“อ่านได้บางตัวและเขียนไม่ค่อยได้เจ้าค่ะคุณหนู”
“หืม” ลี่เหม่ยหลินมองสาวใช้อย่างแปลกใจ ก่อนหัวคิ้วจะคลายออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพราะฐานะและชนชั้นนั้นแตกต่างความเสมอภาคย่อมไม่มี ‘มันเป็นแบบนี้ทุกยุคสมัยจริงๆ’ คนรวยมักจะได้รับการดูแลที่ดีกว่าในทุกๆ เรื่อง “ไม่เป็นไร ไว้ถ้าข้าว่าง จะสอนเจ้าขีดเขียนให้เก่งเลยทีเดียว” นางเขียนตำแหน่งของอาซิงเอาไว้ว่าเป็นพนักงานหน้าร้าน คอยต้อนรับคุณหนู คุณชายที่มาใช้บริการ และแน่นอนว่านางยังต้องการผู้ช่วยอีกสองคน หนึ่งคนคือนักวาดภาพ อีกหนึ่งคนคือผู้ติดตาม ‘อืม...คนหลังนี่คงต้องเอาบ่าวชายในจวนนี่ล่ะ’ “บ่าวในจวนของเรา มีผู้ใดเรียนวรยุทธ์บ้าง” ในความหมายของนางคือผู้ติดตามอาจจะได้ปกป้องนางด้วยนั่นล่ะ ยุคสมัยนี้อาจจะไม่มีปืนก็จริง แต่ความน่ากลัวย่อมมีอยู่เพราะมีจอมยุทธ์ หากเดาไม่ผิด จอมยุทธ์เหล่านี้หลบซ่อนตัวใต้เงาโดยที่ไม่มีใครเห็น เพลงกระบี่เป็นเลิศ…อ่า ไม่ดีเลยจริงๆ
“แบบพื้นฐานน่ะมีหลายสิบคนอยู่เจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ถ้าคุณหนูอยากได้มาเพื่อใช้งาน คุณหนูต้องไปขอนายท่านก่อนนะเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นน่ะไม่ยาก จะยากก็ตรงนักวาดนี่ล่ะ ข้าจะไปหาได้ที่ไหน”
อาซิงยังคงทำหน้าไม่เข้าใจอยู่ดี “ลองถามนายท่านดูสิเจ้าคะ นายท่านเข้าวังหลวงแทบจะทุกวัน รู้จักผู้คนมากมายหรือไม่แน่ว่านักวาดอาจจะหาได้ไม่ยากอย่างที่คิดนะเจ้าคะ ว่าแต่คุณหนูจะเอานักวาดไปทำสิ่งใด”
“ก็ต้องเอามาวาดภาพคนน่ะสิ” ^^ “ข้าจริงจังมากนะเรื่องนี้ นักวาดต้องฝีมือดีด้วย” และมันก็ต้องเป็นอย่างที่อาซิงแนะนำคือนางควรไปปรึกษาท่านพ่อผู้เป็นราชทูตโดยตรง ‘ซึ่งท่านพ่อจะออกจากจวนทุกๆ ยามเฉิน (07.30) และกลับมาถึงจวนในตอนเที่ยง’ ยามนี้คือยามเซิน (15.00) ทางที่ดีนางควรรอสนทนากับท่านพ่อหลังจากรับสำรับเย็นเสร็จแล้ว “อืม” พยักหน้าให้กับตนเอง ก่อนจะร่างแผนงานลงบนกระดาษใบใหญ่ต่อไปเงียบๆ
อาซิงนั่งมองคุณหนูของนางโดยไม่กล่าวอะไร ความแปลกใจในทุกอย่างที่เป็นคุณหนูนั้นมีมากกว่าปกติ แต่นางก็ไม่ได้ถามถึงมันเพราะนางคิดว่าถามไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แค่ตรงหน้านี้คือคุณหนูลี่เหม่ยหลินที่แข็งแรงก็เพียงพอแล้วและไม่ว่าวันพรุ่งนี้คุณหนูจะทำสิ่งใดต่อ นางก็จะคอยติดตามดูแลคุณหนูอยู่เช่นเดิม
“อ่า...คริคริ” รอยยิ้มของสตรีรุ่นเยาว์แต่ใจไม่เยาว์เกิดขึ้นมา เมื่อแผนการบนกระดาษ ไม่น่าจะยากเกินกำลัง…สำคัญคือ มีเบี้ยมากมายหลายหีบมันดีเช่นนี้เอง ^^
ยามอิ่ว (17.30)
ในขณะที่ครอบครัวสกุลลี่รับสำรับเย็นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลี่เหม่ยหลินได้ชักชวนบิดามารดาของนางออกไปนั่งรับลมเย็นในสวนสวย ชีวิตในแคว้นต้วนเป่ยมีความสุขตามอัตภาพ แต่สตรีตัวน้อยที่กำลังจะเติบโตกลับไม่คิดที่จะอยู่เฉยๆ เพื่อรอวันแต่งออกไปเป็นแน่ ‘ความสุขในอาชีพเดิมยังรออยู่ข้างหน้าเหตุใดนางจึงจะไม่คว้ามันเอาไว้ในเมื่อมีลู่ทางให้เดิน’
“ท่านพ่อเจ้าขา ไม่ทราบว่าท่านแม่ได้บอกแก่ท่านพ่อรึยังว่าลูกอยากจะเปิดร้านเพื่อช่วยเหลือผู้คนสักหนึ่งร้าน” นางก็ยังบอกไม่ถูกว่ามันจะเป็นร้านได้ยังไงในเมื่อนางจะเปิดบริษัทรับจัดหาคู่!
“ท่านแม่ของเจ้าบอกพ่อแล้ว แต่ที่เจ้ากล่าวว่าช่วยเหลือผู้คน มันคือร้านอะไร ในเมื่อท่านแม่ของเจ้าก็ทำทานแก่ผู้ยากไร้อยู่เป็นประจำ”
เรื่องนี้นางรู้อยู่แล้วว่าท่านแม่ได้จัดเลี้ยงอาหารด้านหน้าจวนทุกๆ เจ็ดวัน โดยในครั้งล่าสุดนี้นางยังร่วมยืนแจกจ่ายอาหารกับท่านแม่ด้วย ‘ผู้รับยิ้มดีใจ นางในฐานะผู้ให้ก็มีความสุข’ บางคนที่มารับอาหารเป็นพ่อค้า แม่ค้า บางคนเป็นผู้ยากไร้ บางคนเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ท่านแม่บอกว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นคนเดิมๆ ที่มาขอรับอาหาร แต่ท่านมิได้ห้ามเพราะตั้งใจที่จะมอบมันให้ทุกคนอยู่แล้ว...มันดีมากจริงๆ ดีที่นางมีท่านแม่จิตใจดีแบบนี้ “จะเรียกว่าร้านได้หรือไม่ ลูกไม่รู้ รู้แค่ว่าลูกอยากจะเป็นแม่สื่อที่จัดหาคู่รักให้บุรุษและสตรีน่ะเจ้าค่ะ” ในความหมายของนางคือสื่อพวกเขาได้พึงใจกันจริง มิใช่ต้องสมรสเพราะความเหมาะสม
“หืม แม่สื่อรึ” ลี่จงลูบเคราบางอย่างครุ่นคิด แม่สื่อที่บุตรสาวว่าล้วนเป็นสตรีสูงวัยและมักจะทำหน้าที่เจรจาพูดคุยกับเหล่าสตรีที่ผ่านพ้นวันปักปิ่น ถามว่าพวกนางมีที่อยู่อาศัยหรือไม่? ย่อมอยู่บ้านใครบ้านมันในเมื่อการเป็นแม่สื่อนั้น ผู้คนจะรู้ได้จากการบอกกันแบบปากต่อปากและหากจวนใด สกุลใดมีบุตรชายที่ต้องการฮูหยินที่พึงใจ ย่อมต้องจ้างวานให้แม่สื่อเหล่านี้ออกหน้าไปในนามของสกุลนั้นๆ สำเร็จหรือไม่ย่อมตอบไม่ได้
