[ฉันรักเธอนะนาโอมิ]
[ฉันก็รักนายเรียวตะ ฉันรักนายมากเลยนะ]
ฉันจับจ้องผู้ชายข้างกายด้วยสายตาเปี่ยมรัก ความร้อนเห่อเล่นวูบวาบไปทั่วใบหน้า หัวใจดวงน้อยเต้นแรงไม่เป็นส่ำ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู
นี่มันเป็นความฝันใช่ไหม… เขา… เขาบอกรักฉันจริง ๆ ใช่ไหม…
[ฉันรักเธอ...]
อีกแล้ว… เขากระซิบคำว่ารักเสียงทุ้มอ่อนหวาน หัวใจดวงน้อยของฉันโผบินอย่างเบิกบานเมื่อได้ฟังคำบอกรักของเขาอีกครั้ง เขาบอกรักฉัน… เขาใจตรงกับฉันจริง ๆ ฉันจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากบางเฉียบชมพูน้อย ๆ จมูกโด่งสัน ดวงตาเรียวรีน่ามอง และสิ่งที่ทำให้ฉันหลงรักเขามากที่สุดก็คือ… เรือนผมสีเทาควันบุหรี่แสนเท่นั่น
[ฉันก็รักนาย… รักนาย...]
ดวงตาเรียวรีนั่นสบตากับฉันนิ่ง ถ่ายทอดความรู้สึกรักอย่างสุดหัวใจให้กันและกัน เราสองคนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักจนยากจะมีใครมาขัดขวางความรักของพวกเราได้...
“คัท! บทสุดท้ายจบลงแล้ว เฮ! ทุกคนทำได้ดีมาก!”
เสียงปริศนาดังขึ้นจากมอนิเตอร์ทำลายภาพความโรแมนติคของฉันลงอย่างเฉียบพลัน โลกสีชมพูเมื่อครู่สลายหายไปกลายเป็นสตูดิโออัดเสียงที่แสนคุ้นตาแทน ฉันกะพริบตาปริบ ๆ เพราะยังคงช็อกกับมโนแสนหวานที่เพิ่งถูกทำลายไปเมื่อครู่ จนกระทั่งถูกมือหนาของใครคนหนึ่งสัมผัสหัวไหล่แผ่วเบา ฉันจึงรีบละสายตาไปจากใบหน้าหล่อของเขาด้วยความเก้อเขิน
“เป็นอะไรหรือเปล่าลิลลา?”
“เอ่อ… ปะ… เปล่านิ ฉันสบายดี แฮร่ ๆ” ฉันฉีกยิ้มให้เขาคนนั้นขณะถอดหูฟังออกมาแขวนไว้ ชายหนุ่มร่างสูงยกมือขึ้นเสยผมสีเทาของตัวเองลวก ๆ แต่ท่าทางนี่บาดหัวใจฉันมากมาย โอ๊ย… ใจละลายยยย
“งั้นเหรอ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้างั้นฉันกลับก่อนนะ” มือหนาวางลงบนศีรษะของฉันพลางขยี้เบา ๆ เหมือนทุกครั้งที่เขาชอบทำ และมันก็สั่นคลอนหัวใจของฉันได้ดีเสมอเช่นเคย
“ดะ… เดี๋ยวสิขุนทัพ” ฉันพลั้งปากเรียกชื่อเขาเอาไว้เมื่อมือหนาผละออกไป ความรู้สึกใจหายมันทำให้ปากฉันไวกว่าสมองอีกแล้ว
ผู้ชายร่างสูงคนนี้ชื่อ ‘ขุนทัพ’ เขาเป็นเพื่อนร่วมคณะกับฉัน และยังเป็นเพื่อนร่วมงานของฉันด้วย เอ่อ… ความจริงฉันแอบตามเขามาทำงานที่นี่เองน่ะ มันเป็นงานพากย์เสียงของบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งส่วนมากจะรับพากย์การ์ตูนอนิเมะหวานแหววทั่วไป อย่างเช่นตอนนี้ที่ฉันเพิ่งพากย์เสียงนางเอกคู่กับขุนทัพซึ่งพากย์เสียงพระเอกของเรื่อง
และที่สำคัญ… เขาคือรักแรกพบของฉัน...
“อืม ว่าไง”
“เอ่อ… นาย… จะกลับแล้วเหรอ” ฉันถามขณะเดินตามขุนทัพออกมาจากห้องอัดเสียง เมื่อเดินออกมาด้านนอกก็พบกับพี่ภีมผู้ที่เป็นทุกอย่างของบริษัทแห่งนี้ เรียกได้ว่าพี่ภีมรับหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่เจ้านายยันผู้กำกับเสียงเลยล่ะ
“คงงั้น ฉันมีธุระอื่นต่อน่ะ แล้วเธอล่ะ? ต้องไปทำงานที่ร้านชิคเก้นริงต่อหรือเปล่า”
“อ้อ… ไปสิ ฉันก็ต้องไปทำทุกวันนั่นแหละ ถ้างั้นนายกลับก่อนเถอะ ฉันไม่รบกวนแล้ว” ฉันโบกมือลาพลางยิ้มเขิน ขุนทัพยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่หล่อละลายใจฉันมาก โอ๊ยให้ตาย… โรคหัวใจกำเริบเลิฟฟฟฟ!
“อ้าว ๆ อย่าเพิ่งกลับกันนะพวกเธอสองคน พอดีพี่มีโปรเจคใหม่มาให้ทำอีกแล้ว ตั้งใจจะบอกหลังพากย์เรื่องนี้จบนี่แหละ” พี่ภีมลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นบทพากย์ให้กับฉันและขุนทัพคนละหนึ่งเล่ม ฉันรับมันมาถือพลางอ่านชื่อเรื่องตรงหน้าปกเบา ๆ
“ยั่วรักร้อนสวาท…”
เอ่อ… เดี๋ยวนะ… เมื่อกี้ฉันอ่านชื่อเรื่องผิดหรือเปล่าเนี่ย!
ฉันรีบขยี้ตาตัวเองแรง ๆ ก่อนจะพลิกดูบทคร่าว ๆ ภายในทันที เพียงแค่เห็นชื่อเรื่องก็น่าตกใจพอแล้ว พอได้เห็นบทพากย์ด้านในฉันนี่แทบจะเป็นลมล้มพับไปเลยทีเดียว
อ๊ากกกกก! นี่มันบทพากย์บ้าบออะไรเนี่ย!! ทำไมมันถึงมีบท... อื้อ… อ่า… อ๊า… ด้วยล่ะเนี่ย! กรี๊ดดด! ลิลลาจะเป็นลมค่ะ!!
“พะ… พี่ภีมหยิบบทผิดหรือเปล่าคะ?” ฉันปิดบทในมือดังฉึบพร้อมกับดึงสายตาหวานขึ้นมองมนุษย์แว่นตรงหน้า พี่ภีมเป็นผู้ชายรูปร่างสูงวัยยี่สิบกว่า ๆ คาแรคเตอร์ชัดเจนของเขาคือชอบใส่แว่น แต่ไม่ใช่แว่นสายตานะคะ แว่นกันแดดแฟชั่นทั่วไปเนี่ยแหละ!
“ถูกแล้วนะลิลลา นี่เป็นบทใหม่ที่บริษัทเราเพิ่งรับเข้ามา”
“บทใหม่… เหรอคะ? ไอ้การ์ตูนติดเรต 18+ เนี่ยนะคะ!”
“ชะ… ใช่! แฮร่… คือพอดีช่วงนี้บริษัทเราไม่ค่อยมีงานเข้ามาเลยน่ะ พี่เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวนิดหน่อย” พี่ภีมเกาคอแก้เขิน ท่าทางลำบากใจพอสมควร แต่ฉันนี่สิลำบากใจมากกว่า
“ลิลรับบทนี้ไม่ได้หรอกค่ะ พี่เอาคืนไปเถอะ” บทพากย์ในมือถูกยื่นคืนให้กับพี่ภีม ฉันทำไม่ได้จริง ๆ นะ ฉันพากย์บทสยิว ๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก อึ๊ยย แค่คิดก็ขนลุกแล้วอ่ะ!
“แต่บทนี้เงินดีมากเลยนะลิล ลองกลับไปคิดทบทวนดูก่อนไหม นี่ขุนทัพ... นายช่วยพี่พูดกับลิลลาหน่อยสิ งานนี้จะขาดเสียงนางเอกไม่ได้นะ” พี่ภีมเปลี่ยนเป้าหมายไปหาขุนทัพที่ยืนอ่านบทเงียบ ๆ แทน
ให้ตายสิ! ฉันลืมไปเลยว่าขุนทัพก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย
“พี่ภีมไม่ต้องหาพรรคพวกเลยนะคะ ลิลทำไม่ได้หรอกค่ะ มันเกินตัวลิลจริง ๆ อีกอย่างลิลก็ไม่เคย… เอ่อ…” ฉันชะงักคำพูดไว้แค่นั้นพร้อมกับใบหน้าเรื่อแดง จะให้พูดออกไปตรง ๆ ได้ยังไงว่าฉันไม่เคยสัมผัสกับไอ้ความรู้สึกสยิวนั่นเลยสักครั้ง! แล้วฉันจะเอาฟิลลิ่งที่ไหนมาพากย์กันล่ะ! การพากย์เสียงมันต้องใช้ฟิลลิ่งล้วน ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกออกมาทางเสียงเลยนะ! ไม่ใช่แค่มายืนส่งเสียงหรือท่องบทยาน ๆ อะไรแบบนั้นสักหน่อย
บ้าจริง… นี่มันงานยากมากเลยนะ ฉันทำไม่ได้หรอก!
“ลองกลับไปคิดดูก่อนไหมลิลลา ฉันอ่านบทคร่าว ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ติดเรตอะไรมากนะ”
ขุนทัพปิดบทของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองฉัน ทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งลำบากใจน่ะสิ ลำพังคำพูดของพี่ภีมน่ะเปลี่ยนใจฉันไม่ได้หรอก แต่นี่เป็นคำพูดเชิงขอร้องของขุนทัพเลยนะ แล้วฉันจะปฏิเสธลงเหรอเนี่ย
“เห็นไหม ๆ ขนาดขุนทัพยังบอกว่ามันไม่ค่อยติดเรตเลย นะ ๆ ลิลลาคนดีของพี่ งานนี้พี่ต้องมีเสียงนางเอกของลิลจริง ๆ นะ”
“แต่…”
“เงินมันดีมากเลยนะ ได้เยอะกว่าปกติถึงสามเท่าแน่ะ!”
หา!! สะ… สามเท่าเลยเหรอ?!
“พะ… พูดจริงเหรอคะพี่ภีม?” ฉันถามตะกุกตะกัก เริ่มลังเลมากกว่าเดิมเพราะมีเรื่องเงินทองมาเกี่ยวนี่แหละ บ้าจริงเชียว ทำไมฉันต้องเห็นแก่เงินขนาดนี้ด้วยนะ!
“จริงสิ ถ้าลิลตกลงนะ พี่นัดมาเซนต์สัญญาได้เลย”
ฉันเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มของตัวเองแน่น มันกดดันยังไงไม่รู้ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมด้วย ฉันจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาไว้ใช้จ่ายในช่วงนี้กับช่วงเปิดเทอมหน้าซะด้วยสิ บทในมือถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับกวาดสายตามองด้วยความหนักอกหนักใจ
เฮ้อ… ลองเสี่ยงดูสักตั้งแล้วกันลิลลา! ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยไปหาคนช่วยสอนเรื่องพวกนี้ให้แล้วกัน!
“ก็ได้ค่ะ… ลิลตกลงรับเรื่องนี้ก็ได้”
“ดีมาก! เอาไว้พี่จะโทรเรียกพวกเธอสองคนเข้ามาเซนต์สัญญาแล้วกันนะ ช่วงนี้ว่าง ๆ ก็อ่านบทกันไปก่อนเลย ขอบใจพวกเธอมาก” แล้วพี่ภีมก็กลับไปนั่งลงหน้ามอนิเตอร์เช่นเดิม ทิ้งฉันไว้กับขุนทัพที่ยืนจ้องฉันนิ่ง ๆ โดยไม่พูดจาอะไร ฉันจึงเป็นฝ่ายหันมองเขาแล้วส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้
“ฉัน… กลับก่อนแล้วกันนะ ไว้เจอกัน”
“อืม ไว้เจอกัน”
บอกลากันแค่นั้นฉันก็ก้มหน้างุดเดินหนีออกมา ภายในหัวก็คิดทบทวนถึงบทที่ตัวเองตกปากรับคำมา ฉันจะทำมันได้หรือเปล่าเนี่ย ฟิลลิ่งสยิวแบบนั้นมันเป็นยังไงใครจะไปรู้เล่า! ตั้งแต่เกิดจนเติบโตมายี่สิบสองปี ฉันยังไม่เคยมีแม้แต่จูบแรกด้วยซ้ำ!
อ๊ากกกก! ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด! ลิลลานะลิลลา เธอมันหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ เลย!!