ลี่เหม่ยหลิน

1299 Words
ฉับพลัน ผู้ที่ตั้งสติได้ก่อนเป็นคนแรกคือสตรีผู้เป็นถึงฮูหยินของจวน “เหม่ยหลินลูกรัก สวรรค์เมตตาเราแล้ว ฮือๆๆ ในที่สุดลูกก็ฟื้นเสียที” เยว่ฮูหยินร้องไห้กอดลูกสาว ที่ก่อนหน้านั้นได้เกิดหมดสติล้มพับไปกลางตลาดเมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมา แม้หลายวันมานี้บุตรสาวของนางยังมีลมหายใจ แต่ด้วยความที่ร่างกายไร้อาหารบำรุงมาเนิ่นนาน รูปร่างในตอนนี้ของบุตรสาวจึงดูซูบซีดไร้เรี่ยวแรง นางและสามีเฝ้าเรียกหาหมอยาหลายสำนัก ไม่เว้นแม้แต่ในรั้วในวังก็ถูกเชิญมาดูอาการไม่ขาดสาย นอกจากจะไม่หายดีแล้ว อาการยังหนักลงกว่าเดิมคือชีพจรเต้นแผ่วเบา จนหวาดกลัวว่านางจะไม่หายใจ เมื่อไร้หนทางและตรวจหาอาการไม่พบนางจึงต้องหันไปพึ่งพาหมอดู เพื่อทำนายดวงชะตา แต่กลับไม่เป็นผล จนถึงยามนี้ ยามที่ลี่เหม่ยหลินฟื้นขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์ “เจ็บตรงไหนหรือไม่ บอกแม่เจ้าให้รับรู้ ฮึกๆ ฮือๆ” สตรีผ่ายผอมบนเตียงได้แต่นอนกระพริบตาปริบๆ ความสับสนทำให้นางมิได้ตอบรับสตรีวัยกลางคนที่กำลังร้องไห้และลูบไล้ตัวนางไม่หยุด พร้อมกันนั้น สมองน้อยๆ กำลังทบทวนเรื่องราวของตัวเอง จนจำได้ว่าตนกำลังถูกยิง! “โอ๊ย!” นางร้องลั่นพลางยกมือขึ้นกุมศีรษะ ฉับพลัน! ภาพจำของสตรีนางหนึ่งผู้มีใบหน้างดงามกำลังยิ้ม ริมฝีปากของสตรีผู้นั้นกล่าวเสียงดัง ก้องอยู่ในหัว “รบกวนเจ้าแล้ว” เป็นเช่นนั้นซ้ำๆ ก่อนภาพจำจะเลือนหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกอันหนักอึ้ง “เหม่ยหลินลูกรัก” เยว่ฮูหยินมองบุตรสาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล นางหันกลับไปมองผู้เป็นสามีที่ยังยืนตื่นตะลึงอยู่กับที่ “ท่านพี่! ไปเรียกหมอหญิงมาสิเจ้าคะ” นางตะคอกเสียงดัง จนสามีของนางและบ่าวรับใช้ชายนามว่าอาทุยจะรีบเดินลงไปจากเรือน “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร แค่เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมากแล้ว” นั่งลูบแก้มของบุตรสาวที่ยังคงนอนมองหน้านางผู้เป็นมารดาตาไม่กะพริบ วรัญญาที่ถูกเรียกว่าเหม่ยหลินยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ในความไม่เข้าใจกับสภาพบ้านที่เห็นในสายตา คือสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ทำให้นางไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใด ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจโดยไม่รู้ทางแก้ มากกว่าความกลัวคือในตอนนี้นางต้องเงียบเพื่อรวบรวมสติของตัวเองให้ดีเสียก่อน จากลำดับเหตุการณ์ทุกอย่าง ภาพที่เห็นในตอนนี้คือสตรีวัยกลางคน ใบหน้างดงามเกล้าผมมวยขึ้นสูงราวกับสตรีจีนที่ออกเรือนแล้ว ชุดเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่รึก็คล้ายชุดของสตรีที่มาจากประเทศจีนในยุคสมัยเก่า ยิ่งสภาพห้องที่ตนเองนอนอยู่เป็นไม้ขัดเงา ฝาห้องรึก็เป็นเพียงแผ่นไม้หนาหาใช่ปูน? ‘รึว่านางตายเพราะถูกยิงแล้วหลงไปอยู่ในเมืองผีจีน’ หรือถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วสตรีที่มาบอกกับนางว่า รบกวนเจ้าแล้ว นั่นคือผู้ใด? ในความรู้สึกนึกคิดมีแต่คำถามวิ่งวนอยู่เต็มไปหมด แต่คำถามนั้น ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย กลับมีบุรุษผมสีดอกเลากล่าวขัดขึ้น เรียกให้นางต้องหันไปมอง “หมอหญิงมาแล้วฮูหยินรัก” ลี่จงผู้เป็นสามีหอบหนัก จนต้องนั่งลงเพื่อพักตรงโต๊ะน้ำชา เขามองบุตรสาวบนเตียงด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด เดิมทีก่อนหน้านี้ ตัวเขาและฮูหยินต่างพากันถอดใจเกี่ยวกับเรื่องของบุตรสาวไปแล้ว ลมหายใจรวยรินที่เขาผู้เป็นบิดาทำได้เพียงเฝ้ามองในวันวาน ช่างแตกต่างกับยามนี้ลิบลับ ใบหน้าขาวซีดเริ่มมีเลือดฝาด การหายใจเริ่มเป็นปกติและดูท่าว่าจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ในเวลาไม่นาน ‘มันถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ขอบคุณเหล่าเทพเซียนบนสวรรค์ที่ส่งนางกลับคืนมาให้ครอบครัวเขา’ หมอหญิงฟ่ง ผู้เดินมาถึงจวนสกุลลี่ คล้ายมีอาการแปลกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า จำได้ว่าก่อนหน้านี้เพียงสองวันที่นางได้เข้ามาตรวจวัดชีพจรหรืออะไรต่างๆ เกี่ยวกับร่างกายของลี่เหม่ยหลิน ยามนั้นนางค่อนข้างมั่นใจว่าคุณหนูสกุลลี่คงมีชีวิตได้ไม่เกินห้าวันด้วยซ้ำ แต่แล้วเหตุใดวันนี้จึง? “ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูลี่จะมีชะตาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ช่างมีบุญยิ่งนักหาผู้ใดเทียบเทียม” “…” หมอหญิงฟ่งยิ้มในหน้าอย่างยินดี “ส่งมือเจ้ามาสิคุณหนู” ผู้ถูกเรียกว่าคุณหนูลี่ค่อยๆ ยกมือที่อ่อนแรงไปวางไว้บนมือของหมอหญิงช้าๆ “…” เมื่อปลายนิ้วของหมอหญิงได้สัมผัส นางกลับชะงักไปชั่วอึดใจก่อนจะสอบถามแม่นางน้อยตรงหน้าผู้เป็นบุตรสาวของท่านราชทูตลี่จง ราชทูตจากแคว้นฉินว่า “คุณหนูลี่รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนมากเป็นพิเศษหรือไม่” เดิมทีแม่นางน้อยผู้หมดสตินางนี้ชีพจรอ่อนแรงมาก ซ้ำในกายยังปั่นป่วนคาดเดาอาการไม่ได้ ที่นางรักษามาตลอดคือยาต้มสมุนไพรบำรุงร่างกายเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้ ชีพจรกลับเต้นดีไม่มีสะดุด จะมีแค่เพียงอาการอ่อนเพลียเพราะขาดอาหารและน้ำ ซึ่งข้อหลังนี้ หากอีกฝ่ายยังฟื้นคืนสติได้ดี ต่อไปคงรับอาหารและฟื้นฟูพละกำลังได้ไม่ยาก “คุณ...หนู” เสียงแหบแห้งอยากจะถามว่า ‘คุณหนูอะไร’ แต่เสียงนั้นกลับแผ่วเบามากมายเหลือเกิน อาการแสบตรงช่วงคอบ่งบอกได้ดีว่าตนเองคงไม่ได้ทานน้ำมาแสนนาน ถ้อยคำต่อจากนั้นคือ “น้ำ” เย่วฮูหยินผู้เป็นมารดาที่ยืนอยู่ข้างเตียง รีบรินน้ำเปล่าใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วป้อนให้บุตรสาวในทันที นางและหมอหญิงช่วยกันพยุงร่างบอบบางนั้นจนน้ำในจอกถูกดื่มไปจนหมดก่อนจะช่วยกันพยุงร่างคนป่วยไข้ นั่งพิงหลังกับหัวเตียง ใบหน้าซูบซีด ผมเผ้ารุงรัง ดูไร้สง่าราศีมากกว่าที่เคย แต่ดีเท่าไหร่ที่ลี่เหม่ยหลิน บุตรสาวของนางยังมีชีวิตอยู่ “ตั้งสติให้มั่นแล้วค่อยๆ พูดนะลูกรัก” ผู้เป็นมารดาน้ำตาคลอเบ้า นางสงสารบุตรสาวเหลือเกิน ผู้ถูกเรียกว่า ลูก มองท่านแม่ด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจคำพูด แต่นางไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากกว่า ชั่วจังหวะที่กำลังชั่งใจ ภาพของสตรีรุ่นเยาว์นางหนึ่งกลับปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึกอีกครั้ง ภาพเรื่องราวตั้งแต่บุรุษวัยกลางคนผู้มีเรื่อนผมสีดอกเลานามว่าลี่จง ราชทูตจากแคว้นฉินเดินทางมาพำนักในแคว้นต้วนเป่ยในฐานะทูตพันธมิตรระหว่างแคว้นเมื่อปีที่แล้วกับเยว่ฮูหยินและตัวของสตรีที่มีนามว่า ลี่เหม่ยหลิน ผู้เป็นบุตรสาว! ก่อนที่นางจะหมดสติล้มพับไปเมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่ผันผ่าน วนลูปให้นางได้รับรู้ราวกับว่ามันคือหนังชีวิต มันคล้ายกับหนังหนึ่งเรื่องที่กำลังแนะนำตัวละคร โดยมีนางรับบทของลี่เหม่ยหลินมิใช่วรัญญาอย่างที่ควรจะเป็น เป็นไปได้อย่างไร?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD