“โลกของพวกพี่”

1885 Words
หลังจากมื้อกลางวันผ่านไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเหตุการณ์ ‘ไข่ดาว’ ที่ทำให้โต๊ะทั้งโต๊ะชะงักค้าง ทุกคนก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะปนกัน “โอ้ยย อิ่มฉิบหาย เดินไม่ไหวละเนี่ย” เจเจลูบท้องตัวเองพลางเดินยืดหลัง “พูดอย่างกับกินบุฟเฟ่ต์” แจมแซะเบา ๆ ขณะคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมา “พวกมึงจะกลับตึกเลยปะ” เมย์ถามขึ้นพลางหันมาทางกลุ่มเพื่อน “กูขอแวะร้านน้ำปั่นแป๊บนึง ร้อนฉิบหาย ต้องซื้อชาเขียว” แบมแบมว่าแล้วก็พัดมือไปมา ทำหน้าเหมือนจะละลายตายกลางแดด “กูก็ไปด้วย” นุ่นว่า ก่อนหันมามองน้ำหวาน “หวานล่ะ ไปด้วยกันมั้ย?” น้ำหวานที่เก็บข้าวของช้า ๆ เงยหน้าขึ้น ยิ้มจาง ๆ “ไปสิ น้ำตาลตกมากตอนนี้” “งั้นไปกัน!” แบมแบมว่าแล้วก็เดินนำลิ่วออกจากโรงอาหารไปทางร้านน้ำปั่นหน้าคณะ น้ำหวานเดินเคียงข้างนุ่นช้า ๆ พยายามเบนความคิดออกจากเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารเมื่อครู่ แต่ภาพใบหน้าของหมอกกลับลอยขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า… โดยเฉพาะตอนที่เขาเอื้อมมือมาเปลี่ยนไข่ดาวของเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ พอเดินมาถึงหน้าร้านน้ำปั่น กลุ่มเพื่อนก็หยุดต่อแถวกันตามปกติ “เออ อีหวาน มึงรู้จักพี่หมอกด้วยเหรอ?” แจมหันมาถามขึ้นด้วยความสงสัย น้ำหวานเงยหน้ามามองนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ก็…ไม่เชิงอ่ะ เมื่อก่อนเคยรู้จัก แต่ตอนนี้…คงไม่แล้วมั้ง” “พูดเหี้ยไรของมึงวะเนี่ย พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยค่ะ” เมย์แทรกขึ้นทันที สีหน้ามึนงงอย่างเห็นได้ชัด “เออ จริงมึง” นุ่นเสริมพร้อมพยักหน้า น้ำหวานถอนหายใจเบา ๆ พลางมองแก้วชาไทยปั่นในมือ เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีไหม ก่อนจะยอมหลุดปากออกมาในที่สุด “ก็แบบ… แม่เขากับแม่กูรู้จักกัน ตอนเด็กแม่กูต้องออกไปทำงานข้างนอกบ่อย ๆ ก็เลยชอบเอากูไปฝากไว้บ้านแม่เขา กูเลยได้เล่นกับเขาบ่อย ๆ ตอนนั้นแหละ” “อ๋อ…ก็ดูสนิทกันอยู่นะ แล้วทำไมตอนนี้ทำเหมือนไม่รู้จักกันเลย?” นุ่นถามต่อแบบไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบไปง่าย ๆ “อีนุ่น มึงยิงคำถามได้เลิศมากค่ะ” แจมแซะเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ น้ำหวานถอนหายใจนิด ๆ “ไม่รู้ดิ… พอเขาจบ ม.สาม ก็ไม่เจออีกเลย แม่เขาบอกว่าเขาย้ายไปอยู่กับพ่อที่ต่างประเทศ ตอนนั้นกูก็เพิ่งขึ้น ม.หนึ่งเอง ยังไม่อินอะไรเท่าไหร่” “แล้วตอนเด็กกับตอนนี้ นิสัยเหมือนกันปะ?” คราวนี้เป็นแบมแบมที่ถามขึ้นบ้าง หลังจากยืนฟังอยู่เงียบ ๆ “โอ๊ย ตอนเด็กก็นิสัยดีกว่านี้นะ ตอนนี้ทั้งนิ่ง ทั้งหยิ่ง หน้าก็แบบ…เหมือนคนตายตลอดเวลา คงคิดว่าหล่อละมั้ง” “ก็หล่ออยู่นะ ขาว เย็นชา เท่ดีออก” แจมว่าเสียงสูงพลางกลอกตาอย่างอารมณ์ดี ทันทีที่แจมพูดจบ ทั้งกลุ่มก็หัวเราะครืน รู้สึกบรรยากาศคลายเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ——— “น้องมึงเรียนวิศวะภาคอะไรนะ?” เจเจเอ่ยถามแทนไทขึ้นมาลอย ๆ ระหว่างที่ทุกคนกำลังรอกองทัพเก็บของ “คอมพิวเตอร์…” เสียงทุ้มเย็นตอบแทนแทนไทก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปาก ทุกคนหันไปมองทันที หมอกยืนอยู่ไม่ไกล มือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง อีกมือถือโทรศัพท์กดไล่หน้าจอ “มึงรู้ได้ไง อย่าบอกนะว่า… มึงแอบชอบน้องน้ำหวานอ่ะ กูเห็นนะมึงแอบยิ้มมุมปากตอนสลับไข่ดาวนั่นน่ะ!” แทนไทถามทันควัน หน้าตาล้อเลียน “ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เรียนภาคคอมกันทั้งนั้น อย่าโง่” หมอกตอบเรียบ ๆ พลางปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินออกจากวงไปแบบไม่สนใจใคร “เสือกเรื่องของมันไม่เข้าท่าเลยว่ะมึง” กองทัพที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตบบ่าแทนไทเบา ๆ อย่างปลอบใจ เล่นเอาทั้งกลุ่มหัวเราะพรืดออกมาพร้อมกัน “โอ้โห เจ็บจี๊ด…” ไทเกอร์ทำเสียงลากยาวล้อเลียน พร้อมแกล้งตบบ่าแทนไทอีกที “กูละเกลียดพวกมึงชิบหาย” แทนไทโอดครวญ พลางเบ้ปากใส่เพื่อน “ฮ่าฮ่าฮ่า โคตรชอบเลยว่ะ!” เจเจหัวเราะลั่นก่อนจะเดินตามเพื่อน ๆ ที่เริ่มทยอยออกจากโรงอาหารไปทีละคน ——— 16.00 น. ณ ลาเกียร์ คณะวิศวะ “น่าเบื่ออ่ะ! มาเรียนวันแรกแทนที่จะเลิกเร็ว ๆ ได้กลับบ้านชิล ๆ นี่อะไรไม่รู้ แล้วพวกรุ่นพี่จะนัดรวมตัวทำไมอีก ร้อนจะตายห่า” แจมบ่นเสียงดังอย่างหมดความอดทน “เอาน่า มึงก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีปะ” น้ำหวานตอบเสียงเรียบ พลางพัดมือไล่เหงื่อ “โคตรน่าเบื่อ แล้วก็โคตรร้อนเลยด้วย” แบมแบมเสริมทันที หน้าตาบูดเบี้ยวแทบจะละลาย “ใจร่ม ๆ เพื่อน กูรู้ว่ามึงเบื่อมึงร้อน แต่ใจร่ม ๆ นะ” นุ่นพูดปลอบพลางยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะหันมากระซิบกับน้ำหวานและเมย์เบา ๆ ว่า “กูละกลัวอีแบมมันจะปี๊ดแตกจริง ๆ ยิ่งถ้าเข้าไปนั่งในห้องแล้วเจอคนเสียงดังอยู่ข้างหลังอีกนะ มันจะลุกขึ้นไปตบเขาไหมเนี่ยยย…” “เมย์ มึงช่วยคอยดูมันด้วยละ ปากอีแบมนี่เร็วอยู่ด้วย กูไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ” นุ่นเสริมพร้อมกลอกตา เมื่อถึงเวลา นักศึกษาคณะวิศวะทุกคนก็มารวมตัวกันที่ลานเกียร์อย่างพร้อมเพรียง เป็นครั้งแรกที่น้ำหวานได้มองไปรอบ ๆ แล้วรู้สึกว่า…คนเยอะชิบหาย เยอะจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมดในฝูงช้าง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะคละเคล้ากับอากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดกระทบกับพื้นปูนจนแทบจะแผดเผาฝ่าเท้าทะลุรองเท้าผ้าใบ ‘โอยยย แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะต้องแยกกลุ่มไปตามภาคอีก คิดแล้วเศร้า’ น้ำหวานบ่นในใจอย่างหมดแรง ดวงตาเหลือบมองนาฬิกาแบบไม่ค่อยมีหวัง อยากกลับบ้านชิบ… “เงียบบบบ!!!!” เสียงตะโกนดังลั่นจนทุกคนสะดุ้งโหยง เงียบลงแทบจะในทันที ราวกับมีใครกดปุ่มปิดเสียง สายตาทั้งลานเกียร์หันไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง และภาพที่เห็นก็คือ พี่ไทเกอร์ รุ่นพี่ปีสาม หน้าตาหล่อเหลาแต่เต็มไปด้วยรังสีความดุ ทำหน้าขรึมจัดจนคนที่กำลังคุยกันเมื่อครู่หุบปากแทบไม่ทัน “อยู่ด้วยกันมาทั้งวัน… พวกคุณยังแนะนำตัวไม่เสร็จอีกหรอครับ?” น้ำเสียงเรียบแต่กดดันเล่นเอานักศึกษาหลายคนยืนตัวแข็งเป็นท่อนไม้ “เหี้ยยย คนหล่อทำกูตกใจหมด” แจมกระซิบบอกฉันเสียงเบา แต่น้ำเสียงยังตื่นตะลึงไม่หาย “เงียบปากไปเลยมึง เดี๋ยวก็โดนแดกหัวหรอก” ฉันรีบหันไปดุ แจมเลยรีบหุบปากแทบไม่ทัน ทันใดนั้นเสียงเข้ม ๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เอาละครับ… ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะ” ชายหนุ่มตรงหน้ากวาดตามองนักศึกษาปีหนึ่งทั่วทั้งลาน ก่อนจะพูดต่อเสียงดังฟังชัด “ผมไทเกอร์ ภาคไฟฟ้า เป็นหัวหน้าเฮดว้ากของพวกคุณในปีนี้” คำว่า “หัวหน้าเฮดว้าก” หลุดจากปากเขา ทำเอาหลายคนขนลุกซู่ บางคนที่อยู่แถวหน้าแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง “จากวันนี้ไป ถ้าผมพูดอะไร… ขอให้ตั้งใจฟัง และทำตาม ผมไม่ใช่คนดุ แต่ถ้าคุณไม่ให้เกียรติ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงแรงกดดันระดับสิบ แล้วเขาก็ยกยิ้มมุมปากเบา ๆ ก่อนพูดปิดท้ายแบบที่ไม่มีใครคาดคิด “แต่ถ้าใครใจสู้ ใจกล้า อยากลองของ… ก็ลองดูครับ ผมก็คนเหมือนกัน แต่แค่… น่ากลัวกว่าคนอื่นหน่อย” กลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งถึงกับเงียบสนิท บรรยากาศเหมือนสนามรบก่อนระเบิดจะลง แจมกระซิบอีกครั้งด้วยเสียงเบาเหมือนลมหายใจ “กูชักอยากลาออกจากคณะตั้งแต่วันนี้เลยว่ะ…” “เอาล่ะ ต่อไปจะเป็นการแนะนำตัวของพี่ว้ากและพี่ๆ ที่มีตำแหน่งต่าง ๆ ” ไทเกอร์พูดเสียงดังฟังชัด ก่อนจะหันไปทางข้างหลัง “เชิญครับ ชายหนุ่มที่ยืนพิงเสาอยู่เงียบ ๆ ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างสง่างาม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จ้องมอง “หมอก ภาคไฟฟ้า รักษาการรองเฮดว้าก” เสียงทุ้มต่ำพูดเรียบ ๆ แต่หนักแน่นพอจะทำให้หลายคนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ “อื้อหือออ…” แจมกระซิบเสียงเบา “หล่อเหี้ย ๆ ยิ่งกว่าในโรงอาหารอีกกก” ฉันสะกิดแขนแจมเบา ๆ ให้หุบปากก่อนจะโดนพี่เฮดว้ากจับลากออกไปยืนเดี่ยว “กองทัพ ภาคไฟฟ้า พี่ว้ากครับ” เสียงของพี่ทัพดังขึ้นถัดมา หน้าดุจนดูเหมือนจะว้ากคนได้ทั้งคณะ “เจเจ ภาคไฟฟ้า พี่ว้ากครับผม!” อีกเสียงตามมาอย่างร่าเริงผิดคาดกับตำแหน่ง สุดท้ายชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวออกมา สีหน้าสบาย ๆ แต่แววตาดูไม่ไว้ใจได้ “แทนไท ภาคไฟฟ้า พี่วินัยครับ” เขาพูดสั้น ๆ แต่พอชื่อ “พี่วินัย” หลุดออกจากปาก ทุกคนก็หายใจติดขัดอีกรอบ “จำไว้นะครับ…” ไทเกอร์พูดเสียงดังฟังชัด พลางกวาดตามองไปยังกลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งตรงหน้า “ตลอดระยะเวลาของการรับน้อง หรือพิธีการส่งมอบเกียร์ พี่ๆ ที่อยู่ในที่นี้ จะเป็นคนดูแลพวกคุณ…จนกว่าพิธีจะจบลงอย่างสมบูรณ์” เสียงรอบข้างเงียบกริบ แม้แต่เสียงนกร้องก็เหมือนจะหยุดบินผ่านบรรยากาศตึงเครียด “ไม่ใช่แค่ดูแลให้เรียนรู้ระบบ แต่เราจะดูแลให้พวกคุณ ‘มีเกียร์’ อย่างภาคภูมิใจ” หมอกพูดขึ้นเรียบ ๆ แต่ดวงตาเขาคมกริบ ราวกับกำลังมองทะลุเข้าไปในใจทุกคน บางคนเริ่มกลืนน้ำลายลงคอ บางคนเผลอยืดตัวให้ตรงขึ้นโดยอัตโนมัติ “ถ้ามีคำถามหรือข้อข้องใจอะไร…เก็บไว้ก่อนครับ” พี่เจเจเสริมขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะพวกคุณจะได้คำตอบทุกอย่าง…เมื่อถึงเวลา” “แล้วเวลานั้นแม่งคือเมื่อไหร่ฟะ” แจมกระซิบกับน้ำหวานเสียงเบา ฉันพยายามกลั้นหัวเราะและสะกิดแขนเพื่อนให้เงียบไว้ เพราะพี่ทัพที่ยืนอยู่ไม่ไกลชักมองมาเหมือนจับได้ว่าใครขยับ “หวังว่าทุกคนจะเตรียมใจมาแล้วนะครับ…” แทนไทพูดเสียงเรียบ ก่อนทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาขนลุกซู่ “ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของ ‘พวกพี่’ ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD