อาจารย์อู๋เทียนเล่อ

1353 Words
เจ้าตัวที่ได้ฟังคำว่า ‘เหมือนตายแล้วเกิดใหม่’ ถึงกับน้ำตารื้น นางร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย เพราะนาง...เคยตายไปแล้วจริงๆ “เจ้าค่ะท่านแม่ ชีวิตนี้ที่ลูกได้มา ลูกจะดูแลมันเป็นอย่างดี จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้อีกเจ้าค่ะ” ยกมือผอมบางขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ “ท่านพ่อ” นางมองบุรุษผู้ห่วงใยนางอีกคน ที่ยังนั่งอยู่ตรงนั้น “ลูกไม่เป็นไรแล้วนะเจ้าคะ” “พ่อรู้ รู้ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไรแล้วลูกรัก” ฝ่ายบิดาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหางตา เคราะห์หนักของสกุลลี่หมดลงแล้ว เหลือแค่เพียงความสงบสุข? &&&& หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา วรัญญาผู้รับรู้ว่าตนในตอนนี้คือคุณหนูสกุลลี่ บุตรสาวของราชทูตประจำแคว้นฉินแต่เดินทางมารักษาการณ์ในแคว้นต้วนเป่ย ได้สอบถามความเป็นไปของตนเองกับสาวใช้คนสนิท “อาซิง ยามที่ข้านอนหลับไป ข้าฝันเห็นเรื่องราวมากมายที่เสมือนจริงมาก ข้าฝันเห็นรถเทียมล้อสี่ล้อที่ใช้เครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน เห็นตึกใหญ่โต ต่างกับยามนี้ที่ข้ามองไปทางใดก็มีแต่สิ่งของโบราณ” รำพันถึงมันด้วยความคิดถึง “สิ่งของโบราณหรือเจ้าคะ” อาซิงทำหน้าไม่เข้าใจ “ใช่ แต่นั่นเป็นเพียงความฝัน ไหนเจ้าเล่ามาสิ ว่ายามนี้ข้ากี่หนาวแล้ว” ลี่เหม่ยหลินมองร่างกายของตนเองที่ผ่ายผอมไปหมดก็ได้แต่ถอนใจ ที่จริงแล้วหลังจากวันนั้น วันที่นางตื่นขึ้นมาในร่างคนอื่น นางก็เอาแต่แอบร้องไห้และเฝ้าแต่นึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา ครั้นจะนึกว่าตนกำลังอยู่ในห้วงฝันแต่มันกลับไม่ใช่เช่นนั้น ในเมื่อทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาพบความจริง นางก็ยังอยู่ในร่างนี้มากกว่าห้าวันแล้ว อาซิงไม่ได้สนใจว่าทำไมคุณหนูถึงลืมอายุตนเอง แต่นางกำลังสนใจในเรื่องความฝันขอคุณหนูมากกว่า “สิบสี่หนาวเจ้าค่ะ อีกไม่ถึงห้าเดือนคุณหนูก็จะครบสิบห้าหนาวแล้ว แน่นอนว่าคุณหนูจะต้องได้เข้ารับการปักปิ่นตามประเพณี บ่าวว่ายามนั้นคงมีแม่สื่อมากมายมาทาบามคุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ” “ปักปิ่น แม่สื่อ?” เรื่องนี้นางไม่เคยรู้มาก่อน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคำถามสำคัญ “หมายถึงยามนี้ข้าอายุสิบสี่ย่างสิบห้า และข้าต้องเข้าพิธีปักปิ่น แต่แม่สื่อที่เจ้าว่าคือ?” “คือแม่สื่อจากฝั่งของเหล่าบุรุษมากมายที่ต้องการติดต่อทาบทามคุณหนูไปเป็นฮูหยินอย่างไรเล่าเจ้าคะ บุตรสาวของราชทูตอย่างคุณหนู เป็นอนุย่อมมิได้แล้ว” บีบนวดร่างกายผอมบางของคุณหนูที่เริ่มมีน้ำมีนวล ให้มีกำลังวังชาและแข็งแรงดังเดิม “แต่บ่าวว่าก่อนที่จะถึงวันปักปิ่น คุณหนูรีบบำรุงร่างกายตนเองให้เดินเหินได้โดยไวจะดีกว่านะเจ้าคะ เพราะในอีกสิบวันข้างหน้านี้คุณหนูต้องเข้าสำนักศึกษาไปสอบวัดระดับการเรียนรู้ของสตรี เมื่อทดสอบเสร็จแล้วคุณหนูก็มิต้องไปที่นั่นอีกเพราะสตรีเช่นเราเมื่อผ่านพ้นวันปักปิ่นนั่นหมายถึงพร้อมที่จะออกเรือน” ใบหน้าผู้ฟังเริ่มเคร่งเครียด การสอบที่ว่า มิได้ทำให้นางหนักใจ ‘แต่สิ่งใดคือ สิบห้าหนาวแล้วพร้อมออกเรือน?’ “เจ้าอายุกี่หนาว” “สิบแปดเจ้าค่ะ” -_- “หมายถึงเจ้ามีสามีแล้ว” อาซิงส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ” นางมองหน้าคุณหนูที่ถามคำถามสุดประหลาดทั้งๆ ที่นางมั่นใจว่าคุณหนูก็รู้อยู่แล้ว “บ่าวเป็นบ่าว มิใช่สตรีร่ำรวยเงินทอง จะออกเรือนเมื่อใดย่อมมิสำคัญ” “อย่ามากล่าวให้ขัน การออกเรือนเกี่ยวสิ่งใดกับร่ำรวยหรือไม่ร่ำรวย คนเราเกิดมามีสิทธิเท่าเทียมกัน จะรวยจะจนสุดท้ายก็ไม่พ้นต้องตายเหมือนกัน อย่ากล่าวดูถูกตนเองเช่นนี้อีก” เถียง สาวใช้ก้มหน้านวดแขนให้คุณหนูอย่างเศร้าใจ ‘ดีใจ’ ที่คุณหนูกล่าวเช่นนี้ แต่มันคือความจริงอย่างที่สุดแล้ว บ่าวจวนไหนก็เป็นเช่นที่นางกล่าว จะดีหน่อยคือบ่าวและสาวใช้ในจวน อาจรักกันและอยู่ด้วยกัน มีน้อยนักที่จะเจอเนื้อคู่ผู้ร่ำรวยอยู่ด้านนอก “เจ้าอายุสิบแปด ที่จริงแล้วข้าต้องเรียกเจ้าว่าพี่อาซิงใช่หรือไม่” สาวใช้ส่ายหน้าพัลวัน “อย่าเรียกเช่นนั้นเจ้าค่ะ มันไม่เหมาะสม” ลี่เหม่ยหลินได้แต่ถอนหายใจ ‘ไม่เหมาะสม ไม่ควร ไม่ได้?’ ข้อห้ามของสตรีในยุคสมัยนี้ช่างมีมากมายเหลือเกิน มากจนนางไม่อยากจะสนใจแต่ก็ไม่อยากจะเถียงสาวใช้ให้มากความอีก “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่าข้าต้องไปสอบ แล้วตามปกติ ข้าต้องไปร่ำเรียน เขียนอ่านกี่วันรึ” “สามวัน ในสำนักศึกษา แต่หลังจากที่คุณหนูไม่สบาย นายท่านได้ส่งคนไปแจ้งแก่สำนักศึกษาแล้ว ว่าคุณหนูจะไปในวันสอบเท่านั้นเจ้าค่ะ” “อืม เช่นนั้นก็ดี ว่าแต่เนื้อหาที่ร่ำเรียนเกี่ยวกับสิ่งใด” “การบ้าน การเรือน เย็บปัก มารยาทสตรี