“เจ้าค่ะ เอาไว้ถ้ามันเป็นรูปเป็นร่างเมื่อใด ลูกจะให้ท่านพ่อและท่านแม่ไปเยี่ยมชมก่อนใครแน่นอน แต่ยามนี้ที่ลูกต้องการเป็นอันดับแรกคือ บ่าวชายสักคนไว้ปกป้องลูกน่ะเจ้าค่ะ” ^^ นั่นคืองานหลักของบ่าวชาย ส่วนงานรองคือติดตามดูผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ “เป็นวรยุทธ์ด้วยจะดีมาก”
“อืม...เป็นวรยุทธ์ หมายถึงเอาไว้ดูแลเจ้าด้วย พ่อย่อมสนับสนุน” ราชทูตผู้ตามใจลูก หันไปสั่งพ่อบ้านคนสนิท “สุ่ยซาง เจ้าไปตามคนของข้ามาให้คุณหนูเลือก”
“เดี๋ยวเจ้าค่ะ เดี๋ยว” ลี่เหม่ยหลินรีบค้านท่านพ่อทันที ไหนๆ ก็เรียกคนมาแล้ว ไม่สู้หาอีกคนให้ครบเลยไม่ดีกว่ารึ “ในจวนของเรามีผู้ใดวาดภาพเป็นหรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ”
ราชทูตลี่จงมองบุตรสาวพร้อมกับมองพ่อบ้านประจำจวน “อะแฮ่ม” คล้ายอยากตอบครึ่ง ไม่อยากตอบครึ่งด้วยเพราะหากตอบออกไป จวนนี้คงต้องมีการเปลี่ยนแปลง “อยากวาดภาพไปติดในร้านรึ เจ้าอยากได้กี่ภาพ”
ผู้เป็นบุตรสาวส่ายหน้า “มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ลูกอยากได้นักวาด ไปนั่งประจำเพื่อวาดภาพลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการในร้านของลูก มีหรือไม่เจ้าคะ”
“เอ่อ” ลี่จงทำท่าคิดหนักกว่าเดิม “จะว่ามี มันก็มีอยู่”
°∆° “จริงรึเจ้าคะ?” ใบหน้าน่ารักเปล่งประกาย ‘เช่นนั้น คนทำงานของนางก็พร้อมแล้วงั้นสิ’ ^^ “ผู้ใดเจ้าคะท่านพ่อ ลูกอยากพบเพื่อให้คนผู้นั้นลองวาดภาพ” ในระหว่างที่ท่านพ่อของนางกำลังอ้ำอึ้ง ท่านแม่ของนางก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะมีเสียงทุ้มของบุรุษสูงวัยดังแทรกเข้ามา
“ข้าน้อยเองขอรับคุณหนู”
ขวับ! ‘หืม’ “ลุงพ่อบ้าน?”
“ขอรับ ข้าวาดภาพเป็น” สุ่ยซางตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย
คำตอบนั้นทำให้นางถึงกับเผลอตัว “เย้ๆ” สองมือเล็กๆ ชูขึ้นสูงเหมือนดีใจแต่ในความดีใจนั้น รอบกายนางกลับเงียบสงบ ‘เอ๋?’ รอยยิ้มบนใบหน้าจืดลงทีละนิด ก่อนจะตระหนักได้ถึงสิ่งที่นางขอ มากกว่าความดีใจคือยามนี้นางขอคนวาดภาพไปอยู่ประจำร้าน ถ้าหากลุงพ่อบ้านเป็นนักวาดได้ เรื่องของนางย่อมไม่มีปัญหา แต่ใครจะอยู่เป็นพ่อบ้าน! “เอ่อ ท่านพ่อ”