'อ่าาา..า' เหตุใดอากาศจึงหนาวเช่นนี้นะ เข้าสู่ช่วงตงเทียน (ฤดูหนาว) แล้วหรืออย่างไร เจากงกงนอนกระพริบตาปริบๆ หายใจออกมาเป็นไออุ่นๆ ‘วันนี้ฟูกนอนแข็งกว่าปกติ’ เขาบิดขี้เกียจไปสามครั้งแล้วลูบคลำไปตามพื้นที่ตนนอนอยู่ ‘หืม…มม พื้นดินเช่นนั้นรึ!!’ เขาเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความตกใจ แต่แล้วศีรษะกลับกระทบโดนอะไรบางอย่าง ฉุบ! “ว้ากกก..กก” ขันทีรุ่นใหญ่รีบมุดออกไปจากตรงนั้น ดวงตากลมเบิกกว้างกับสภาพของสถานที่ที่เขาเพิ่งมุดออกมา ซึ่งมันคืออะไรสักอย่างที่มีลักษณะสามเหลี่ยม พอมองไปด้านหน้าผ่านความมืดสลัว เขาเห็นแสงไฟวับๆ แวมๆ อยู่รอบๆ ตัว เขารีบปรับสายตาให้คุ้นชินกับบรรยากาศก่อนจะเริ่มประมวลผล ‘นี่มันคือที่ใดกันแน่’ คำถามเกิดขึ้นพร้อมกับความหวาดหวั่น ยิ่งภาพที่เห็นโดยรอบเป็นต้นไม้ใบหญ้าสูงตระหง่านรายล้อมด้วยภูเขาหลายลูกทับซ้อนกัน หากมันไม่ใช่ความฝัน ‘แล้วห้องของข้าล่ะ..ตำหนักเอ้อหลงล่ะ!! ที่นี่มันคือที่ใดกันเล่า’ ยกมือขึ้นหยิกแขนตนเองและกะพริบตาขึ้นลงอีกหนึ่งรอบอย่างนึกภาวนาในใจว่าขอให้ที่ตรงนี้เป็นห้องนอนของตนเองในตำหนักเอ้อหลง แต่แล้ว...ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม ต้นไม้ๆๆ ต้นไม้ๆ ความตื่นตระหนกผุดเผยบนใบหน้า ความกลัวเกาะกุมจิตใจจนเผลอเปล่งเสียง “ช่วยข้าด้วยยย!” เสียงดังกังวาลกึกก้องไปทั่วทั้งภูเขาฟังแล้วเป็นเสียงสะท้อน หากองค์รัชทายาทหรือองครักษ์สักคนอยู่แถวๆ นี้อาจจะได้ยินและปรากฏตัวให้เขาเบาใจลงได้ แต่แล้วความหวังของเขาก็หมดลงเมื่อได้ยินเสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น
“ไอ่เจา..คิงเอิ้นฮ้องไผน่ะ แจ้งมะแจ้งลุกมาเอ่กเสียงดังเดวเขาจะออกมาด่าละนั่น ขะไจ่เก็บเต๊นท์ละเข้าบ้านเวยๆ” (เรียกใครน่ะ ตื่นมาเสียงดังคนเขาจะออกมาด่า รีบๆเก็บเต๊นท์แล้วเข้าบ้านเร็วๆ)
"..." เจากงกงมองสภาพของเจ้าของคำพูดประหลาดที่มิใช่องค์รักษ์ ในบริเวณนี้ไม่มีใครให้ร่วมสนทนานอกจากเขาที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่าย "ท่านเรียกข้ารึ?” (ตาโต อ้าปากค้าง)
“อ้าปากยิหยังน่ะ..ขะไจ๋ เดวกิ๋นข้าวแล้วป้อจะไปส่งตี้เยี้ยะก๋าน เริ่มงานวันแรกหย่ะ” (อ้าปากทำไมเร็วๆ กินข้าวปล้วพ่อจะไปส่งที่ทำงานเริ่มงานวันแรกใช่มั้ย)
ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปในกระท่อมรูปทรงประหลาดหลังหนึ่ง ปล่อยทิ้งให้เจากงกงยืนสับสนอยู่เนิ่นนาน ‘ชายผู้นั้นบอกว่าเขาคือท่านพ่อของข้ารึ?? "เหตุใดแต่งกายแปลกๆ ผมก็ยังสั้นจนติดใบหู คำพูดคำจามิใช่ในแบบที่เคยได้ยินแต่ข้าก็ยังเข้าใจในคำพูดพวกนั้น นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน" เปรยกับตัวเองเบาๆ และเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ได้ยินเสียงสตรีสูงวัยดังขึ้นเรียกสายตา
“อาเจา..มากิ๋นข้าวขะใจ๋จะหกโมงละนะ ขวายมาจะลงดอยมะตันเน่อลูก” (มากินข้าวเร็วจะ6โมงแล้วเดี๋ยวไม่ทัน)
‘นางเรียกข้าใช่หรือไม่นะ’ เจากงกงทิ้งความสงสัยแล้วเดินเข้าบ้านไปตามเสียงของสตรีผู้นั้น เขาเปิดประตูเข้าไปด้านใน กลิ่นหอมจากสำรับอาหารโชยมาเข้าจมูกจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกหิว การจับต้นชนปลายไม่ถูกของขันทีอย่างเขาคงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจให้สตรีสูงวัยตรงหน้าเอ่ยทักอีกครั้ง และครั้งนี้เจากงกงมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องคุยกับเขาแน่ๆ เพราะการหันมามองเขาคือคำตอบที่เขาสงสัยอยู่ก่อนหน้า
“ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันเ**ยก่อยออกมากิ๋นข้าว” มองหน้าลูกชาย “ยืนงงอะหยังน่ะ” (ยืนงงอะไรน่ะ)
“ห้องล้างหน้าไปทางใดขอรับ” คำถามแรกออกมาจากปากด้วยความไม่รู้ อีกฝ่ายเงียบไปเพียงครู่ก่อนจะบอกคำที่เขาไม่เข้าใจ
“ผิดกับแฟนตะคืนละท่าจะสมองมะดีละก้าลูกข้าเจ้า…” (ทะเลาะกับแฟนเมื่อคืนสมองท่าจะไม่ดีแล้วลูกฉัน) พลางชี้ทางไปห้องน้ำ
เจากงกงเดินไปตามทางที่สตรีผู้นั้นบอก และเมื่อเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในก็พบกระจกเงา…ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องน้ำ สองมือของเขาลูบใบหน้าที่สะท้อนออกมาให้เห็น ใบหน้าเรียวขาวใสสุขภาพดีไร้ริ้วรอยใดๆ จมูกโด่ง ปากบางแดง ผมสีน้ำตาลเข้มยาวไม่เท่ากันจนถึงต้นคอ รูปร่างไม่สูงและไม่ต่ำจนเกินไป ตัวผอมบาง ที่น่าตกใจกว่าก็คือคนในกระจกนี้เป็นเขาในวัยสิบหกหนาว เขาจำไม่ผิดแน่ แต่เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นไปได้ มิใช่ว่ายามนี้เขาควรอยู่ที่แคว้นเจ้าซ้ำยังอยู่ในวัยเกือบจะสี่สิบแล้วด้วยซ้ำ ความแปลกใจไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาเลื่อนสายตามองชุดแต่งกายที่มีเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวหนาๆ อุ่นๆ ก่อนจะยกมือไม้สะบัดไปมาเพื่อความแน่ใจว่านี่คือตัวเขาในยามนี้ไม่ผิดแน่ พอหันมองไปทั่วห้องน้ำ ทุกอย่างช่างแปลกตาไปเสียหมด กลับมาหน้ากระจกมีแปรงอันเล็กๆ สามอันและมีแท่งอะไรสักอย่างจึงหยิบขึ้นมาดูและอ่านได้ความว่า "ยาสีฟัน ห้ะ..ข้าอ่านได้งั้นรึ??” จับมันพลิกไปมาแล้ววางลงที่เดิมจัดการล้างหน้าและใช้นิ้วขัดๆ ฟัน 'หืม..มีสิ่งใดรัดตรงฟัน’ เขายิ้มยิงฟันมองกระจก เห็นอะไรสักอย่างเป็นเม็ดๆ สีฟ้าเรียงอยู่ทุกซี่ หัวคิ้วเริ่มขมวดงุนงง แต่เมื่อมันไม่ได้หลุดออกมาเขาก็เลิกสนใจ 'และมันคงจะมีสิ่งที่แปลกใหม่กว่านี้อีกเป็นแน่' ด้วยความที่เขามิใช่บุรุษรุ่นเยาว์ การกำจัดสภาพอารมณ์มันจึงมิใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่ว่าสิ่งที่เกิดกับเขาจะเป็นฝันร้ายหรือไม่ เขาเชื่อว่าเขาจะรับมือกับมันได้แน่ๆ เมื่อจัดการความคิดจนเสร็จเขาจึงมองหาที่ปลดเบา ภายในห้องน้ำนี้ไม่มีถังเล็กไว้ใส่ของเสียเพื่อขับถ่าย จะมีก็เพียงแค่โถอะไรบางอย่างสีขาวมีน้ำลอยอยู่ด้านใน ‘มันมีไว้ทำสิ่งใดกันนะ’ เจากงกงสังเกตเห็นปุ่มด้านบนก็รู้สึกสงสัยเขาขึงใช้นิ้วจิ้มและกดลงไป ครึก!!! กกก “ว้ากกก..กกก!!” กระโดดถอยหลัง
“อาเจา!!”
สตรีสูงวัยเมื่อครู่ เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาเห็นสภาพเขายืนตกใจเอามือปิดปาก เขาจึงชี้ไปยังต้นเสียงนั้น
“มีอะหยังในชักโครก..งูกะ” (มีอะไรในชักโครก งูเหรอ)
เจากงกงส่ายหน้าไปมา “สิ่งนี้ส่งเสียงดังมากและน้ำก็ถูกดูดลงไป..มันจะดูดข้าลงไปด้วยรึไม่?” ยืนสั่นนิดๆ พลางรอคำตอบจากสตรีผู้นั้นที่ยืนอ้าปากค้างมองเขาไม่เลิก
“เป๋นหยังนักก่อนิ” (เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย)เดินมาจับหน้าผากลูกชายตัวเอง “ตั๋วกะมะฮ้อน ละเป๋นหยังบอกแม่เลาะ??” (ตัวก็ไม่ร้อน แล้วไปอะไรบอกแม่สิ)ลูกชายเธอมีอาการแปลกไปตั้งแต่เข้ามาในบ้านแล้วจะว่า’ ผีเข้า’ งั้นเหรอ เธอยืนรอฟังลูกชายด้วยความหวั่นใจ
เจากงกงมองเห็นความห่วงใยผ่านสายตาคู่นั้นและแน่นอนว่าการที่เขาจะปรึกษาอีกฝ่ายที่อยู่ด้วยกัน มันคงเป็นเรื่องที่ถูกต้องและไม่ว่าสิ่งที่เขาจะรู้ต่อไปจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาก็จะยอมรับมันแน่ “เอาล่ะ แม่นาง..ฟังข้านะ” จับสองบ่าของสตรีวัยกลางคนตรงหน้า
“แม่แก้ว มะไจ่แม่นาง” (แม่แก้วไม่ใช่แม่นาง)
เจากงกงหน้าเครียดแต่ก็ผงกหัวรับ “อืม..แม่แก้ว ที่นี่คือที่ใด” สตรีวัยกลางคนตรงหน้าเงียบไปนาน ก่อนจะย้อนถามกลับมา
“ผีเข้ากะเนี้ยะ” (ผีเข้าเหรอ)หน้าเครียดวิเคราะห์