การทำอาหาร” -_- เป็นอีกครั้งที่เหม่ยหลินทำหน้านิ่ง ในขณะที่สาวใช้ของนางยังคงนวดแขน นวดขาไปอย่างนั้น “หมายถึงปฏิบัติ” “มิใช่เจ้าค่ะ การปฏิบัติจริงล้วนจบสิ้นแล้ว ในครานี้คือการสอบเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนที่ผ่านมาของคุณหนูเท่านั้น” ‘ก็ยังดี ที่สวรรค์ยังเมตตา’ เพราะทั้งหมดที่สาวใช้กล่าวมา นางทำเป็นแค่สองอย่างคือการเรือนและทำอาหาร ‘เย็บปักกับมารยาทรึ ฝันไปสิ’ “เช่นนั้นวันนี้เราออกไปเดินในสวนให้มากหน่อยเถอะ” นางขยับร่างกายที่อ่อนแรงให้ลุกขึ้นยืน แม้ขาจะยังสั่นเทาแต่นางก็ต้องพยายามเดิน มิเช่นนั้นนางจะเดินไม่ได้ ซึ่งชีวิตใหม่ในครั้งนี้ นางไม่ได้อยากจะพิการ ดังเช่นท่านหมอหญิงฟู่บอกเอาไว้ ‘ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร’ และนางจะพยายามทำให้ร่างกายนี้แข็งแรงโดยเร็ว “ท่านพ่ออยู่หรือไม่” “นายท่านเข้าวังไปเมื่อยามซื่อแล้วเจ้าค่ะ ส่วนเยว่ฮูหยิน ยามนี้กำลังนั่งสวดมนต์ขอพรอยู่เจ้าค่ะ” “หมายถึงวันนี้เป็นวันพระรึ” “เจ้าค่ะ” อาซิงประคองคุณหนูของตนเองให้ลงจากเรือนเล็ก ไปเดินเล่นในสวนกว้าง ท้องฟ้ายามนี้ปลอดโปร่งกว่าเดิมหลายเท่า ยิ่งเห็นใบหน้าคุณหนูยิ้มแย้ม นางก็ยิ่งมีความสุข ‘นับจากนี้ขออย่าให้คุณหนูได้เจอเรื่องร้ายๆ อีกเลย’ สาวใช้เฝ้าภาวนา &&&& ห้าวันผ่านไป ร่างกายของลี่เหม่ยหลินดีขึ้นตามลำดับ นางทานแต่ของที่มีประโยชน์เพื่อบำรุงร่างกายไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ทุกอย่างภายในจวน นางสนิทสนมกับท่านพ่อและท่านแม่มากขึ้น เอาใจใส่ทุกสิ่งรอบข้างมากขึ้น ที่สำคัญคือนางมีความคิดที่โตเกินกว่าเด็กสาวที่ยังไม่พ้นวัยปักปิ่น ‘แน่ล่ะ เพราะจิตวิญญาณของนางนั้น แท้จริงแล้วมีอายุถึงยี่สิบสี่ปี’ แต่เรื่องนั้นหาใช่สำคัญเทียบเท่ากับการกระทำตนให้เป็นสตรีในห้องหอ ตามที่ท่านแม่ของนางสอนสั่ง “แม่ว่าการเดินของเจ้ามันดูแปลกๆ แต่ไม่เป็นไร การสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหาใช่เรื่องมารยาทของสตรีไม่ ท่านพ่อของเจ้าบอกกับแม่มาว่าผู้คุมการสอบในครั้งนี้มีท่านอาจารย์อู๋เทียนเล่อร่วมอยู่ด้วย จำได้หรือไม่” ‘อู๋เทียนเล่อ’ ลี่เหม่ยหลินทวนนามของท่านอาจารย์ซ้ำๆ นามนี้ทำให้นางหัวใจกระตุกไปหนึ่งครั้ง...ไม่สิ! มันอาจจะเป็นเพียงการตอบสนองของร่างกายที่ได้ยินนามของอาจารย์ในสำนักศึกษาและมันคงไม่สำคัญอะไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD