บทที่ 1 เปิดบ้าน

1027 Words
           ณ บ้านเช่าหลังหนึ่งชานเมืองกรุงเทพฯ ปรากฏบุรุษพยาบาลสองนาย ช่วยกันหามร่างไร้ชีวิตของชายวัยยี่สิบห้าปี ซึ่งเป็นผู้เช่าคนล่าสุดออกมาใส่รถโรงพยาบาล สภาพศพดวงตาเบิกกว้างราวกับเสียชีวิตในขณะที่กำลังตกใจสุดขีด โดยผลการตรวจเบื้องต้นพบว่า น่าจะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ญาติของผู้ตายเดินตามเปลหามมาด้วยอาการร้องไห้เสียใจสะอึกสะอื้น สภาพผมดูรกรุงรัง ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจกลัว สองเท้าพยายามรีบเดินออกจากบ้านเช่าหลังนั้นให้เร็วที่สุด ครั้นพอก้าวพ้นรั้วบ้านเช่าออกมาเจอเจ๊แอ๊วเจ้าของบ้านเช่ายืนอยู่ด้านนอกไม่ไกลจากชาวบ้านละแวกนั้นที่มุงดู ข่าวลือไวยิ่งกว่าลมพัดว่า “คนตายในบ้านเช่าเจ๊แอ๊ว...อีกแล้ว”                “เป็นอะไรไป ตายเลยเหรอ” เจ๊แอ๊วถามด้วยความอยากรู้ปนความกลัวและหวาดระแวง                เจ๊แอ๊ว เป็นหญิงรูปร่างอ้วนท้วนสมส่วน มีน้ำมีนวล เป็นคนจีนผิวขาวผ่อง ใส่ทองพราวทั้งสร้อยคอ กำไลและแหวน การแต่งกายบ่งบอกว่าเป็นผู้มีอันจะกิน หากเป็นคนขี้เหนียว ปากคอเราะราย ไม่ยอมใคร ด้วยเป็นทั้งเจ้าของบ้านเช่าและปล่อยเงินกู้นอกระบบ                “ก็ใช่น่ะสิ หัวใจวายตายเนี่ย” พี่สาวของชายหนุ่มคนนั้นโวยวายลั่นพร้อมกับเอาเงินสามพันบาทยัดใส่มือเจ๊แอ๊วอย่างรีบร้อน                “เจ๊ นี่เงินค่าเช่าบ้านที่ค้างนะ ฉันมีเท่านี้แหละ” หญิงคนนั้นพูดด้วยอารมณ์โกรธจนสั่นระคนไปด้วยความกลัว คอยมองหน้ามองหลังท่าทางตื่นตระหนกตลอดเวลา                “ฉันออกจากบ้านเช่าแล้วนะ ไม่อยู่แล้ว ส่วนของในบ้านให้แทนค่าเช่าส่วนที่ค้างอยู่แล้วกันนะ ไปละเจ๊” หญิงสาวคนนั้นบอกเจ๊ก่อนที่จะรีบขึ้นรถ แล้วขับตามรถพยาบาลออกไป                “ตายละ กี่คนแล้วเนี่ย ที่ตายในบ้านหลังนี้” ยายจุ๋มขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ปากซอยถามขึ้นดังๆ ยายจุ๋มมีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ เปรียบเสมือนโทรโข่งประจำหมู่บ้าน รู้เร็ว รู้ชัด ใครอยากรู้อะไรก็ไปถามยายจุ๋ม โดยใช้ร้านขายก๋วยเตี๋ยวเป็นที่ชุมนุมเล่าเรื่องชาวบ้าน                “สามคนแล้วป้าจุ๋ม” เปี๊ยกซึ่งเป็นเด็กในบ้านของเจ๊แอ๊วตอบ เขาเป็นเด็กชายรูปร่างผอมเก้งก้าง ผิวสีคล้ำอายุประมาณสิบเอ็ดปี เด็กรับใช้คนนี้ทำทุกอย่างที่เจ๊แอ๊วใช้                “ไอ้เปี๊ยก อย่าพูดมาก” เจ๊แอ๊วเอ็ดตะโร                “นี่เจ๊ อย่าหาว่าฉันเสือกเลยนะ ไอ้บ้านเช่าหลังนี้น่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องมีคนตายมาสามคนแล้ว เจ๊ไม่ต้องปล่อยเช่าแล้วดีกว่ามั้ง หรือถ้าเจ๊อยากจะปล่อยเช่าอีก เจ๊น่าจะหาพระมาทำพิธีบ้าง ไม่งั้นก็ให้ซินแสมาทำพิธีเผื่อจะได้มีคนมาเช่า” ยายจุ๋มพูดปากยื่นปากยาวเสียงดัง                “ยายจุ๋ม อย่างนี้เขาเรียกว่า...เสือก!” เจ๊แอ๊วพูดเสียงดังพร้อมจ้องหน้ายายจุ๋มอย่างขัดเคืองใจ “นี่บ้านฉัน ฉันจะทำอย่างไรมันก็เรื่องของฉัน คนอื่นไม่เกี่ยว” เจ๊แอ๊วพูดเสียงดังต่อหน้าทุกคนในบริเวณนั้น                “อ๋อ แล้วก็ห้ามพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องคนตายในบ้านเช่าของเจ๊รู้ไหม ทุกคนเลย” เจ๊แอ๊วตวาดแว้ด                “โดยเฉพาะหล่อน ยายจุ๋ม หุบปาก เป็นไหม” ประโยคหลังเจ๊ยืนจ้องหน้ายายจุ๋มที่กำลังยืนทำหน้ามุ่ยอยู่                แหม เป็นเจ้าหนี้คิดว่าจะปิดปากคนอย่างอีจุ๋มได้เหรอ ฝันไปเถอะ ยายจุ๋มคิดในใจ                “นี่อย่าลืมนะ ทุกคนเป็นลูกหนี้เงินกู้ฉัน ใครทำตัวดีๆ พูดง่ายๆ ถ้าได้คนมาเช่าบ้านฉันจะให้เงินรางวัลคนที่เป็นนายหน้าหามา แต่ถ้ามีเรื่องออกจากปากคนไหนว่าบ้านเช่ากูมีคนตายแล้วล่ะก็ พวกมึงตายแน่!!!” เจ๊บอกพร้อมชี้หน้าสั่งทุกคน                “โดยเฉพาะมึงนะยายจุ๋ม ปากนี่อย่างกับฆ้องปากแตก โพนทะนาอยู่ได้ ลองพูดดูสิ ความลับมึงมีอะไรกูจะแฉให้หมดเลย” เจ๊แอ๊วคาดโทษทำให้ยายจุ๋มหน้าจ๋อยกับความเผือกของตัวเอง                “โธ่ เจ๊ เจ๊น่ารักอย่างนี้ใครจะไปกล้าละจ๊ะ ใช่ไหมพวกเรา” ยายจุ๋มร้องหาพวก                “ใช่ พวกฉันรับปากเจ๊” เสียงชาวบ้านบอกเจ๊แอ๊วด้วยความที่ไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าของเงินกู้                “เออ เจ๊ ว่าแต่ถ้าฉันเป็นนายหน้าหาคนมาเช่าบ้านได้ เจ๊จะให้ฉันเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ” ปื๊ดเด็กหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ขาแว้นถามขึ้นอย่างมาดกวน ตาโตด้วยความอยากได้เงินค่านายหน้า                เจ๊แอ๊วยิ้มหวานพร้อมกับเดินมาที่ไอ้ปื๊ด พร้อมกับพูดว่า                “สองหมื่น สองหมื่น พอไหมไอ้ปื๊ด” เจ๊แอ๊วชูสองนิ้วยื่นไปตรงหน้า                “สองหมื่น โห พอจ้ะพอ” ปื๊ดรีบบอก                “จบเรื่องเผือกได้ละ อย่าให้มีเรื่องเล็ดลอดออกไปนะ ไม่งั้นกูไม่เลี้ยงไว้แน่” เจ๊แอ๊วย้ำชัดเจนก่อนจะเดินไปขึ้นรถเก๋งสีทองนั่งกลับบ้านขณะที่เปี๊ยกปั่นจักรยานตามกลับไป                “คุณนายรวยเข้าหน่อยก็ทำเป็นนั่งเชิดในรถโก้หรู แหมไอ้ปื๊ดดู๊ดู กูสงสารไอ้เปี๊ยกว่ะ ต้องคอยปั่นจักรยานตามรถเก๋งคุณนาย บ้านก็อยู่แค่นี้ มึงเดินมาก็ได้มั้งอีเจ๊” ยายจุ๋มอดที่จะคันปากบ่นกับเจ้าปื๊ดหลานชายไม่ได้                “ยายก็ช่างเขาเถอะน่า ไปเหอะ” ปื๊ดรีบบอกยายจุ๋ม เพราะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของลมที่พัดผ่านไปทั้งๆ ที่ต้นไม้ไม่ไหวเลยสักนิด                ยายจุ๋มและบรรดาชาวบ้านแถบนั้นเห็นท่าไม่ดี รีบแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน                “เอาละไงยาย” ปื๊ดบ่นยายที่อดจะเงียบปากไว้ไม่ได้เลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD