[เดือนหนาว]
“ขอบคุณนะที่มาส่งเรา ไว้มีโอกาสเราจะตอบแทนนายบ้าง” ฉันก้มหัวเล็กน้อยให้กับผู้ชายตรงหน้าเมื่อขึ้นไปนั่งบนเตียงคนไข้เรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไร ว่าแต่เธอจะกลับยังไง ให้เรารอไหม เราว่างนะไม่มีเรียน”
“เราว่าจะให้เพื่อนมารับน่ะ”
“อ๋อ งั้นก็ดีแล้ว” คนที่ยืนอยู่พยักหน้าให้เป็นอันเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมา “เราชื่อไวน์นะ เรียนวิศวะ เอกโยธา อยู่ปีสี่”
“เราชื่อเดือนหนาว เรียนบริหาร อยู่ปีสี่เหมือนกัน” ฉันตอบพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขาเมื่อเป็นอีกครั้งที่เราสบตากัน และครั้งนี้ใบหน้าของฉันก็ร้อนวูบวาบราวกับคนมีไข้
“เดือนหนาว…ชื่อเพราะจังเลย” คนตรงหน้าเอ่ยชมพร้อมอมยิ้มให้ “งั้นเรากลับก่อนนะ ถ้ามีโอกาสเจอก็ทักได้”
“อื้ม ขอบคุณอีกครั้งนะ”
“ไปล่ะ บาย”
เราสองคนคุยกันเสร็จคนตรงหน้าก็เดินออกจากห้องไป ไม่นานนักศึกษาพยาบาลก็เข้ามาทำแผลให้ฉัน
เวลาต่อมา…
“แกว่ายังไงนะยัยหนาว! นี่แกไปสะดุดลานเกียร์มาเหรอ!” เสียงร้องตกใจของยัยโฟร์ที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องพยาบาลพร้อมกับยัยก้อยดังขึ้น จนฉันต้องถลึงตาใส่เพราะกลัวคนอื่นว่าเราเสียงดัง
หลังจากไวน์ออกไปแล้วฉันก็รีบต่อสายหาพวกนาง พอรู้ว่าฉันสะดุดลานเกียร์จนหัวเข่าแตก สองคนก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ทำอย่างกับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ฉันเจ็บตัวซะงั้น
“นี่แกสะดุดจริง ๆ เหรอ ไม่ได้ตกบันไดหอสมุดแล้วอำพวกฉันใช่ไหม” ยัยก้อยถามต่อ
“อำอะไรล่ะ ที่ฉันเดินสะดุดรากต้นไม้ก็เพราะมัวแต่โทรหาพวกแกนั่นแหละ” ฉันตวัดสายตาใส่สองเพื่อนรัก “ติดต่อไปก็เงียบกริบ ฉันไม่น่าตามพวกแกไปเลย”
“ขอโทษ ๆ ก็ฉันลืมเปิดเสียงโทรศัพท์นี่นา” ยัยโฟร์ว่า “ว่าแต่แกสะดุดล้มที่ลานเกียร์จริงดิ ฉันอยากเป็นแบบนั้นบางอะ อร๊าย ทำไมฉันไปแล้วไม่สะดุดนะ” ยัยโฟร์เริ่มเพ้อเจ้อพร้อมบิดตัวไปมา ท่าทางระริกระรี้ของเพื่อนซี้ทำให้ฉันถึงกับกุมขมับ
“พวกแกมานี่เพื่อจะถามเรื่องนี้เนี่ยนะ ไม่เป็นห่วงฉันกันเลยใช่ไหม” ฉันกอดอกมุ่ยหน้าใส่สองเพื่อนรักจนทั้งคู่รีบเข้ามาโอ๋เมื่อตั้งสติได้
“เป็นห่วงสิแก โอ๋ ๆ คุณเพื่อนเดือนหนาวเจ็บมากไหมคะ” ยัยก้อยรีบเข้ามากอดฉัน แต่ฉันรู้หรอกน่าว่าพวกนางแกล้ง
“ไม่ต้องมาโอ๋เลย” ฉันว่าพลางเชิดหน้าใส่
“แต่จะว่าไป แกสะดุดลานเกียร์แบบนี้ อีกไม่นานต้องได้เป็นเมียวิศวะ เอ๊ย ได้เป็นแฟนเด็กวิศวะแน่ ๆ เลยแก อร๊าย” ยัยโฟร์ที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในอาการเพ้อฝันอีกครั้ง พอได้ยินแบบนั้นฉันก็อยากจะหยิกแขนนางให้เขียวเดี๋ยวนี้เลยจริง ๆ
“เลิกเพ้อได้แล้วน่า” ฉันว่าให้ “ฉันจะเป็นแฟนหมอ ไม่ได้อยากเป็นแฟนวิศวะสักหน่อย”
“ว่าแต่แกมาที่นี่ได้ไงอะ ทำไมไม่โทรหาพวกฉัน” ยัยก้อยถาม
“เออจริงด้วย อย่าบอกนะว่าแกเดินมา ถ้าขาเป๋ขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ยยัยหนาว แกเจ็บเข่าอยู่นะ” ยัยโฟร์ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ สงสัยพวกนางเพิ่งนึกได้ว่าต้องเป็นห่วงฉัน แต่มันก็สายไปแล้วแหละ เพราะฉันน่ะ…งอน!
“มีคนมาส่ง เขาอุ้มฉันมา” ฉันตอบเสียงเหนื่อย
“ห๊ะ! / อุ้มแกมา!”
“แล้วพวกแกจะเสียงดังทำไมเนี่ย นี่ห้องพยาบาลนะ”
“แล้วคนที่อุ้มแกมาเขาเป็นเด็กวิศวะไหม” ยัยโฟร์ถามด้วยท่าทีตื่นเต้น
“หล่อไหมแก ฉันว่าเขาต้องเป็นเนื้อคู่ของแกแน่ ๆ เลย” ยัยก้อยพูดบ้าง
“อืม เรียนวิศวะ”
“จริงดิ! อ๊าก อาถรรพ์ลานเกียร์เริ่มครอบงำแกแล้วอะฉันว่า” ยัยโฟร์จากที่หายเพ้อกลับเพ้อใหญ่เข้าไปอีก อะไรจะขนาดนั้นกะอีแค่สะดุดลานเกียร์
“แล้วเขาเรียนเอกอะไร ชื่ออะไร อยู่ปีไหน แกได้ถามเขาไหม” ยัยก้อยสัมภาษณ์ยาวเหยียดพร้อมทำท่าตื่นเต้นไปด้วย
“เดี๋ยวพวกฉันจะพาแกไปขอบคุณเขาเอง อร๊าย” ว่าจบก็หันไปกรี๊ดกร๊าดกันต่อสองคน
“เรียนเอกโยธา อยู่ปีสี่ ชื่อไวน์น่ะ” ฉันตอบแบบไม่ใส่ใจก่อนจะมองออกไปด้านนอกเมื่อเห็นใครบางเข้า
“ห๊ะ แกว่าไงนะ!”
“อะไรของพวกแกนักหนาเนี่ย เลิกเพ้อเจ้อถึงผู้ชายคณะนั้นแล้วก็เลิกงมงายเรื่องลานเกียร์ได้แล้วน่า” ฉันพูดขัดเมื่อรู้ทันว่าพวกนางต้องเอาไปมโนต่อ
“นี่ยัยหนาว เขาเป็นถึงอดีตเดือนคณะเลยนะ สาวๆ อะ พร้อมมอบกายถวายมดลูกให้เขาเลยนะแก และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น อร๊าย” ยัยโฟร์ว่าพลางทำท่าสะดีดสะดิ้งไปด้วย
“ฉันว่านี่มันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุแน่ ๆ แก มันต้องเป็นอุบัติรัก กรี๊ด” ยัยก้อยก็เป็นไปอีกคน
“ถ้าพวกแกอยากคิดแบบนั้นก็ตามใจ ใช่อยู่ที่เข่าฉันน่ะอุบัติเหตุ แต่ถ้าอุบัติรักอะ ต้องคนนั้น หมอภาคของฉัน” ว่าแล้วฉันก็บุ้ยปากไปทางกระจกใส
ผู้ชายที่ยืนอยู่ทางเดินด้านนอกสวมเสื้อกาวน์สีขาวทับชุดนักศึกษาอีกที ฉันแอบปลื้มเขามานานแล้ว ด้วยบุคลิกและนิสัยหลาย ๆ อย่างที่เขามีมันคล้ายกับพ่อของฉัน เขาเลยกลายเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฉันเพ้อหา แล้วก็แอบมองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น เพราะหมอภาคมีดีกรีเป็นถึงอดีตเดือนคณะ แถมพ่วงด้วยตำแหน่งอดีตเดือนมหาลัยอีก สาว ๆ ตามกรี๊ดเพียบ ฉันน่ะนอกจากฐานะแล้วก็ไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาเลยสักอย่าง หน้าตาก็แค่ไปวัดไปวา ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นดาวเด่นหรือเด็กกิจกรรมอะไร ในโซเชียลก็ไม่ใช่คนดัง จะไปสารภาพรักกับเขาก็กลัวว่าจะหน้าแตกกลับมา