ตอนที่ 4: คนโง่เดินทางท่องยุทธภพ

1189 Words
ตอนที่ 4: คนโง่เดินทางท่องยุทธภพ ก้าวแรกสู่โลกกว้าง จวินเสวียนออกจากสำนักเมฆามังกรในยามรุ่งสาง ท่ามกลางความเงียบงันที่ปกคลุมหุบเขา เขาเดินลงมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่ด้านหลังสะพายย่ามผ้าใบเก่า ๆ ที่บรรจุข้าวของจำเป็นไม่กี่ชิ้น และที่สำคัญที่สุดคือถุงหนังขนาดใหญ่ที่ภายในมีขวดดินเผาบรรจุ สุราชำระดวงจิต อยู่เกือบสิบขวด ทันทีที่เท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นดินนอกอาณาเขตของสำนัก จวินเสวียนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ความรู้สึกเป็นอิสระนั้นหอมหวานยิ่งกว่าเหล้าต้มกลั่นชั้นดีเสียอีก! “ว้าว! นี่แหละชีวิต!” จวินเสวียนยิ้มกว้าง ลืมความเศร้าโศกจากการจากไปของอาจารย์ไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ออกเดินทางด้วยแผนการที่ซับซ้อนใด ๆ แผนที่ที่อาจารย์มอบให้เป็นเพียงม้วนผ้าไหมเก่า ๆ ที่วาดเส้นทางไว้คร่าว ๆ ไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นดินแดนที่ว่ากันว่ามีหมอกพิษปกคลุมและเต็มไปด้วยสัตว์อสูร “ช่างเถอะ! เดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ถึงเองแหละ!” เขาคิดอย่างสบายอารมณ์ จวินเสวียนในร่างใหม่นี้แม้จะไร้วิชา แต่เขาก็มีทักษะการเอาตัวรอดที่ไม่เหมือนใคร: การเดินป่า, การสังเกตพืชสมุนไพร, และที่สำคัญที่สุดคือ การพูดคุยกับผู้คน ในช่วงหลายวันแรกของการเดินทาง จวินเสวียนเลือกที่จะเดินทางผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ และเมืองขนาดกลาง เพื่อหาเสบียงและหาข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทาง เขาใช้เสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา—ความตลก, ความซื่อตรง, และรอยยิ้มที่ไม่เคยจางหาย—ในการเข้าหาผู้คน เมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ไหนก็ตาม เขาจะเลือกนั่งที่มุมเงียบ ๆ และสั่งอาหารราคาถูก แต่เมื่อเขาต้องการข้อมูลที่ละเอียดขึ้น เขาก็จะหยิบ สุราชำระดวงจิต ออกมา ในยุทธภพนี้ เงินตราไม่ได้มีค่าเท่ากับ 'ของวิเศษ' และเหล้าของจวินเสวียนนั้นจัดว่าเป็น 'ของวิเศษ' ชนิดหนึ่ง ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองตงกวาง, จวินเสวียนนั่งอยู่กับนักเดินทางที่ดูหยาบกร้านสองคน พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าและข่าวสารในยุทธภพกัน จวินเสวียนยื่นเหล้าให้พวกเขา “ท่านพี่ทั้งสอง, นี่คือเหล้าที่ข้าต้มกลั่นเอง! รับรองว่าดีกว่าเหล้าในโรงเตี๊ยมนี่สิบเท่า! แค่ขอให้ท่านช่วยบอกเส้นทางไปยังป่าหมอกครามให้ข้าหน่อยเท่านั้นเอง” ชายคนหนึ่งดื่มเหล้าของจวินเสวียนไปอึกใหญ่ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ให้ตายเถอะ! นี่มันเหล้าเซียนชัด ๆ! รสชาติ! กลิ่น! และพลังที่ไหลเวียนในร่างกายข้า... ยอดเยี่ยม!” นักเดินทางคนนั้นตะโกนด้วยความตื่นเต้น อีกคนรีบแย่งถ้วยเหล้าไปดื่มบ้าง และพยักหน้าอย่างแรง “จริง! พี่ชาย, เจ้าต้มเหล้าแบบนี้ได้ยังไงกัน! ข้าให้ข้อมูลทั้งหมดที่ข้ารู้เลย! ป่าหมอกครามนะรึ? มันอันตรายมาก, เจ้าต้องระวังพวกสัตว์อสูรระดับสูง และที่สำคัญ...” นักเดินทางคนนั้นเอนตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเสียงต่ำ “...ระวัง ปีศาจแปลงโฉม ด้วย! พวกมันจะแปลงกายเป็นคนงดงามเพื่อล่อลวงนักเดินทางให้เข้าไปในป่า!” จวินเสวียนฟังด้วยความสนใจ แต่ก็ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “ปีศาจแปลงโฉมหรือ? ฮ่าฮ่า! ข้าหน้าตาแบบนี้ ใครจะอยากแปลงมาล่อลวงกันครับ! พวกเขาคงหนีไปตั้งแต่เห็นหน้าข้าแล้ว!” การตอบกลับที่ตลกและจริงใจของเขาทำให้บรรยากาศตึงเครียดลดลงไปทันที นักเดินทางทั้งสองหัวเราะและบอกเส้นทางที่ละเอียดให้เขาอย่างเต็มใจ การเดินทางไม่ได้ราบรื่นเสมอไป บางครั้งจวินเสวียนก็ต้องเผชิญกับโจรป่าที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเหยื่อที่ร่ำรวย (เพราะเขาทำตัวสบายเกินไป) แต่โจรเหล่านั้นก็ต้องประหลาดใจกับความซื่อและไร้พิษภัยของเขา ครั้งหนึ่ง, จวินเสวียนถูกโจรป่าสี่คนล้อมไว้ พวกเขาใช้มีดและกระบี่ขึ้นสนิมชี้มาที่เขา “ส่งของมีค่ามาให้หมด! เจ้าหนู!” หัวหน้าโจรคำราม จวินเสวียนยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “โอ้! พวกท่านหิวใช่ไหมครับ? ข้ามีแค่ถุงเหล้านี่แหละที่ข้าถือว่าเป็นของมีค่า! พวกท่านสนใจจะมานั่งดื่มเหล้าต้มกลั่นชั้นดีก่อนปล้นข้าไหมครับ?” เขาหยิบขวดเหล้าออกมาและเปิดจุกไม้ โจรทั้งสี่ที่กำลังจะลงมือชะงักไปเพราะกลิ่นหอมหวนที่ลอยออกมา “นี่เป็นเหล้าสูตรพิเศษของข้า! ดื่มแล้วรับรองว่าร่างกายแข็งแรง! พวกท่านดูเหนื่อยมากเลยนะ! มา! มานั่งพักก่อน!” จวินเสวียนยื่นเหล้าไปข้างหน้าอย่างเป็นมิตร สุดท้าย, โจรทั้งสี่คนก็กลายมาเป็นนักดื่มเหล้าของเขา พวกเขานั่งลงดื่มเหล้าจนเมามายและร้องไห้คร่ำครวญถึงความยากลำบากของชีวิตแทนที่จะปล้นเขา จวินเสวียนต้องให้เงินเล็กน้อยแก่พวกเขาเพื่อเป็นค่าอาหาร ก่อนจะบอกลาและเดินจากไปอย่างง่ายดาย จวินเสวียนรู้ดีว่าสิ่งที่ปกป้องเขาไม่ใช่พลังชี่ที่ไร้ค่าของเขา, แต่เป็น อารมณ์ขัน และ สุรา ที่ทำให้ศัตรูไม่รู้ว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร หลังจากเดินทางมาเกือบสองสัปดาห์, จวินเสวียนก็มาถึงเขตป่าที่เริ่มมีหมอกครามปกคลุมตามคำเตือนของผู้คน พื้นดินชื้นแฉะและเต็มไปด้วยพลังงานธรรมชาติที่รุนแรง—เป็นสัญญาณว่าเขาเข้าใกล้ที่ซ่อนของคัมภีร์มากขึ้นแล้ว เขาตัดสินใจเดินเลาะริมลำธารเพื่อเป็นแนวทาง แต่ร่างกายที่อ่อนแอของเขาเริ่มเหนื่อยล้า จวินเสวียนจึงตัดสินใจหยุดพัก เขาเดินตามเสียงน้ำที่ไหลไปอย่างสงบ จนกระทั่งมาถึงลำธารที่กว้างและน้ำใสสะอาดราวกับกระจก เขาวางย่ามลงบนก้อนหินใหญ่ข้างทาง และถอดเสื้อคลุมออกเพื่อจะล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น “ได้เวลาเติมพลังแล้ว!” เขาคิดอย่างร่าเริง จวินเสวียนก้มลงวักน้ำขึ้นมาล้างใบหน้า... ในขณะที่เขากำลังทำความสะอาดตัวเองอย่างเพลิดเพลิน, เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่า, ห่างออกไปไม่ไกล, ภายใต้ผืนน้ำตื้น ๆ ของลำธาร, มี ร่างหนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างนั้นมีเส้นผมสีนิลที่สยายยาวไปตามกระแสน้ำ, ผิวพรรณเปล่งประกายสีหยกอ่อน ๆ แม้จะอยู่ในชุดผ้าบางเบาที่เปียกปอน, แต่ความสง่างามและพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งนั้นยากเกินกว่าจะมองข้ามได้ ร่างนั้นกำลังฝึกวิชาบางอย่างที่ดูสงบและลึกลับราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาในโลกมนุษย์ จวินเสวียนเงยหน้าขึ้นจากน้ำ, หยิบขวดเหล้าออกมา, และกำลังจะจิบมันเพื่อดับกระหาย—ทันใดนั้น, เขาก็เหลือบไปเห็นร่างที่อยู่ในน้ำเข้า!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD