“ทำไมไม่เรียนต่อให้จบ เธอตรอมใจถึงขนาดลาออกเลยเหรอ “อะไรของเขา เรื่องตรอมใจยอมรับว่ามีแต่คงไม่ถึงขั้นลาออกจากคณะที่ตนรัก สาเหตุไม่ใช่เพราะตรอมใจสักหน่อย รินรดายอมทิ้งความฝันเพื่อรักษาสิ่งมีชีวิตที่แสนน่ารักไว้ต่างหาก
“เปล่าค่ะ ดิฉันเรียนไม่ไหวก็เลยต้องออก “การโกหกคงช่วยให้เขาคลายสงสัย เธอจะรู้มั้ยว่าอัครพลไม่คล้อยตามสักนิด ตลอดเวลาที่คลุกคลีอยู่ด้วยกันเขารู้ว่าเธอหัวดีและใฝ่เรียนมากแค่ไหน
รินรดามีเหตุอะไร ทำไมต้องลาออกแล้วมาทำงานบริษัทตำแหน่งเล็กๆ แบบนี้ ความจริงเธอยังต้องเรียนไม่ใช่อยู่ในวัยทำงานหาเงินแบบนี้ ทำงานหนักเกินหรือเปล่าถึงได้ผอมซูบจนไหปลาร้านูนชัดขนาดนั้น
ดวงหน้าหวานยังคงความน่ารักในแบบฉบับของตัวเอง อัครพลจ้องมองหญิงสาวที่แสนคุ้นเคยอยู่พักใหญ่ อยากถามไถ่เรื่องราวมากมายที่อยากรู้ แต่ก็ต้องอดใจเก็บเอาไว้เพราะไม่ใช่เวลา
อัครพลใช้ความคิดอยู่พักใหญ่และกำลังจะอ้าปากสัมภาษณ์ต่อ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ประธานธาดากรุปเดินมานู่นพร้อมกับแจกรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์มองมาที่เขาจนนึกขนลุก
“สวัสดีค่ะคุณภาคย์ “หญิงสาวยกมือไหว้ประธานใหญ่แห่งธาดากรุป พร้อมกับขยับกายถอยห่างเพื่อหลีกทางให้ผู้ใหญ่คุยกัน
“มานานรึยัง เข้าข้างในก่อนสิ “ภาคภูมิถามไถ่เพื่อนสนิทที่บินไกลลงใต้มาเพื่อหารือธุรกิจ เขายินดีอ้าแขนต้อนรับอัครพลอย่างเต็มใจ ได้ยินชื่อเสียงมานมนาน แถมไม่ได้เจอกันนานหลายปีเพราะหลังจากอัครพลเข้าพิธีวิวาห์ก็ไม่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันอีกเลย
จนมาวันนี้
“สักพักแล้ว “
“แก้ม วันนี้ลูกอินไม่มาด้วยหรือ “
“ลูกอินไปโรงเรียนค่ะคุณภาคย์ “เพราะความเคยชินทำให้ภาคภูมิถามไถ่ถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่มักได้ยินเมื่อเห็นหน้ารินรดา เด็กหญิงวัยสามขวบที่พนักงานของเขาจำต้องหอบมาด้วยทุกครั้งเพราะไม่มีคนดูแล ภาคภูมิเห็นว่าไม่ได้หนักหนาและเป็นการวุ่นวายเลยอนุญาตให้พามาด้วย กลายเป็นว่าเขาติดเสียงเจื้อยแจ้วของลูกอินไปเสียแล้ว
“อ่อ สามขวบแล้วสินะ “อัครพลปรายตามองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย เพื่อนคนนี้ใส่ใจลูกของพนักงานขนาดนี้เชียวหรือ ปกติภาคภูมิไม่ค่อยชอบเด็กสักเท่าไหร่ ทำไมครั้งนี้ถึงดูใส่ใจนัก
เมื่อได้ยินอายุของเด็กคนนั้นที่ภาคภูมิพูดถึง ทำให้อัครพลคิดหนักจินตนาการไปถึงคืนวันนั้น จะใช่หรือเปล่า? ลูกอินที่ภาคภูมิบ่นถึงจะใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหรือเปล่า หากใช่ เขาจะทำยังไง? ตรวจดีเอ็นเอ หรือหอบกลับกรุงเทพทั้งแม่และลูกไม่ต้องถามไถ่ให้มากความ
-------