งานนี้...ยาว

1485 Words
"จะกินอะไรก็สั่งเลยเดี๋ยวฉันจ่ายเอง" อาเจาที่นั่งเงียบอ่านรายการอาหารมากมายน่ากินไปหมด ‘เหตุใดแคว้นเจ้าไม่มีใบแบบนี้กับรูปภาพด้วยนะ’ “เอ่อ…บะหมี่เนื้อตุ๋นน้ำแดง” ‘อ่านถูกแล้วรึเปล่า’ เห็นพนักงานที่มายืนจดรายการบะหมี่เขียนลงกระดาษไปอย่างคล่องแคล่ว “เส้นเล็กต้มยำทะเล” ทิวไผ่สั่งแล้วก็ถามอีก “เราจะเอาน้ำอะไร” อาเจาเงียบอีกครั้ง ‘มันคืออะไรอีกล่ะ’ เขาก้มมองเมนู ก็มีน้ำหลายอย่างหลายสีสันให้เลือก “เอา..ชาเขียวมุก” แม้คำว่ามุกจะทำให้สงสัย แต่ถึงอย่างนั้นอาเจาก็คิดได้แค่ว่ามันไม่น่าจะเป็นอันตรายเพราะมันขายในร้านอาหาร “ฉันกาแฟร้อน” “รอสักครู่ครับ” พนักงานรับออเดอร์แล้วเดินจากไป เจ้าของบริษัทสุดหล่อละสายตาจากบรรยากาศในร้านก่อนจะย้อนถามหม่าม๊าจำเป็นของลูกสาว “เคยมากินที่นี่มั้ย” “ไม่ครับ..นี่เป็นครั้งแรก” พยักหน้าชอบใจ “มากับฉัน..ครั้งแรกเหรอ” ทิวไผ่ยิ้ม “ครับ” อาเจาผงกหัวแล้วหันมองผู้คนมากมายเต็มร้าน แต่ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ลูกค้าทั้งร้านก็สนใจโต๊ะนี้อยู่เหมือนกัน ผ่านไปประมาณห้านาที พนักงานก็ยกอาหารมาเสิรฟ์ อาเจาหันมารับถ้วยบะหมี่แล้วยิ้มใส่พนักงานจนอีกฝ่ายหน้าแดงไปหมดแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้เรื่องเลยสักนิด ซ้ำยังนั่งตักบะหมี่ชิมไปอย่างสบายใจ ต่างกับทิวไผ่ที่ยังมองสภาพเพ้อฝันของพนักงานที่เอาแต่ยืนกุมชามก๋วยเตี๋ยว “อะแฮ่ม!!” เขากระแอมเรียกสติ “อ่อ..ขอโทษครับ” รีบวางเส้นเล็กต้มยำกับน้ำชาเขียว กาแฟ ลงบนโต๊ะแล้วรีบเดินจากไป อาเจาเงยหน้าขึ้นมาจากชามบะหมี่ของตัวเอง มองชามต้มยำของทิวไผ่ แล้วทำหน้าหวาดๆ “ของคุณเป็นสีแดงจัดแต่มีกุ้งตัวใหญ่จังเลยครับ” ตาโตแวววาว อดีตขันทีที่นานๆ จะได้ลิ้มรสกุ้ง ลอบกลืนน้ำลายลงคอ ^^ “ฉันยกให้” คีบกุ้งที่แกะแล้วส่งไปในชาม เขาเห็นอาเจายิ้มหวานจนเห็นเหล็กสีฟ้าสวย “ขอบคุณครับ” ขณะที่ค่อยๆ กินบะหมี่ของตัวเองกลับเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึง “อ้ะ” ทิวไผ่รีบหยิบกระดาษทิชชู่ส่งไปให้อาเจาที่อมๆ กัดๆ อะไรสักอย่าง แล้วคายออกมา นอกจากเลือดสีจางๆ ยังแถมมาด้วยยางสีฟ้าชิ้นเล็กสองชิ้นกับสภาพโค้งงอของลวดรัดฟันในปากเล็ก อาเจามองหน้าทิวไผ่น้ำตาคลอ “คุณ…มันหลุดออกมาแล้วอ่ะ” ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะไม่รู้จะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ทิวไผ่รีบลุกขึ้นจากที่ตัวเอง อ้อมไปนั่งข้างๆ เขาเชยปลายคางขึ้นพลางดึงริมฝีปากล่างของอาเจาออกมาจนเห็นแผลที่มีเลือดซึมออกนิดๆ คาดว่าคงเป็นเพราะลวดจัดฟันทิ่มปาก “ทำไมไม่ระวังล่ะ” ใช้ทิชชู่เช็ดเลือดออกเบาๆ “ก็เนื้อมันกัดยาก..ทำยังไงดีครับ??” ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ ทิวไผ่ถอนหายใจ “น้องๆ มาคิดเงินครับ” พนักงานทำท่าแปลกใจและถาม “แฟนพี่เป็นอะไรครับ” ด้วยความรำคาญกับความเรียบ ทิวไผ่จ้องพนักงานอย่างไม่พอใจก่อนจะพูดย้ำคำ “คิดเงินครับ” “สองร้อยยี่สิบบาทครับ” พนักงานที่โดนจ้องรีบบอก ทิวไผ่วางธนบัตรสีม่วงลงบนถาด "ไม่ต้องทอน" พร้อมกับหยิบแก้วชาเขียวแล้วจับมืออาเจาเดินออกไปนอกร้านทัน &&&& ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง ทิวไผ่นั่งอยู่ในคลีนิกจัดฟันของตัวอำเภอ เขาอ่านหนังสือพิมพ์รอคนที่เหล็กจัดฟันหลุดเข้าไปจัดฟันใหม่ทางด้านใน คลีนิกนี้มีลูกค้าเข้ามาประปรายแต่ทิวไผ่ก็ไม่ได้สนใจใคร จนเวลาเกือบบ่ายสองโมงเขาเห็นอาเจาเดินตามคุณหมอคนสวยออกมา “เสร็จแล้วค่ะคุณไผ่” หมอรุ้งเรียกหนุ่มใหญ่สุดหล่อด้วยน้ำเสียงหวานจัด ย้อนกลับไปเมื่อสี่เดือนก่อนหมอรุ้งกับทิวไผ่เคยเจอกันในงานเลี้ยงวันเกิดของนายอำเภอ ทั้งคู่พูดคุยทักทายกันแทบจะนับครั้งได้แต่ถึงอย่างนั้นหมอรุ้งกลับจำอีกฝ่ายได้ขึ้นใจ “ครับ” ทิวไผ่เก็บหนังสือพิมพ์แล้วเดินไปถามราคา “เท่าไหร่ครับ” ^^ “สำหรับพนักงานของคุณไผ่ รุ้งคิดราคาพิเศษแค่สองพันสี่ก็พอค่ะ ครั้งหน้าถ้าคุณไผ่มาส่งน้องเขาอีกรุ้งก็จะลดให้อีก” อาเจาได้ยินก็ถึงกับเบือนหน้าหนี ‘อะไรคือจะเกี้ยวกันซึ่งๆ หน้าล่ะ’ ทิวไผ่เห็นอาการนั้นก็ถึงกับหัวเราะ “หึ..ขอบคุณครับ” เขาจ่ายเงินเสร็จก็จับมืออาเจาให้เดินตามไปที่รถ ในตอนนั้นหมอรุ้งเกิดมีคำถาม ‘จับมือกันทำไม’ &&&& บนรถ “ขอบคุณครับคุณไผ่..ไว้กลับถึงห้องพักผมจะเอาตังค์มาคืน” อาเจาเอ่ยออกไปอย่างเกรงใจกับธุระทั้งหมดที่อีกฝ่ายจัดการ แน่นอนว่าเรื่องเงินนั้นตัวเขาจำได้ว่าตัวเองเก็บเอาไว้ในห้องและเขาจะต้องเอามาคืนแน่ “ไม่ต้องหรอกถือซะว่าเป็นค่าล้างก้นให้ส้มเช้ง” มองหน้าอาเจา “ไหนดูฟันซิ” อีกฝ่ายยิงฟันน้อยๆ “สีส้ม..ก็สวยดี ปกติไปทำร้านไหน” “ไม่รู้ครับ” อาเจาส่ายหน้าทันที “อ้าว..ใบนัดไม่มีเรอะในกระเป๋าน่ะ” “อ่อ" ทำท่าคิด "ครับไว้ค่อยไปดู” ทิวไผ่ทำหน้างงแต่ก็ตัดเรื่องไม่สำคัญออกไปแล้วบอกคนขับรถ “ไปส่งอาเจาที่บริษัทนะ” “ครับนาย” พลขับรถต่อไปไม่ถึงห้านาที ตรู้ดๆๆๆ ตรู้ดดๆๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก “ว่าไงชัย” เขาเงียบฟังและมองคุณไผ่ผ่านกระจกหลัง พร้อมแจ้งเรื่องเมื่อวางสาย “นายครับ” “อะไร” “ไอ้ชัยบอกว่าคนงานของเราสองคนถูกยิงที่ท้ายไร่ครับ” ความเงียบปกคลุมไปทั่วรถกว่าห้านาที อาเจามองเจ้าของบริษัท 'ถูกยิงคือสิ่งใด?' แม้จะอยากถามแต่ก็ไม่ใช่เรื่องของเขา ดังนั้นเขาจึงเงียบไว้ “กลับไร่” ทิวไผ่หน้าเครียด ตอนนี้ที่เขาคิดออกได้ก็มีเรื่องเดียวคือพวกขี้ยาที่ชอบมามั่วสุมกันตรงกระท่อบนอกรั้วของไร่ ที่ตรงนั้นเป็นที่นาว่างเปล่าเจ้าของที่อยู่กรุงเทพไม่ยอมขายให้ใคร ตัวเขาเองเคยให้ 'ยอดข้าว' พี่ชายของเขาที่อยู่ทางนั้นติดต่อซื้อขายแต่ก็ถูกปฏิเสธ ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นในที่นาผืนนั้นคงต้องโทรไปแจ้งหน่อยแล้ว ลุงพลขับรถจากตัวอำเภอจนถึงเขตไร่ใช้เวลายี่สิบนาที อาเจามองป้ายทางเข้า 'ไร่ทิวไผ่งาม’ และมองออกไปนอกรถ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่มลากยาวจนไปถึงทางเข้าของบ้านสีขาวสองชั้น รูปทรงแปลกประหลาด ลุงพลขับรถเข้าไปจอดในโรงที่มีรถหลายคัน หลายแบบให้อาเจาดูจนเพลินตา เสียงประตูรถเปิดทำให้ตื่นจากภวังค์ “ลงมาสิ” เจ้าของบ้านเอ่ยชวน “ครับ” อาเจาเดินตามเจ้าของบ้านไปถึงหน้าประตู “ไปรอในบ้านก่อนนะ ฉันจะไปดูงานท้ายไร่” ทิวไผ่ไขกุญแจประตูบ้านเพื่อให้อาเจาเข้าไป แต่ก่อนที่จะหันหลังจากไปชายเสื้อก็ถูกดึงเอาไว้จากคนที่ตัวเองพามาด้วย “พาผมไปด้วยนะครับ” อาเจาส่งแววตาอ้อนวอนสุดๆ ‘ก็ใครจะไปอยู่ในเรือนคนอื่นคนเดียวกันล่ะ’ “นะ” กลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบตากลมโตกระพริบปริบๆ ทิวไผ่เผลอตอบเบาๆในลำคอ "อืม" แค่ครู่เดียวเขาก็ปิดประตูบ้านและจูงมืออาเจามานั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ คนซ้อนอย่างอาเจาเริ่มทำหน้างง ก่อนจะได้ยินเสียงสตาร์ท แตร่กๆๆ แบร้นๆๆๆ ไม่รอให้คนด้านหลังถามทิวไผ่ก็ใส่เกียร์บิดคันเร่งแล้วรถก็พุ่งออกไปทันที “เหวอออ…อออ” อาเจาร้องเสียงหลงกอดเอวเจ้านายแน่น คนขี่มอ’ไซค์อมยิ้มก้มมองมือขาวที่กอดเขาด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะขมวดคิ้ว ‘หืม..ฉันชอบเด็กนี่เรอะ..ไม่ใช่หน่าเด็กมันก็แค่…น่ารักฉันก็เลยยิ้มน่ะ’ เขาบอกตัวเอง ลุงพลมองตามหลังเจ้านายแล้วส่ายหัว “ทุกทีเคยสนใจคนอื่นที่ไหนกันสงสัยคุณหนูส้มเช้งจะได้หม่าม๊าจริงๆ ละมั้ง” สตาร์ทมอ’ไซค์แล้วขับตามไปไม่เร่งรีบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD