[เดือนหนาว]
บ่ายวันต่อมา…
ติ๊ง
เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้น ทำให้ฉันที่กำลังเดินลงจากตึกห้องสมุดต้องล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมาดู
@แชตกลุ่ม
ยัยก้อย : ยัยหนาวฉันกับยัยโฟร์อยู่ที่ลานเกียร์นะ ถ้าออกจากห้องสมุดแล้วแกมาหาพวกฉันที่นี่ได้เลย
เดือนหนาว : ไปทำไมอะ ม้านั่งตึกเราก็มี
ยัยโฟร์ : พอดีเมื่อวานฉันได้คุยกับน้องข้างบ้านมันบอกว่าเรียนคณะนี้ ฉันเลยแวะมาหา
ยัยโฟร์ : บังเอิญมาก ๆ อะแก เรียนวิศวะด้วย กรี๊ดด
เดือนหนาว : ฉันไม่ไปได้ปะ จะอ่านหนังสือต่อ ถึงชั่วโมงเรียนแล้วค่อยเจอกันในห้องทีเดียวเลย
ยัยโฟร์ : ไม่ได้ แกต้องมา น้องฉันมัน FC แกนะมันอยากเจอแกตัวเป็น ๆ
เดือนหนาว : ฉันไม่ได้เป็นคนดังนะ ไม่ได้เป็นดาวมหาลัยด้วย
ยัยโฟร์ : เออน่า มาเหอะ มันเห็นแกในเฟซบุ๊กฉันมันเลยปลื้ม
ยัยก้อย : อย่าเล่นตัว เดี๋ยวแม่ฉุดเลย
เดือนหนาว : เค ๆ ไปก็ไป
ยัยก้อย : น่ารักมาก
หลังจากคุยกับสองนางเสร็จฉันก็รีบเดินออกไปนอกตึก บรรยากาศข้างนอกมีแดดประเทศไทยอันร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาผู้คนได้ทุกเมื่อ มันทำให้ฉันเริ่มถอดใจ ร้อนขนาดนี้พวกเพื่อน ๆ ฉันยังอุตส่าห์เดินไปหารุ่นน้องที่ลานเกียร์อีกนะ มันน่าบ่นนัก
“ร่มก็ไม่ได้พกมา บ้าจริง” เงยหน้ามองฟ้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะรีบเดินตรงไปยังลานเกียร์ที่เพื่อนซี้รออยู่
พอเดินมาถึงลานเกียร์ที่มีผู้คนมากมายนั่งเรียงรายเป็นกลุ่มตามโต๊ะม้าหินอ่อน ฉันก็ต้องถ่างตาหาว่าพวกเพื่อน ๆ ฉันอยู่ส่วนไหนของลาน
“ให้ตายสิ ทำไมคนเยอะแบบนี้เนี่ย ไม่มีเรียนกันหรือไง” ฉันบ่นพึมพำก่อนจะกวาดตามองไปรอบลาน ระหว่างนั้นก็ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเจ้าถิ่น ซึ่งก็คือเด็กคณะนี้ไปด้วย
แหงล่ะว่าฉันมันเด็กต่างคณะนี่นา พอเดินเข้ามาก็กลายเป็นจุดสนใจน่ะสิ ดูแค่การแต่งกายก็รู้แล้ว คณะนี้ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็จะสวมเสื้อยืดสีพื้นกับสวมเสื้อช็อปประจำเอกหรือคณะทับไว้อีกที แถมผู้หญิงคณะนี้ก็สวมกางเกงกันหมดเลยด้วย
พอมองหาไม่เจอก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ถ้าพวกนางกลับไปแล้วล่ะน่าดูเลย
@แชตกลุ่ม
เดือนหนาว : ฉันมาถึงแล้วพวกแกอยู่ไหน
เงียบกริบ…
“ยัยพวกนี้นี่ อย่าให้เจอนะ จะหยิกให้แขนเขียวกันหมดเลย” ฉันจิ๊ปากใส่หน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อหามุมคุยโทรศัพท์ มือก็กดโทรออกไปด้วย
ปึก!
“โอ๊ย!” แต่แล้วก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อเดินไปสะดุดกับบางอย่างจนล้มลงไปกองกับพื้น ทั้งโทรศัพท์มือถือยังร่วงหลุดมือไปด้วย
ทางเดินเกือบครึ่งของลานเป็นพื้นดินธรรมดาที่มีต้นไม้ยืนต้นอยู่ รากของมันโผล่พ้นพื้นมากพอที่จะทำให้คนเดินไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างฉันสะดุดเข้า
“เจ็บชะมัด”
“เฮ้ย! มีคนสะดุดลานเกียร์ว่ะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ม้าหินอ่อนใกล้ ๆ ฉันตะโกนขึ้น ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ในลานเกียร์ทั้งชายและหญิงต่างก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว
“ให้ผมช่วยไหมครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เสียงทุ้มของคนเมื่อกี้เอ่ยถามขณะเดินเข้ามาหาฉัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ฉันพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้ “ขอตัวก่อนนะคะ พอดีใกล้เข้าเรียนแล้ว” ว่าจบก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ระหว่างทางก็มีผู้คนมากมายมองมาที่ฉัน ทั้งยังหันไปซุบซิบกัน
‘มึง ๆ คนนี้ไงที่สะดุดลานเกียร์เมื่อกี้อะ’
‘น่ารักว่ะมึง ว่าที่สะใภ้คนต่อไปของคณะเราแน่เลย’
‘ใครจะเป็นผู้โชคดีคนนั้นวะ’
ฉันเดินกะเผลกเข้ามาใต้ตึกคณะวิศวะเพราะอยากหาที่นั่งพัก แต่สายตาหลายคู่ของผู้ชายมากมายที่นั่งกันตามขั้นบันไดของตึกและมุมต่าง ๆ ของตึกก็ทำให้ฉันถอดใจ เปลี่ยนหาที่หลบมุมเงียบ ๆ เป็นสวนหย่อมข้างตึกแทน
“เจ็บชะมัด…” เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องนั่งหลบมุมตรงเสาต้นใหญ่ใต้ตึกคณะ หัวเข่าของฉันตอนนี้มีเลือดไหลออกมา ทั้งยังเป็นรอยแดงและมีเศษดินเศษหินติด “แตกเลยเหรอ บ้าเอ๊ย โคตรเจ็บเลย”
“โห แผลใหญ่ขนาดนี้ไปห้องพยาบาลก่อนไหม เราว่าเข่าเธอน่าจะแตกนะ” เสียงทุ้มของใครบางคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันดังขึ้น ด้านหลังเขามีผู้ชายอีกสองคนเดินตามมาด้วย ดูจากการแต่งกายแล้วก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นเด็กคณะนี้ ‘วิศวะ’
“ใครเป็นไรวะไวน์” หนึ่งในสองคนที่เดินตามเขามาร้องถาม
“โหมึง เข่าแตกแบบนี้พาเขาไปหาหมอเถอะ” ผู้ชายอีกคนที่กดโทรศัพท์มือถืออยู่หันไปบอกเพื่อนก่อนจะมองมาที่หัวเข่าของฉัน
“งั้นเธอไปห้องพยาบาลก่อนไหม เดี๋ยวเราพาไป” คนที่ถูกเพื่อนเรียกว่า ‘ไวน์’ ถามฉันพร้อมย่อตัวลงมาดูแผลที่หัวเข่า
“อะ อื้ม แต่ตอนนี้เราเดินไม่ไหวน่ะ ขอนั่งพักก่อนนะ” ฉันบอกคนตรงหน้าก่อนจะพยายามบัดเศษดินเศษหินออกจากแผล “มันปวดตุบ ๆ น่ะ ตอนเดินเข้ามาในตึกก็เดินแทบไม่ไหว” ฉันเงยหน้าไปบอกเขา
“งั้น…ให้เราอุ้มเธอไปไหมล่ะ ถ้ารอนานกว่านี้แผลแห้งแล้วมันจะทำความสะอาดยากนะ อาจจะติดเชื้อด้วย” คนตรงหน้าอาสา
ที่เขาพูดมามันก็ถูก แต่จะให้ใครก็ไม่รู้มาอุ้มเรามันก็รู้สึกแปลก ๆ อะนะ
แต่ว่า…ถ้าไม่ไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปตอนไหน อีกอย่างตอนนี้ใต้ตึกเริ่มมีคนเข้ามากันเยอะแล้วด้วย ฉันไม่อยากเป็นจุดสนใจของใคร
“เอางั้นก็ได้ รบกวนด้วยนะ” ฉันพยักหน้าให้คนตรงหน้าก่อนจะหลบสายตาเขาเมื่อเผลอสบตากัน
“งั้นก็…โทษทีนะ” คนตรงหน้าเอ่ยเมื่อขยับเข้ามาใกล้
เรียวปากฉันเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่าเมื่อวงแขนของเขาสัมผัสกับเนื้อตัว ยิ่งใบหน้าของฉันอยู่ห่างจากแผงอกเขาไม่ถึงคืบ หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงอย่างประหลาด ทั้งเนื้อตัวยังชาวาบแปลก ๆ ยามที่กลิ่นน้ำหอมของเขาโชยมาแตะจมูก
“ไวน์ งั้นกูกับไอ้ทิวไปรอมึงที่ลานนะ” เพื่อนของเขาร้องบอกขณะเดินออกไปพร้อม
“เค”
ขณะที่เขาอุ้มฉันมาที่ห้องพยาบาล ฉันก็ต้องคอยหลบสายตาของผู้คนมากมายที่มองมาทางเราสองคน ไหนจะเสียงซุบซิบตลอดทางเดิน ไม่เว้นแม้แต่ห้องพยาบาล พวกนักศึกษาพยาบาลหรือนักศึกษาแพทย์ที่เปลี่ยนเวรมาดูแลห้องนี้ก็ยังหันมามองโดยเฉพาะสาว ๆ
ผู้ชายคนนี้ดูแล้วก็หน้าตาดีใช้ได้เลยนะ ถ้ายัยโฟร์กับยัยก้อยเห็นก็คงพูดว่าหล่อโคตร ๆ เลยมั้ง หุ่นก็ดี ตัวก็สูงมาก แต่ก็อย่างว่าแหละหล่อแค่ไหนเขาก็ไม่ใช่สเปคฉันอยู่ดี สำหรับฉันน่ะ ต้องหนุ่มแพทย์ น่ารัก อบอุ่น ใจดีเท่านั้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะฉันมีฮีโร่ในดวงใจนั่นก็คือคุณหมอธันวาสามีแห่งชาติ คุณพ่อของฉันเองแหละ ท่านทำให้ฉันมองผู้ชายที่มีบุคลิกต่างจากท่านไม่ได้เลย ฉันอยากเป็นผู้หญิงที่โชคดีเหมือนแม่บ้าง