บทที่ 5.2 รอยยิ้มที่มองเห็น "เนื้อใน"

1414 Words
แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่างห้องเรียนรวมขนาดใหญ่ บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความกดดัน วันนี้เป็นการนำเสนอโปรเจกต์กลุ่มวิชาการตลาด ซึ่งมีผลต่อคะแนนเกือบครึ่งเทอม ลลินยืนอยู่หน้าห้อง มือที่กำไมโครโฟนชื้นเหงื่อจนเย็นเฉียบ เธอสวมชุดนักศึกษาที่ซักจนขาวสะอาด รีดเรียบกริบ แต่ไม่อาจปกปิดความจริงที่ว่าเสื้อตัวนี้เริ่มบางและมีสีหมองลงตามกาลเวลา กระโปรงทรงเอของเธอก็ดูเก่าเมื่อเทียบกับชุดแบรนด์เนมเข้ารูปของเพื่อนร่วมคลาสหลายคน รองเท้าคัชชูสีดำคู่เดิมมีรอยถลอกที่ส้นที่เธอพยายามเอาปากกาเคมีสีดำระบายปิดทับไว้ "กลุ่มต่อไป... กลุ่มของลลิน เชิญครับ" อาจารย์ประจำวิชาเอ่ยเรียก ลลินสูดหายใจเข้าลึก พยายามรวบรวมสมาธิ เธอเตรียมตัวมาดี ข้อมูลในหัวเธอแน่นปึก เธอทำสไลด์และวิเคราะห์ข้อมูลตลาดมาทั้งคืนจนไม่ได้นอน เธอก้าวออกไปยืนกลางเวที ทว่า... สายตาของเพื่อนร่วมคลาสบางกลุ่มที่มองมา ไม่ได้มองที่สไลด์นำเสนอ แต่มองที่ "รองเท้า" และ "กระเป๋าผ้า" ราคาถูกที่วางอยู่บนโต๊ะของเธอ "เอาล่ะค่ะ... สำหรับแผนการตลาดของสินค้าตัวนี้" ลลินเริ่มพูด เสียงของเธอใสกังวานและมั่นใจ ผิดกับบุคลิกภายนอกที่ดูหงิมๆ เธออธิบายกราฟและตัวเลขได้อย่างคล่องแคล่ว ตอบคำถามอาจารย์ได้ฉะฉาน จนอาจารย์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย จนกระทั่งถึงช่วง Q&A "ขออนุญาตถามค่ะ" เสียงหวานแต่แฝงความจิกกัดดังขึ้นจากกลางห้อง 'เอมมี่' ดาวคณะลูกสาวเจ้าของห้างดัง ยกมือขึ้นพร้อมรอยยิ้มเหยียด "เชิญครับนักศึกษา" อาจารย์อนุญาต เอมมี่ลุกขึ้นยืน กอดอกมองลลินหัวจรดเท้า "ไอเดียของลลินก็น่าสนใจนะคะ... แต่เอมมี่สงสัยว่า สินค้าตัวนี้เป็น Luxury Brand ที่ต้องใช้ความน่าเชื่อถือสูงมาก คนที่คิดแผนนี้ เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนรวยจริงๆ เหรอคะ?" เสียงฮือฮาดังขึ้นเบาๆ ทั้งห้อง เอมมี่พูดต่อ "คือ... ดูจากสภาพคนพรีเซนต์แล้ว เอมกลัวว่าลูกค้าจะมองไม่ออกถึงความพรีเมียมของสินค้าน่ะค่ะ ภาพลักษณ์คนขายมันขัดกับสินค้า... มันดู... 'ราคาถูก' ไปหน่อยไหมคะ?" คำว่า "ราคาถูก" เหมือนลูกธนูอาบยาพิษที่พุ่งปักกลางอกลลิน หน้าของเธอชาวาบ เลือดในกายเย็นเฉียบ เสียงหัวเราะคิกคักจากกลุ่มเพื่อนของเอมมี่บาดลึกลงไปในความทรงจำ ภาพในอดีตซ้อนทับเข้ามา... ภาพเงินกองโตบนโต๊ะ... ภาพสายตาดูถูก และคำพูดที่ตราหน้าว่าเธอเป็นแค่สิ่งของซื้อขาย ลลินยืนตัวแข็งทื่อ ปากสั่นพูดไม่ออก ความมั่นใจที่สร้างมาพังทลายลงต่อหน้าคนนับร้อย เธออยากจะวิ่งหนี... อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ "เอ่อ... คือ..." ลลินพยายามจะตอบ แต่เสียงของเธอหายไปในลำคอ "อาจารย์คะ เอมว่าเราควรให้คนที่มี 'คลาส' พรีเซนต์งานแบบนี้ดีกว่านะคะ ไม่งั้นเกรดรวมของห้องจะตกต่ำเพราะ..." [ครืดดด!] เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนออกอย่างแรง ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะ ทุกคนหันขวับไปมองที่หลังห้อง ภาคิน ในฐานะ TA (ผู้ช่วยสอน) ประจำวิชานี้ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าหล่อเหลาที่ปกติมักจะประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น วันนี้กลับเรียบตึง แววตาคมกริบกวาดมองไปทางเอมมี่จนอีกฝ่ายหุบยิ้มทันที "ขอโทษนะครับอาจารย์ ผมขออนุญาตเสริม" เสียงทุ้มของภาคินดังก้องห้องเรียนที่เงียบกริบ เขาเดินจากหลังห้อง ตรงมายังหน้าเวที มายืนเคียงข้างลลิน ไหล่ของเขากว้างพอที่จะบังเธอไว้จากสายตาที่มุ่งร้าย "เรากำลังเรียนวิชาบริหารธุรกิจครับ ไม่ใช่วิชาแฟชั่นดีไซน์" ภาคินพูดเสียงเรียบ แต่หนักแน่น "ในโลกธุรกิจ เราวัดมูลค่าของแผนงานที่ 'สมอง' และ 'ผลกำไร' ที่มันจะทำได้ ไม่ใช่เสื้อผ้าที่คนนำเสนอสวมใส่" เขาหันไปหยิบเล่มรายงานของลลินขึ้นมาโชว์ให้ทุกคนดู "ผมอ่านงานวิจัยของลลินละเอียดแล้ว ข้อมูลตลาดเชิงลึกที่ลลินหามา การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคที่แม่นยำขนาดนี้ แม้แต่บริษัทใหญ่ๆ บางทียังทำไม่ได้ละเอียดเท่านี้เลย" ภาคินวางรายงานลง แล้วหันไปสบตาเอมมี่ "ของบางอย่าง แม้จะห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แต่มันก็คือ 'ทองคำ' ครับ ในขณะที่ของบางอย่าง ใส่กล่องหรูหราแค่ไหน ข้างในอาจจะเป็นแค่ 'ก้อนกรวด' ก็ได้" ทั้งห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงแอร์ทำงาน คำพูดที่สุภาพแต่เจ็บแสบของภาคิน ทำให้เอมมี่หน้าแดงก่ำด้วยความอับอายและนั่งลงเงียบๆ ภาคินหันกลับมาหาลลิน ที่ยังยืนก้มหน้า น้ำตาคลอเบ้า เขาไม่พูดอะไร... แต่ยื่นมือมาแตะที่ข้อศอกเธอเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ "พรีเซนต์ต่อให้จบนะครับลิน งานของลินมีค่ามาก อย่าให้คำพูดไร้สาระมาลดทอนมัน" หลังเลิกคลาส ภาคินพาลลินเดินเลี่ยงผู้คนออกมาที่ม้านั่งใต้ต้นจามจุรีใหญ่ริมสระน้ำ คล้อยหลังผู้คน ความเข้มแข็งที่ลลินฝืนสร้างไว้ก็พังทลาย น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มเงียบๆ "ขอโทษนะลิน... พี่ไม่น่าปล่อยให้ใครมาว่าลินแบบนั้นเลย" ภาคินยื่นผ้าเช็ดหน้าสะอาดๆ ให้ ลลินรับมาซับน้ำตา มือไม้สั่นเทา "ฮึก... ขอบคุณค่ะพี่ภาคิน แต่ที่เขาพูดมันก็ถูก ลินมันจน ลินดูไม่แพงเหมือนคนอื่น" ความน้อยเนื้อต่ำใจระเบิดออกมา เธอเกลียดตัวเองที่จน เกลียดอดีตที่คอยฉุดรั้งเธอไว้ ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน คนก็ยังมองเห็นแต่ความจนและเสื้อผ้าเก่าๆ ของเธอ "ลินฟังพี่นะ" ภาคินนั่งลงข้างๆ เว้นระยะห่างเล็กน้อยเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง "ลินรู้ไหม... ทำไมพี่ถึงชอบมานั่งดูดาว?" ลลินเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงุนงง ทั้งที่ยังสะอื้น "ดาวมันอยู่ไกล... มันไม่ได้มีแสงสีฉูดฉาดเหมือนไฟนีออนในเมือง แต่มันมีแสงสว่างในตัวเอง และมันก็นำทางให้คนหลงทางได้" ภาคินหันมาสบตาเธอ แววตาของเขาอ่อนโยนราวกับจะโอบกอดความเจ็บปวดของเธอไว้ "สำหรับพี่... ลินเหมือนดาวดวงนั้น" "..." "เสื้อผ้า ของแบรนด์เนม มันเป็นแค่เปลือก แต่งานที่ลินทำ ความขยันของลิน ความคิดของลิน นั่นต่างหากคือสิ่งที่ 'แพง' ที่สุด และไม่มีใครขโมยมันไปจากลินได้" เขาเอื้อมมือมา ปัดปอยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าผากเธอออกให้อย่างเบามือ สัมผัสนั้นแผ่วเบา และบริสุทธิ์ "อย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นอีกนะครับ เพราะในสายตาพี่ ลินมีค่ามากกว่าคนทั้งห้องรวมกันซะอีก" หัวใจของลลินกระตุกวูบ คำว่า "มีค่า" ที่เธอโหยหามาตลอดชีวิต ไม่ใช่ค่าตัวที่ตีเป็นตัวเงิน แต่เป็นคุณค่าในความเป็นมนุษย์ วันนีผู้ชายคนนี้มอบมันคืนให้กับเธอ ความรู้สึกอบอุ่นวาบแล่นพล่านไปทั่วอก มันมากเสียจนน้ำตาแห่งความเสียใจแห้งเหือดไป เหลือเพียงความตื้นตัน "พี่ภาคิน..." "หิวไหม?" เขาเปลี่ยนเรื่องยิ้มๆ เพื่อไม่ให้เธอกดดันเกินไป "พี่รู้จักร้านบะหมี่เจ้าเด็ดหน้ามหาลัย อร่อยกว่าอาหารในโรงแรมหรูอีกนะ เลี้ยงปลอบขวัญคนเก่ง ไปด้วยกันไหม?" ลลินมองรอยยิ้มที่จริงใจนั้น รอยยิ้มที่ไม่ได้มองเธอเป็นสินค้า ไม่ได้มองเธอเป็นเหยื่อ แต่มองเธอเป็น "ลลิน" "ไปค่ะ..." เธอยิ้มตอบ ทั้งที่ตายังแดง "ลิน... ลินขอเกี๊ยวเพิ่มด้วยได้ไหมคะ" "ได้สิครับ จะเพิ่มกี่ชามก็ได้ พี่เลี้ยงเอง" บ่ายวันนั้น... ภาพของชายหนุ่มเดือนคณะ เดินเคียงคู่กับหญิงสาวในชุดนักศึกษาเก่าๆ ไปนั่งกินบะหมี่ข้างทางด้วยกัน กลายเป็นภาพชินตาที่ใครๆ ก็ต่างซุบซิบ แต่ลลินไม่สนใจสายตาเหล่านั้นอีกแล้ว เพราะเธอรู้แล้วว่า... ขอแค่มีคนคนเดียวที่มองเห็นคุณค่าของเธอ โลกทั้งใบจะมองยังไง ก็ช่างมัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD