6

2337 Words
            “ตอนนี้ตัวของปิซากำลังร้อนจัด สงสัยอาการไม่สบายกำลังกำเริบขึ้น” เสียงของคุณอีคอนดังขึ้นระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังช้อนตัวของปิซาขึ้นอุ้มแนบอกแล้วพาออกมาจากร้านกาแฟ ซึ่งอีกฝ่ายจะพาเขาไปที่ไหนนั้น ปิซาก็ไม่อาจรับรู้ได้เนื่องจากว่าในตอนนี้อาการไม่สบายของเขามันได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง ไหนจะความเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมเมื่อเกือบสองชั่วโมงก่อนหน้านี้อีก นั่นจึงทำให้ปิซาไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว                 “ก็ถ้าพรุ่งนี้อาการของปิซายังไม่ดีขึ้น เราก็คงจะต้องพาเขาไปโรงพยาบาลของฉัน” สิ้นเสียงของคุณเทรย์เวอร์ ปิซาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูรถ แล้วในเวลาต่อมาเขาก็ได้เข้ามานอนบนเบาะหลังด้วยฝีมือของคุณอีคอน โดยหลังจากนั้นปิซาก็เริ่มดำดิ่งลงไปในห้วงนิทราของตนเองทันทีและก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย             เหตุการณ์เมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ราวกับเป็นความฝันที่ปิซาไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นเรื่องจริง                 ช่วงเช้าของวันต่อมา…                 หลังจากที่ปิซาได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ต้องหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ เมื่อบนเตียงขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เป็นเตียงของเขากำลังมีผู้ชายหน้าตาดีถึงสองคนนอนเคียงข้างอยู่ ซึ่งปิซาก็ต้องเรียกสติให้กับตัวเองอยู่พักใหญ่กว่าที่เขาจะเริ่มทำใจและเข้าใจอะไร ๆ ขึ้นมาบ้าง เพราะว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ปิซาจะต้องทำใจเชื่อกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้                 โดยหลังจากที่ปิซารู้ตัวแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาที่เกี่ยวกับตำนานพวกนั้นหรือเซ็กส์อันหลุดโลกกับผู้ชายหน้าตาดีถึงสองคน เขาก็ค่อย ๆ ตั้งสติและลุกลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า เนื่องจากปิซาไม่ต้องการที่จะรบกวนการพักผ่อนของคุณอีคอนและคุณเทรย์เวอร์                 บ้านก็หลังตั้งใหญ่โต แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของแม่บ้านสักคน                 เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนได้แล้ว ปิซาก็เริ่มทำการเดินสำรวจรอบ ๆ บ้านหลังใหญ่ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นทันที ซึ่งบ้านที่เขากำลังเดินสำรวจอยู่นี้ก็เป็นบ้านสองชั้นสไตล์ยุโรปและถูกตกแต่งด้วยวัสดุโทนสีสว่างดูสบายตาเป็นเสียส่วนใหญ่ แล้วถ้าหากปิซาได้เดินสำรวจแบบไม่คิดอะไร เขาก็คงจะนึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่ต่างประเทศเป็นแน่                 “เหมือนกำลังอยู่ในนิยายเลย” ปิซาพูดกับตัวเองเบา ๆ เมื่อเขาเดินมาเห็นเปียโนหลังใหญ่ถูกตั้งเอาไว้กลางบ้าน ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะต้องเบิกตากว้างเล็กน้อย เมื่อเขาเดินถัดมาจากเปียโนหลังยักษ์ได้ไม่ไกลนัก เขาก็ได้มาเห็นผนังกว้างที่ด้านบนผนังนั้นมีรูปขนาดใหญ่ถูกวาดเอาไว้อยู่                 “นี่มัน…”             “รูปของนายไง” สิ้นเสียงดังกล่าว ปิซาก็ถูกโอบกอดไว้จากด้านหลังทันทีและคนที่เป็นเจ้าของอ้อมกอดนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคุณเทรย์เวอร์                 “….”                 “ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุก”                 “ก็ผมเห็นว่าพวกคุณกำลังนอนสบาย ๆ อยู่ไงครับเลยไม่อยากจะรบกวน” ปิซาบอกอีกคนเสียงแผ่ว  พร้อมกับยืนนิ่งเพื่อให้คุณเทรย์เวอร์ได้สวมกอดตัวเองเอาไว้อยู่อย่างนั้น                 “งั้นก็ไม่เป็นไร ว่าแต่…นายชอบรูปนี้หรือเปล่า?” อีกฝ่ายถามต่อ พลางจูบเข้าที่หลังคอของปิซาเบา ๆ ราวกับต้องการจะหยอกเย้ากัน ซึ่งนั่นก็ทำเอาคนรับสัมผัสนั้นถึงกับขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก                 “ชอบครับ แต่รูปนี้ใครเป็นคนวาดเหรอ?” ปิซาเอ่ยถามอย่างใคร่รู้พร้อมจ้องภาพจิตรกรรมบนผนังตาไม่กะพริบ เมื่อรูปที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ มันเป็นรูปของเขาในชุดนักเรียนสมัยมัธยมเมื่อเกือบสามปีก่อน                 ครั้งที่เขาได้ไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ                 “ฉันกับอีคอนเป็นคนช่วยกันวาดเอาไว้”                 “ครับ? แล้วทำไมพวกคุณถึงวาดรูปนี้ล่ะครับ แล้วก่อนหน้านี้เราทั้งสามคนเคยเจอกันมาก่อนเหรอ?” พอได้ยินอีกคนเอ่ยเช่นนั้นปิซาก็รีบยิ่งคำถามใส่ไม่ยอมหยุดทันที หลังความสงสัยมากมายกำลังผุดขึ้นในหัวเขาเต็มไปหมด                 “อืม…ฉันควรจะเล่าดีไหมนะ?” คุณเทรย์เวอร์ที่เห็นท่าทีเหล่านั้นของปิซาเริ่มแสดงท่าทีลังเลออกมา นั่นจึงทำให้ปิซาต้องรีบพูดต่อ เพราะถ้าหากอีกคนไม่ยอมเล่าอะไรให้เขาฟัง เขาคงได้ขาดใจตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเป็นแน่                 “ไหน ๆ เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เพราะงั้นคุณก็เล่าให้ผมฟังเถอะครับ” ปิซาขอร้องอีกคนด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน โดยนั่นก็ทำให้คุณเทรย์เวอร์ถึงกับกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วก็ค่อย ๆ เล่าเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสามคนให้ปิซาฟังอย่างใจเย็น                 “ใช่ เราเคยเจอกันมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนและนายเองก็คงจะจำได้ใช่ไหมว่าภาพนี้มันมาจากเหตุการณ์อะไร นั่นแหละ…มันเป็นครั้งแรกที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงหลายร้อยปี”                 “….”                 “เราเจอกันที่พิพิธภัณฑ์…ฉันกับอีคอนเห็นนายผ่านรูปภาพที่ถูกตั้งแสดงเอาไว้ในนั้น แต่ทว่าแม้จะเจอกันแล้วแต่เราก็ยังไม่สามารถตามตัวนายได้อยู่ดี เพราะการเจอกันครั้งนั้นมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เราไม่ได้เจอกันเพราะมีใครทำพิธีกรรมเรียกฉันกับอีคอนมา ซึ่งกฎมันก็มีอยู่ว่าเราจะสามารถติดตามกล่องดวงใจของเราได้ก็ต่อเมื่อมีคนทำพิธีกรรมเท่านั้น แล้วเพราะอย่างนั้นเราเลยตัดสินใจที่จะวาดรูปของนายเอาไว้ เผื่อว่าในอนาคตอาจจะไม่ได้เจอกันอีก”                 “….”                 “แต่ว่าสุดท้ายเราก็ได้เจอกันจนได้” หลังจากที่อีกฝ่ายได้เล่าเหตุการณ์นั้นจบแล้วคุณเทรย์เวอร์ก็ระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ทว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายกลับชวนให้น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก จนปิซาต้องรีบหันหน้าหนีไปทางอื่นเพราะเขาไม่อยากจะเห็นรอยยิ้มเหล่านั้น                   “แล้วตอนนี้นายเริ่มหิวข้าวหรือยัง? เราไปกินข้าวกันดีไหม…เพราะตอนนี้แม่บ้านเขาก็น่าจะตั้งโต๊ะเสร็จแล้วนะ” คุณเทรย์เวอร์ถามต่อ                 “ผมเริ่มหิวแล้วครับ งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่า” ปิซาพูดเสียงแผ่ว เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากจะอยู่ในสถานการณ์นี้นานเช่นกัน                 โดยในหลังจากนั้นปิซาก็ได้เดินตามคุณเทรย์เวอร์ไปยังห้องอาหารอย่างเงียบ ๆ ซึ่งภายในห้องอาหารดังกล่าวก็มีคุณอีคอนที่อยู่ในชุดนอนเช่นเดียวกับพวกเขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รายวันรออยู่ก่อนแล้ว และบนโต๊ะอาหารก็มีอาหารเช้าจำนวนทั้งหมดสามชุดตั้งเอาไว้อยู่                 “เธอเป็นคนหรือเปล่าครับ?” เมื่อเห็นแม่บ้านเดินสวนกับปิซาออกไปจากห้องอาหาร จนทำให้ในตอนนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาทั้งสามคนเท่านั้นที่อยู่ด้วยกัน ปิซาก็รีบเอ่ยถามคุณเทรย์เวอร์อย่างข้องใจทันที                 “ก็ต้องเป็นสิ เพราะวิญญาณน่ะ…มาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”                 “….”                 “ตอนนี้นายอาจจะมีคำถามและความไม่เข้าใจอยู่ในหัวเต็มไปหมด แต่อีกสักหน่อยนายก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง” คุณอีคอนพูดขึ้นพร้อมกับพับหนังสือพิมพ์เก็บให้เข้าที่ แล้วในหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หันมาสบตากับปิซาเล็กน้อยด้วยสายตานิ่ง ๆ แบบที่ชอบทำ “นายมานั่งกินข้าวได้แล้ว”                 “ครับ” ปิซาขานรับพลางทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย โดยทางฝั่งทางซ้ายมือของเขานั้นก็กำลังมีคุณเทรย์เวอร์นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวโต๊ะ แต่ทว่ากลับมีแค่คุณอีคอนและปิซาเท่านั้นที่ลงมือทานอาหารเช้า ส่วนคุณเทรย์เวอร์ก็เอาแต่เล่นโทรศัพท์ของตนเองอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่ในเวลาต่อมาแม่บ้านคนเดิมจะเดินกลับเข้ามาในห้องอาหารอีกครั้ง เพื่อนำเอาโทรศัพท์ส่วนตัวของปิซามาให้เขา                 “ขอบคุณมากครับ” ปิซาหันไปขอบคุณคุณแม่บ้านเสียงแผ่ว แล้วก้มหน้าลงเพื่อจัดการอาหารเช้าต่อ                 “นายอยากได้อะไร” ซึ่งในระหว่างที่ปิซากำลังนั่งหั่นไข่ดาวอยู่นั้น คุณอีคอนที่กำลังนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกันก็ได้ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย                 “คุณหมายถึงอะไรเหรอครับ?”                 “ชื่อเสียง เงินทองหรือสิ่งของที่นายปรารถนา ก็ตามที่เราคุยกันไว้เมื่อคืนนี้นั่นแหละ….นายอยากได้อะไร” หลังได้ยินคุณอีคอนเอ่ยเช่นนั้นปิซาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะภายในใจของเขามันมีความปรารถนาอยู่เต็มไปหมด             จนปิซาเลือกไม่ถูกด้วยซ้ำว่าเขาควรจะขออะไรดี                 “อย่าโลภมาก ค่อย ๆ เอาไปทีละอย่าง” อีกฝ่ายที่ดูเหมือนรู้ว่าปิซากำลังคิดอะไรอยู่รีบพูดขึ้นเพื่อดับฝันของเขาทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิซาแอบหน้างออยู่เล็กน้อย ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะลองเอ่ยขอสิ่งที่ง่ายที่สุดและน่าจะจับต้องได้เร็วที่สุด                 “ผมอยากได้เงินสักพันล้าน ไม่เอาดีกว่า…เอาแค่ล้านเดียวก็พอแล้ว”                 “….”                 “พวกคุณให้ผมได้ไหมครับ?” ปิซาเอ่ยถามอย่างลองเชิง เพราะเขาอยากจะลองเริ่มต้นจากอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนแล้วค่อยไล่ลำดับไป เนื่องจากในปัจจุบันนี้แม้กระทั่งเงินแสนเขาก็ยังไม่เคยได้จับมันด้วยซ้ำ                 “งั้นก็ลองเช็กบัญชีของตัวเองดูก็แล้วกัน” สิ้นเสียงของคุณเทรย์เวอร์ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของปิซาก็ดังขึ้นทันที นั่นจึงทำให้ปิซาต้องรีบวางมือจากอุปกรณ์กินอาหารแล้วหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะต้องเบิกตากว้างเล็กน้อย เมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีเงินจำนวนหนึ่งล้านบาทอยู่ในบัญชีของเขา                 “ผมสามารถใช้เงินนี้ได้จริงไหมครับ?” หลังจากที่เห็นตัวเลขเหล่านั้น ปิซาก็รีบถามต่อทันที                 “ก็ต้องใช้ได้จริงอยู่แล้วสิ ก็เหมือนกับอาหารที่นายกินอยู่ในตอนนี้นี่แหละมันจับต้องได้ กินได้และก็รู้สึกถึงมันได้” คุณเทรย์เวอร์ว่า                 “แล้วพวกคุณเอาเงินพวกนี้มาจากไหนเหรอครับ? ขโมยมาจากธนาคารหรือไง” ปิซาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้วใครมันจะกล้าใช้เงินนี้กัน                 “นายเคยได้ยินวลีที่ว่า ‘ตายแล้วก็เอาสมบัติไปไม่ได้’ไหม?”                 “ครับ ผมเคยได้ยิน”                 “วิญญาณทั่วไปจะไม่สามารถเอาสมบัติที่เคยมีก่อนตายไปใช้ในโลกที่สามได้ แต่ว่าเราสามารถเอาไปได้ เพราะว่าเราไม่ใช่วิญญาณธรรมดา เรารับใช้พระเจ้า…เรามีพันธะกับพระเจ้าและเราก็จะได้กลับมาในโลกนี้อีกครั้ง ซึ่งทรัพย์สินทุกอย่างที่เราเคยมีครั้งเมื่อมีชีวิตในตอนนั้นมันจะถูกฝากไว้ในธนาคารโลกที่สาม และธนาคารก็จะทำการรักษาสมบัติของเราเอาไว้ให้ จนกว่าเราจะได้กลับมาในโลกนี้อีกครั้งและเจ้าหน้าที่ก็จะทำการเทียบค่าเงินในอดีตกับปัจจุบันให้”                 “แจ๋วเป็นบ้า…” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปิซาก็พึมพำออกมาทันที                 “เพราะฉะนั้นในตอนนี้เราก็เลยรวยมากยังไงล่ะ รวยแบบไม่ต้องมาทำงานทั้งชีวิตเหมือนอย่างมนุษย์ในโลกนี้ด้วยซ้ำ แล้วยิ่งตอนนี้ทั้งฉันและอีคอนต่างกำลังมีธุรกิจบนโลกนี้เพื่อให้ดูเหมือนว่าเงินพวกนี้มันมีที่มาที่ไป นั่นก็ยิ่งทำให้เราสองคนรวยเข้าไปใหญ่…รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหนแล้ว”                 “งั้นถ้าพวกคุณรวยขนาดนี้ก็แสดงว่าพวกคุณก็สามารถเลี้ยงผมได้ทั้งชาติสินะครับ” ปิซาว่า เมื่อเขารู้สึกว่าคำพูดของคุณเทรย์เวอร์ช่างน่าหมั่นไส้เหลือเกิน             “ก็สามารถนายเลี้ยงได้ จนกว่านายจะตายนั่นแหละ” คราวนี้คุณอีคอนพูดขึ้น โดยนั่นก็ทำให้ปิซาถึงกับหันมองอีกคนทันควันและก็เริ่มรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งปิซาก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอาการเหล่านี้มันคืออาการอะไรกันแน่                 “นายไม่กินต่อแล้วหรือไง?” คุณอีคอนถามต่อ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าในตอนนี้ปิซาได้หยุดกินอาหารเช้าไปแล้ว                 “ม—ไม่ล่ะครับ ผมอิ่มแล้ว" ปิซาเอ่ยเสียงสั่น                 “….”                 “และตอนนี้ผมก็อยากกลับห้องของตัวเองแล้วด้วย เพราะงั้นพวกคุณช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหมครับฦ” พูดจบ ปิซาก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปจากห้องอาหาร เพื่อกลับไปสวมใส่ชุดพนักงานของตัวเองทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD