ข้ายังเด็กเจ้าค่ะ

1367 Words
‘อู๋เทียนเล่อ’ ลี่เหม่ยหลินทวนนามของท่านอาจารย์ซ้ำๆ นามนี้ทำให้นางหัวใจกระตุกไปหนึ่งครั้ง...ไม่สิ! มันอาจจะเป็นเพียงการตอบสนองของร่างกายที่ได้ยินนามของอาจารย์ในสำนักศึกษาและมันคงไม่สำคัญอะไร นางแสร้งพยักหน้าใส่มารดา “ได้เจ้าค่ะ” แม้ว่าแท้ที่จริงแล้วนางจะจำไม่ได้ ‘แต่แล้วอย่างไร แค่สอบๆ ไปให้จบแล้วกลับจวน’ มีสิ่งใดให้ต้องสนใจหรือจดจำอีก “ขากลับ ลูกขอแวะชมร้านค้าข้างทางได้หรือไม่เจ้าคะ” สีหน้าของเยว่ฮูหยินดูเป็นกังวล การหมดสติไปเมื่อไม่นานมานี้เป็นเรื่องเลวร้ายและมารดาเช่นนางไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ครั้งนั้นเดินตลาด ครั้งนี้ขอเดินข้างทางเพื่อกลับจวน “แม่ว่า” “ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เชื่อลูกเถอะ ให้ลูกได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ให้ผู้คนภายนอกได้เห็นว่าลูกไม่เป็นอะไร” เหมือนเช่นเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางที่ท่านป้ากวมเล่าให้ฟัง ชาวตลาดต่างพากันพูดแบบปากต่อปากว่า หากนางไม่พิการก็คงไม่มีชีวิตรอด และนางจะออกไปยืนยันให้ทุกคนได้รู้ว่านางสบายดี ถามว่านางโกรธคนที่นำชื่อของนางไปเล่าขานกันหรือไม่ ขอตอบว่าไม่ เพราะพวกเขาให้ความสนใจ จึงเล่าลือ เป็นธรรมดาของชาวตลาดทุกที่ ที่ต้องมีเรื่องเล่า “นะเจ้าคะ อีกอย่างคือลูกกำลังคิดที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง” ^^ “หืม ลูกน่ะรึ?” “เจ้าค่ะ อีกไม่นานเมื่อลูกผ่านพ้นวันปักปิ่นไปแล้วนั่นหมายถึงลูกเติบโตขึ้นไปอีกขั้นและไม่ว่าจะมีแม่สื่อหรือไม่มีแม่สื่อมาทาบทามลูก ท่านแม่ก็อย่าได้สนใจในเมื่อเราหาใช่คนในแคว้นนี้ไม่ ใจลูกอยากจะหาเนื้อคู่ที่อยู่ในแคว้นเรามากกว่า หรือท่านแม่คิดเห็นเช่นไร” ข้อเสนอนี้คือการยืดเวลาการมีคู่ของนางต่างหาก ‘อายุสิบห้า ใครเขาอยากออกเรือนกันล่ะ’ จะอย่างไรก็ตาม นางก็ยังไม่พร้อมในเรื่องนี้จริงๆ เยว่ฮูหยินมิได้แปลกใจที่บุตรสาวกล่าวเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้ง สาเหตุสำคัญเป็นเช่นไร มารดาเช่นนางย่อมรู้ดี “เป็นข้อเสนอที่ดี แต่ปัญหามันอยู่ที่เราต้องอยู่ในแคว้นนี้ต่อไปอีกสามปีน่ะสิ ยามนั้นเจ้ามิอายุสิบแปดหนาวกลายเป็นสาวเทื้อแล้วหรอกรึ” “เช่นนั้นอาซิงก็เป็นสาวเทื้อ” หาข้ออ้าง “มันไม่เกี่ยวกับอาซิงหรอกเหม่ยหลิน เอาเถอะจะอย่างไรเสีย แม่เจ้าต้องไปบอกกับท่านพ่อก่อน ท่านว่าอย่างไรเราก็ว่าตามนั้น” เยว่ฮูหยินนั่งปักผ้าไป มองบุตรสาวที่กำลังทานผลไม้ไปอย่างเอ็นดู แววตาคนเป็นแม่อ่อนแสงลงเล็กน้อยเมื่อเห็นบุตรสาวเริ่มกลับมามีน้ำมีนวลเหมือนเดิม ใบหน้าอิ่มอมชมพู พวงแก้มมีเลือดฝาด คำว่าน่ารักจนลืมไม่ลงคงไม่เกินจริงนัก คืนนั้น “นางกล่าวเช่นนั้นรึ” “ใช่เจ้าค่ะ อันที่จริงเรามีลูกสาวเพียงคนเดียว ข้าเองก็ไม่ได้เร่งรัดให้ลูกต้องออกเรือน หรือท่านพี่ว่าอย่างไร” “จะว่าอย่างไร นางเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก พี่เองไม่ได้อยากขัดใจลูก แต่ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ หากนางเกิดรักใคร่ชอบพอกับบุรุษสกุลใดก็ค่อยว่ากัน ดีหรือไม่” ลี่จงจิบชาไป มองนอกหน้าต่างไป ท้องฟ้าในแคว้นต้วนเป่ยมิเหมือนกับแคว้นฉิน คนจากแผ่นดินมาแสนไกล อย่างไรก็คิดถึงแคว้นเดิมอยู่วันยังค่ำ ไหนจะจวนเดิมที่มีอนุนับสิบนั่นอีกเล่า จำได้ว่าฮูหยินเอกของเขาสั่งการเหล่าอนุเอาไว้ ‘ถ้าหากพวกข้าไม่กลับไปภายในสองปี พวกเจ้าจะออกไปไหนก็ไป หรือจะหาสามีใหม่ข้าก็ไม่ว่า’ แต่ฮูหยินรัก ถามสามีรึยัง...