เรื่องเล่าของเพื่อน

948 Words
[เดือนหนาว] “แก วันนี้ฉันเดินผ่านตึกวิศวะมา อยากจะบอกว่าหนุ่ม ๆ เยอะมากเลยอะแก ยิ่งผ่านตรงลานเกียร์นะ อร๊าย ผู้ชายอย่างเยอะ” เสียงยัยโฟร์ที่เดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะม้าหินอ่อนเมาท์มอยแบบออกรสออกชาติด้วยท่าทีสะดีดสะดิ้ง ร่างอ้อนแอ้นของยัยเพื่อนซี้เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างฉันพร้อมยิ้มไม่หุบ เมื่อได้ไปส่องผู้ชายคณะที่ตัวเองปลื้มมา “อร๊าย แกผ่านแถวนั้นทำไมไม่ชวนฉันไปด้วยยะ ฉันก็ชอบหนุ่ม ๆ คณะนั้นนะแก ปีสี่รุ่นนี้ก็มีแต่งานดี ๆ โดยเฉพาะพี่ไวน์อะ ฉันปลื้มเขาตั้งแต่ตอนเป็นเดือนคณะแล้วนะ อร๊าย” ยัยก้อยที่นั่งเติมแป้งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉัน พอได้ยินยัยโฟร์เล่าก็ระริกระรี้ขึ้นอีก เพื่อนฉันสองคนอย่าให้พวงนางได้เม้าท์มอยเรื่องผู้ชายคณะนั้นเชียว คุยกันวันเดียวก็ไม่จบ อย่างกับไปเจอซุปเปอร์สตาร์มายังไงยังงั้น “นี่ฉันว่าพรุ่งนี้จะเดินผ่านแถวนั้นอีกอะแก ส่องผู้ให้ได้มีกำลังใจเรียนหนังสือ” ยัยโฟร์พูดพลางทำท่าบิดตัวไปมาด้วยท่าทีเขินอาย พอฉันได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแย้งนาง “แกจะผ่านทางนั้นทำไม ตึกเราเข้าทางสวนหย่อมง่ายกว่าอีก ไม่ต้องเดินไกลด้วย” ฉันเลิกคิ้วให้นางด้วยความไม่เข้าใจ ปกติมาเรียนก็สายอยู่แล้ว ขืนนางเดินมาทางนั้นมีหวังเข้าเรียนไม่ทันกันพอดี ตึกคณะที่เราเรียนอยู่เดินจากหน้ามหาวิทยาลัยเข้ามาทางสวนหย่อมก็ถึงแล้ว ถ้าเดินจากทางที่นางว่าก็ต้องเดินผ่านอีกหลายคณะ “เสียเวลาตายเลยแบบนั้น” ฉันว่าต่อ “นี่ยัยหนาว แกนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ที่ยัยโฟร์นางลงทุนเดินไกลขนาดนั้นน่ะ ก็เพื่อผ่านตึกวิศวะไงยะ นางต้องการเดินผ่านลานเกียร์ย่ะ” ยัยก้อยหันมาตีแขนฉันราวกับว่าฉันพูดอะไรผิดไป “แกจะเดินผ่านเพื่อ?” ฉันเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย “ถ้าจะไปส่องผู้ชาย แกไปส่องตอนเลิกเรียนก็ได้ เดินกลับทางนั้นไปเลย ไปตอนเช้าเดี๋ยวก็มาเรียนไม่ทันกันพอดี” “โอ๊ยย…คุณเดือนหนาวนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ เดี๋ยวเพื่อนก้อยจะเล่าให้เพื่อนหนาวฟังนะคะ” ยัยก้อยว่าพร้อมหันไปทำท่าเขินอายกับยัยโฟร์สองคน ก่อนจะหันมามองฉันแล้วเริ่มเล่า “ก็วันก่อนยัยโฟร์นางไปอ่านกระทู้หนึ่งมา แล้วมีคนเล่าว่า ใครก็ตามที่เดินสะดุดลานเกียร์ของคณะวิศวะอะ คน ๆ นั้นจะได้แฟนเรียนคณะนั้นนะสิ อร๊าย นี่พอฉันได้ฟังยัยโฟร์เล่านะ ฉันยังตื่นเต้นไม่หายเลยยัยหนาว” เสียงพูดกรี๊ดกร๊าดของเพื่อนซี้ทั้งสองทำให้ฉันต้องส่ายหัวหน่อย ๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมา เรียนมาจนจะจบอยู่แล้วเคยเห็นแต่เด็กปีหนึ่งหวีดผู้ชายคณะนี้กัน ไม่คิดว่าจะมีปีสี่ด้วยกันตามไปหวีดด้วย “ยัยโฟร์ก็เลยอุตส่าห์เดินผ่านลานเกียร์ เพราะอยากสะดุดลานเกียร์เนี่ยนะ?” ฉันเลิกคิ้วถามพร้อมพ่นลมหายใจออกมา “ชอบใครก็ไปจีบเลยสิ จะเดินผ่านไปผ่านมาให้เสียเวลาทำไม ดีไม่ดีแกเดินจนเรียนจบก็ไม่สะดุดหรอก” ฉันว่าต่อ “ยัยหนาวว!” สองเพื่อนรักเรียกชื่อฉันยาว ๆ พร้อมจิ๊ปากใส่ “อ่านหนังสือของแกต่อไปเลย พวกฉันไม่คุยกับแกแล้ว” ยัยโฟร์มุ่ยหน้าใส่ฉันทำท่าเหมือนคนงอน ก่อนจะหันไประริกระรี้กับยัยก้อยต่อ ส่วนฉันก็กลับมาสนใจหนังสือตรงหน้าต่อเงียบ ๆ “แล้วเขายังเล่าอีกนะ ว่าถ้าใครได้เป็นแฟนกับหนุ่ม ๆ คณะวิศวะอะจะได้เกียร์มาใส่ อร๊าย แบบฟิวแฟนฝากของสำคัญไว้ให้ดูแลไรงี้” ยัยโฟร์ยังคงอยู่ในท่าทางเพ้อฝัน สาเหตุที่นางเป็นแบบนี้ก็เพราะเดือนก่อนไปอ่านนิยายรักวัยรุ่นที่ตัวเอกส่วนใหญ่เรียนคณะวิศวะนั่นเอง นางก็เลยเริ่มเพ้อถึงหนุ่ม ๆ คณะนั้นตั้งแต่ตอนนั้นมา “ใช่แก ได้ใส่เกียร์ ได้ห่มช็อป ปิดจ็อบด้วยการเป็นเมียวิศวะเก๋ ๆ อร๊ายย” “แล้วฉันไปอ่านกระทู้ในอินเตอร์เน็ตมาเพิ่มด้วยนะ เขาบอกว่าเกียร์ที่เด็กวิศวะเขาใส่กันอะ มันเป็นทั้งสัญลักษณ์ของคณะ แล้วก็มีความหมายที่สำคัญด้วยนะ ใช้เป็นของแทนใจเลยอะ” “ใช่ ๆ อันนี้ฉันก็เคยได้ยินพวกแฟนเด็กวิศวะเขาคุยกัน เขาบอกว่า ใจอยู่ที่เกียร์ เกียร์คือใจ เกียร์อยู่ที่ใด ใจอยู่ที่นั่น เขาถึงได้ว่าถ้าฝากเกียร์ไว้กับใครก็เหมือนฝากใจไว้กับคนนั้น” สองเพื่อนซี้ยังคงไม่หยุดเม้าท์มอยเรื่องหนุ่มต่างคณะ “พวกแกเลิกเพ้อได้แล้วน่า จะถึงเวลาเข้าเรียนอยู่แล้ว รีบไปกันเถอะ” ฉันทำลายบรรยากาศของพวกนางสองคน “จะจบอยู่แล้วรีบไปเคลียร์งานเตรียมทำโปร์เจ็คกันเถอะ มัวแต่หวีดผู้ชายอยู่ได้” “เข้าใจแล้วค่ะหม่อมแม่” สองเพื่อนซี้พูดขึ้นพร้อมกันเมื่อถูกฉันขัดจังหวะการคุย ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าเดินตามฉันมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD