“หืม...” คนเป็นนาย มองบ่าวคู่ใจที่เปรียบเหมือนสหาย “ได้งั้นรึ” เลิกคิ้ว พร้อมกับยิ้ม ^^
หูเกอส่ายหน้าหวือ “อย่าเลยขอรับ เท่านี้บ่าวทุกคนในจวนก็แทบจะไม่ได้หายใจกันแล้ว”
“ฮ่าๆๆ” อู๋เทียนเล่อยืนมองตัวบ้านซอมซ่อที่เคยถูกใช้งานมานานหลายปีจากผู้เช่าคนก่อนที่ยามนี้ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ในแคว้นอื่นสภาพบ้านเก่ามีอะไรให้คุณหนูลี่สนใจ และร้านของคุณหนูลี่เป็นแบบไหน ‘ตัวเขาย่อมสนใจอยากรู้’ สองขาบุรุษเดินห่างออกไปโดยไม่ได้สนใจอะไรกับตัวบ้านอีก จุดมุ่งหมายคือจวนหลักของตนเอง จวนสกุลอู๋…จวนที่มีแต่ความวุ่นวาย
&&&&
ห้าวันต่อมา
ในวันนี้คือวันปักปิ่นของว่านเจียอี แน่นอนลี่เหม่ยหลินผู้ถูกเชื้อเชิญย่อมต้องเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว นางสวมชุดสีส้มอ่อนๆ ชุดตัวในเป็นสีขาวสะอาดตา ทรงผมในวันนี้ไม่ได้เด่นเกินหน้าเจ้าของงานเพราะนางผูกแค่ผ้าผูกผมเป็นโบเล็กๆ หนึ่งชิ้นให้น่ารักสมวัย ใบหน้าตกแต่งบางเบา ต้องยอมรับว่าสภาพผิวของนางดีมากจริงๆ เนียนใสไร้ริ้วรอยให้ขัดตา รูปร่างรึ เริ่มเติบโตขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ อีกไม่นานก็คงเป็นสตรีโตเต็มวัย...อีกแค่สามเดือนที่ต้องปักปิ่น แต่เมื่อถึงยามนั้นร้านของนางคงเสร็จก่อนแล้ว คิดไปยิ้มไป
“คุณหนูเจ้าคะ รถม้ามาจอดรอแล้วเจ้าค่ะ”
“เหวินซางไปด้วยหรือไม่” นางถามถึงบ่าวชายประจำตัว ที่ต้องตามติดนางทุกฝีก้าวไม่ต่างกับอาซิง
อาซิงพยักหน้า “พี่เหวินซางจะขับรถม้าให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“อืม ดีๆ ป่ะ ไปกันเถอะ”
&&&&
จวนสกุลว่าน
หน้างานยามนี้มีผู้คนเดินไปมาไม่ถึงสิบคน ถามว่าน้อยเกินไปหรือไม่สำหรับการเลี้ยงวันเกิด หากสกุลว่านคือสกุลขุนนางนับว่ายังน้อยไปที่ไม่คึกคักเท่าที่ควร เสียงบรรเลงกู่ฉินไพเราะเสนาะหู ดังแว่วออกมาถึงด้านหน้า
ลี่เหม่ยหลินเดินนำอาซิงเข้าไปด้านในโดยให้เหวินซางนั้นอยู่เฝ้ารถม้าทางด้านนอก แน่นอนว่าตราประทับบนบัตรเชิญคือเครื่องยืนยันได้ว่านางมิได้มาผิดงาน พ่อบ้านยิ้มต้อนรับพร้อมกับผายมือให้นางผ่านเข้าไปง่ายๆ ด้านนอกว่าคนน้อย ด้านในประมาณคนได้ไม่ถึงห้าสิบคน ย้อนคิดไปถึงงานของนางที่จะมีในวันหน้า หากเป็นไปได้นางก็คงไม่เชิญใครเลย…แต่คงเป็นเพียงแค่ความคิดเพราะบิดานางย่อมต้องเชิญสหายหรือแม้แต่ตัวนางยังต้องส่งเทียบเชิญไปให้ท่านอาจารย์ในสำนักศึกษาด้วยน่ะสิ! “ยินดีกับเจ้าด้วยว่านเจียอี วันนี้เจ้าเป็นสตรีงดงามเต็มตัวแล้ว”
ว่านเจียอีค้อนใส่สตรีตัวน้อยที่ดูงดงามผุดผาดกว่าเคยในชุดสีส้มอ่อนๆ นั่นเพราะอีกฝ่ายเริ่มเติบโตขึ้นมากไม่ต่างจากนางในยามนี้ที่แต่งองค์ทรงเครื่องแบบจัดเต็ม “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มา”
^^ “ไม่มาย่อมไม่ได้ นี่ของขวัญจากข้า” นางหยิบกล่องของขวัญใบเล็กที่ด้านในเป็นปิ่นปักผมติดไข่มุกราคาสูง แน่นอนว่าว่านเจียอีคงไม่เสียมารยาทเปิดมันดูในยามนี้แน่ ‘ใจอยากจะบอกว่าสุขสันต์วันเกิด ก็คงไม่ได้’ เช่นนั้น “ขอให้มีความสุขมากๆ ในวันเกิด คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา”
“อวยพรราวกับสตรีสูงวัย”
ลี่เหม่ยหลินถึงกับหัวเราะ “คริคริ กล่าวหนักเกินไปแล้ว”
“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปนั่ง”
ลี่เหม่ยหลินเดินตามว่านเจียอี พร้อมกับมองผู้อาวุโสทุกคนพร้อมกับผงกหัวคล้ายเคารพอย่างมีมารยาท ก่อนเจ้าของงานจะไปหยุดลงตรงที่นั่งถัดจาก ว่านจือฮัน “ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะคุณชายว่าน” นางจำเป็นต้องเอ่ยทักทายตามมารยาท ในที่นั่งถัดไป เป็นคุณชายอีกสองคนที่นางไม่รู้จัก ทั้งสองบุรุษนั้นใบหน้าแดงก่ำ มิใช่เพราะเขินอายแต่เป็นเพราะพวกเขาเมาสุรา
^^ “เรียกพี่จือฮันเหมือนเจียอีสิ คุณหนูลี่”
นางแค่พยักหน้าแต่ยังมิได้เรียกในทันที ก่อนจะนั่งลงพร้อมกับสาวใช้ของนางที่นั่งเยื้องไปทางด้านหลัง ตากลมแสร้งมองไปรอบๆ งานอีกครั้ง ในหูฟังเสียงดนตรี สาวใช้ในจวนเดินยกอาหารกันขวักไขว่ บุรุษสูงวัยนั่งร่ำสุรากันเสียงดัง ‘ซึ่งคนเมาที่ใดต่างก็เสียงดังกันทั้งนั้น นางเข้าใจ’
ว่านเจียอีนั่งลงทางฝั่งตรงกันข้ามกับลี่เหม่ยหลิน นางแอบเห็นพี่ชายที่นั่งถัดไปทางขวามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาหวานเชื่อม ไม่รู้ว่าเมาสุราหรือเมา…รักสตรี “วันปักปิ่นของเจ้า จะให้ข้าไปหรือไม่”
ผู้ถูกถามรีบหันมาตอบ “ย่อมต้องไปสิ ทดแทนกัน ข้ามางานเจ้า เจ้ามางานข้า” ^^
“แล้วพี่เล่า เจ้าชวนหรือไม่” ^^ ว่านจือฮันถามด้วยท่าทางโงนเงน
คำพูดยานคางนั้น เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเริ่มเมา แต่กระนั้นนางก็ยังตอบตามมารยาท “ไปได้เจ้าค่ะ”
ปึ่ก! เสียงวางสำรับกระแทกกับโต๊ะ ทำเอาผู้นั่งสนทนากันต้องมองไปยังต้นเหตุ ซึ่งอีกฝ่ายคือสาวใช้หน้าตาสะอาดหมดจด กำลังทำหน้าบึ้ง
ว่านเจียอีทำหน้าไม่พอใจ นางตวาดใส่อีกฝ่ายทันที “ไร้มารยาทที่สุด ถ้าเจ้าจะนำอาหารมาวางด้วยกิริยาเช่นนี้ มิสู้อยู่แค่ในโรงครัวก็พอแล้ว!!”
สาวใช้นามว่า เสี่ยวจูชักสีหน้าใส่ว่านเจียอีแต่กลับหันมาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่ว่านจือฮันที่นั่งโต๊ะถัดไป “คุณชาย”
ว่านจือฮันแสร้งจิบสุราและสนทนากับสหาย ทำราวกับไม่ได้ยินเสียงของสาวใช้ หางตาเหลือบมองไปยังคุณหนูสกุลลี่ที่เงียบฟังความน่าละอายตรงหน้า หากเสียงเพลงไม่ดัง ทุกคนในงานคงได้ยินเสียงว่านเจียอีตวาดเมื่อครู่
“ไปได้แล้ว อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าไปทำกิริยาเช่นนี้ใส่ผู้ใดอีก มิเช่นนั้น” ว่านเจียอีมองไปทางพี่ชาย “แม้แต่พี่ใหญ่ก็ช่วยเจ้ามิได้แน่”
เสี่ยวจูกำหมัดแน่น นางมองคุณหนูใหญ่ว่านเจียอีอย่างเกลียดชังก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป
ลี่เหม่ยหลินผู้เดาเหตุการณ์ได้ไม่ยากจึงเอ่ยเตือน “สาวใช้บ้านเจ้า อาจจะมิได้อยากเป็นเพียงสาวใช้ ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะเจียอี”
“ข้ารู้ แต่ถ้าไม่มีคนถือหาง นางย่อมมิใช่ปัญหา” จ้องพี่ใหญ่ของตนไม่วางตาพลางเปรยออกมาให้สามบุรุษได้ยิน “สตรีเช่นเราวันหน้าต้องแต่งออก หากมิรู้จักควบคุมสาวใช้ในเรือน ภายหน้ารึจะคุมอนุได้ เกลียดนัก”
“นั่นสิ” ลี่เหม่ยหลินพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่รู้เหตุใดสิทธิ์ที่มีอนุจึงมีเพียงฝ่ายชาย สำคัญคือฝ่ายหญิงต้องทน…เช่นนั้นรึ “เหล่าบุรุษคงรู้สึกดีที่มีสตรีในครอบครองมากมาย แล้วพวกเขาเคยถามสตรีเหล่านั้นหรือไม่ ว่าพวกนางมีความสุขหรือไม่มีความสุข” นางมองบุรุษที่นั่งติดกันทั้งสามคนรวมไปถึงว่านจือฮัน “พี่จือฮันคิดเห็นเช่นไร หากพี่มีอนุในปกครองมากมาย มิเท่ากับว่าพวกพี่มีหลายใจ ในขณะที่พวกนางทั้งหลายมีพี่เพียงคนเดียว”
“…” ว่านจือฮันหน้าเจื่อน พอๆ กับสหายอีกสองคน
ว่านเจียอียิ้มถูกใจ ‘เช่นนี้คือเป็นสหายกันได้’ ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อมองไปยังด้านหลังของลี่เหม่ยหลิน °∆°
ด้านของลี่เหม่ยหลินยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจบุรุษ “เช่นนี้แล้วเหล่าบุรุษจะสามารถแบ่งปันความรักได้ทั่วถึงจริงหรือ วันหน้าหากข้าปักปิ่น ข้าก็อยากจะมีบุรุษในจวนหลายๆ คนบ้าง” นางแค่แกล้งพูดเท่านั้น มิได้คิดที่จะมีหลายบุรุษเช่นนั้นจริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด รักเดียว ที่เคยมีในภพเดิมทำให้นาง เข็ดกับความรักมาจนทุกวันนี้
“ทำได้จริงหรือคุณหนูลี่” ^^