เฮ้อ! สามปีข้างหน้า ถ้าได้กลับไปยังแคว้นฉินจริง มีหวังจวนของเขาคงไม่ต่างกับจวนร้างที่มีบ่าวเฝ้าอยู่ไม่ถึงสิบคนเป็นแน่ “ดีเจ้าค่ะ” &&&& วันต่อมา “ชุดพวกนี้คือชุดที่ข้าใส่เป็นประจำยามที่ไปยังสำนักศึกษารึ” จะถามว่ามันคือชุดยูนิฟอร์มก็ยังจะต้องยั้งปากเอาไว้สักหน่อย “ใช่เจ้าค่ะ เป็นเครื่องแบบของผู้ร่ำเรียนที่นั่น” อาซิงกางชุดสีขาวแถบดำคล้ายจอมยุทธ์สตรีให้คุณหนูของนางได้ดู “มีทั้งบุรุษและสตรีใช่หรือไม่” “ใช่เจ้าค่ะ” “เช่นนั้น หากข้าจบการร่ำเรียนในวัยใกล้สิบห้าหนาวแล้วเหล่าบุรุษเล่า จบพร้อมกันด้วยหรือไม่” “เล่าคุณชายทั้งหลายร่ำเรียนวิทยายุทธ์กันต่อ ไปจนถึงสิบแปดหนาว แต่หากยามนั้นคุณชายท่านใดเกิดสมรส นั่นเท่ากับว่าคุณชายท่านนั้นพร้อมมีครอบครัวแล้วไม่ต้องไปร่ำเรียนสิ่งใดเพิ่มอีก ยกเว้นการเรียนวรยุทธ์ที่มีอาจารย์บางท่านรับเปิดสอนเป็นการส่วนตัวเจ้าค่ะ” “อ่อ เป็นเช่นนั้น” ลี่เหม่ยหลินทานเซาปิ่งไป ทานนมสดไปอย่างชอบใจ อาหารการกินในภพนี้ช่างเอร็ดอร่อยถูกปากนางเสียเหลือเกิน หากวันใดมีเวลาว่างนางจะไปขอให้ท่านป้าในโรงครัวสอนนางทำอาหารง่ายๆ สักสามสี่อย่างเสียแล้ว &&&& วันสอบ:สำนักศึกษา รถม้าสกุลลี่เดินทางไปจอดยังหน้าสำนักศึกษา เหล่าบุรุษและสตรีรุ่นเยาว์ต่างพากันมองรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งทูต ก่อนหน้านั้น ทุกคนจำได้ว่าคุณหนูสกุลลี่ ลี่เหม่ยหลิน ไม่ค่อยสบายและหมดสติไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นคุณหนูอีกเลย ยกเว้นข่าวคราวเรื่องหมอหลวงหลายสำนัก เข้าออกสกุลลี่ไม่เว้นแต่ละวัน...นั่นคือเรื่องเก่าเมื่อหลายวันก่อน &&&& ในรถม้า “คุณหนูเจ้าคะ” “ว่าอย่างไร” ลี่เหม่ยหลินจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เปิดผ้าม่าน ร่างกายของนางในตอนนี้กลับมาแข็งแรงมีเนื้อมีหนังเกือบสมส่วนแล้ว ใบหน้ารึก็แต่งแต้มตามอายุที่ใกล้จะสิบห้าหนาวของนาง ปากบางมันวาวสีชมพูอ่อน เปลือกตาทาสีชมพูแบบเจือจาง พวงแก้มของนางรึ...มีเลือดฝาดสมวัย นางจึงไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรอีก ‘คงไม่ต่างกับเหล่าคุณหนูในวัยเดียวกันกระมัง’ “บ่าวแอบมองผ่านช่องหน้าต่างเมื่อครู่นี้ มีแต่คนมองรถม้าของเราเจ้าค่ะ” อาซิงหวั่นใจแทนคุณหนูของนาง แม้เรื่องหมดสตินั้นจะถูกพูดถึงไปไกลจนกู่ไม่กลับแต่ในวันนี้คุณหนูผู้ถูกจับตามองได้เดินทางมาสอบพร้อมกับร่างกายปกติ แถมใบหน้ายังงามสะพรั่งกว่าเดิมอีกด้วย…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด “ช่างพวกเขาเถิด เจ้าเปิดประตูรถม้าสิ” ลี่เหม่ยหลินผู้มั่นใจ ไม่ได้คิดจะอายสิ่งใด ในเมื่อนางจำพวก อาซิงเปิดประตูกับผ้าม่านและก้าวลงไปยืนอยู่ด้านนอก นางเริ่มประหม่าแทนคุณหนูแต่ไม่สามารถถอยกลับไปขึ้นรถม้าได้ วินาทีที่รองเท้าเล็กสะอาดสะอ้านก้าวลงมา เสียงรอบข้างกลับฮือฮา บ้างก็กล่าวว่า “นางมิได้เป็นอะไรนี่ แล้วผู้ใดหาว่านางพิการไปแล้ว” “นางยังคงน่าทะนุถนอมเหมือนเดิม” “หลังวันสอบวันนี้ ข้าจะโอกาสเข้าไปสนทนากับนาง” ฯลฯ หลายเสียงดังเข้าหูของลี่เหม่ยหลินที่ยังคงยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินเข้าไปในสำนักศึกษาโดยไม่ทักทายผู้ใด ข้างกันนั้นเป็นอาซิงที่คอยติดตามไม่ห่าง “ข้าต้องเดินไปสอบทางไหนน่ะอาซิง” นางกระซิบกระซาบสาวใช้เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน “เจ้าเดินนำไปสิ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD