเห็นร่างบางลุกขึ้นก็รีบถาม
“ยิหวาขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ”
“รีบไปรีบมาน้า เพลงกำลังสนุกเลย”
กรีนน่ายิ้มกว้างกว่าทุกวัน พิมพ์ชนกชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงงานเลี้ยงคืนนี้เป็นของเธอหรือว่าของผู้อุปการะกันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ จะงานใครก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าคืนนี้เป็นค่ำคืนแสนวิเศษที่เธอมีความสุขที่สุด
“อุ้ย!” เสียงหวานตกใจเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของเกียร์ยืนพิงกำแพงรออยู่ตรงทางเดินเข้าห้องน้ำ
“เป็นอะไร เห็นฉันแค่นี้ถึงกับขวัญอ่อนเลยหรือไง”
เจ้าของใบหน้าคมคายไม่พอใจที่หล่อนทำท่าทีเหมือนเขาเป็นยักษ์เป็นมาร แค่เห็นหน้าก็อกสั่นขวัญแขวน
“ปะ เปล่าค่ะ” พิมพ์ชนกโค้งศีรษะขณะเดินผ่านเขาเหมือนทุกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนก็คือวันนี้เขาคว้าเรียวแขนเล็กกำบีบแน่น ดวงตาหรี่มองใบหน้าสวยหวานราวจ้องจับผิดอะไรบางอย่าง
“คุณเกียร์ คุณจะทำอะไรคะ” พิมพ์ชนกลนลานหันซ้ายแลขวา เกรงว่าใครจะผ่านมาเห็นเข้า
“เธอกลัวอะไรฉันนักหนา” เกียร์ถามเสียงเข้ม เขาหงุดหงิดใจตั้งแต่เมื่อเช้าตอนที่หล่อนเดินจูงมือไปกับเพื่อนชายคนสนิท ทีอย่างนั้นยิ้มแย้มทำตัวสบายๆ พอใกล้เขาทำราวกับจะตายวันละหลายสิบหน มันเกินไปหรือเปล่าแม่ตัวดี
“ปะ เปล่าค่ะ ยิหวาไม่ได้กลัว”
พิมพ์ชนกหลุบตามองต่ำ ไม่กล้าสบแววตาแข็งกร้าวคู่นั้นตรงๆ เธอเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง พยายามควบคุมอัตราการเต้นของก้อนเนื้อข้างซ้ายไม่ให้ปะทุรุนแรงมากกว่านี้
“ไม่จริง เธอกลัวฉัน” เกียร์ไม่ยอมแพ้ ต้องการเค้นความจริงจากปากคนตัวเล็กให้ได้
“บอกมา กลัวอะไร”
เขาถามย้ำ ลมหายใจรินรดข้างแก้มยิ่งทำให้สติของพิมพ์ชนกปั่นป่วนมากขึ้น สองขาเรียวแทบไร้เรี่ยวแรงยามปลายนิ้วแกร่งเชยคางมนบังคับให้สบตา นัยน์ตาสีเพลิงคู่นั้นเปล่งประกายความต้องการซ่อนเร้น เกียร์พิศมองใบหน้าของหญิงในดวงใจชัดๆ เขายกยิ้มมุมปากเผลอไผลลูบพวงแก้มนุ่มอย่างเบามือ
“ปล่อยยิหวานะ!”
พิมพ์ชนกพยายามดันอกกว้างออกห่าง เกียร์หัวเราะในลำคอ ท่าทางพยศไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงแต่อย่างใด
“แล้วถ้าไม่ปล่อยล่ะ” เขาย้อนถาม ก้มหน้าเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายบาง สูดดมเข้าปอดอย่างหลงใหล พิมพ์ชนกเริ่มกลัวพานเนื้อตัวสั่นเทิ้ม
“อะไรกัน แตะนิดแตะหน่อยตัวสั่นเชียวนะ” เกียร์ดูมีความสุขกับการแกล้งคนตัวเล็ก
“คุณเกียร์ ปล่อยนะ คนทุเรศ!”
คราวนี้พิมพ์ชนกเริ่มโกรธเพราะคิดว่าเขาแค่อยากแกล้งเธอเล่น หญิงสาวตวัดดวงตาที่คิดว่าดุที่สุดมองเขาอย่างไม่พอใจ พ่นวาจาร้ายกาจด่าทอน้องชายผู้มีพระคุณอย่างลืมตัว
“มากไปแล้วนะยิหวา เธอกล้าด่าฉันว่าทุเรศเชียวหรือ!?”
เกียร์กัดฟันกรอด เสียงลมหายใจฟึดฟัดคือเครื่องการันตีว่าเขาโกรธมากเพียงใด เขาดันร่างงามในชุดเดรสขาวลายลูกไม้พิงกำแพงหนาแล้วเบียดร่างกายกำยำแนบชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศเล็ดลอดผ่าน ริมฝีปากหยักร้อนตะโบมจูบกลีบปากนุ่มรุนแรงกระหายหิว สอดแทรกชิวหากรุ่นโทสะเข้าไปกวาดชิมทั่วโพรงปากหอมกรุ่นอย่างดิบเถื่อนเร่าร้อน พิมพ์ชนกเบิกตาโพลงคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ากระทำอุกอาจกับตน สองมือน้อยรัวกำปั้นทุบตีอกแกร่งดุจหินผาไม่ยั้ง พยายามเบือนหน้าหนีแต่คนหน้ามืดตามัวเพราะหลงใหลรสชาติที่ใจเฝ้าคนึงหามานาน กลับตามประกบจูบริมฝีปากแสนพยศจนผู้เป็นเจ้าของอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอด