สตูดิโอ
ความรู้สึกปวดมวนท้องกลับมาเล่นงานฉันอีกแล้ว ก่อนหน้านี้อุตส่าห์ข่มใจตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่วายอยู่ดี ยิ่งเข้ามาเห็นหน้าพี่ภีมซึ่งเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการทำงาน ฉันก็แทบอยากจะมุดดินหนีกลับบ้านแล้ว
โอ๊ยลิลลา! แกจะไหวไหมเนี่ย!!
“พร้อมกันแล้วใช่ไหม”
พี่ภีมเดินยิ้มแฉ่งเป็นพระอาทิตย์เข้ามาหาในห้องอัดเสียง ฉันเหลือบมองร่างสูงข้างกายเล็กน้อย ขุนทัพกำลังมองฉันอยู่เช่นกัน
“เอ่อ… มะ มีอะไรหรือเปล่า” ฉันถามเขาด้วยความประหม่าเพราะสายตาแปลก ๆ ที่จ้องมา
“เธอโอเคใช่ไหม”
“หะ… อ้อ โอเคสิ ลิลพร้อมแล้วค่ะพี่ภีม” ฉันตอบขุนทัพยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปหาพี่ภีมด้วย ทุกคนกำลังเป็นห่วงฉันสินะ ฉันจะเป็นตัวถ่วงพวกเขาไม่ได้ ยังไงงานนี้ฉันก็ต้องทำให้ได้ แม้มันจะยากเกินไปสำหรับสาวน้อยวัยใสอย่างฉันก็ตาม
การอัดเสียงค่อย ๆ ดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างราบรื่น ในช่วงบทสนทนาแรก ๆ มันยังไม่ได้มีฉากสยิวอะไรมาก เป็นเพียงแค่คำพูดทักทายทำความรู้จักทั่วไปของพระนางเท่านั้น แต่หลังจากบทนี้ไปนี่สิ…
[เธอน่ารักจังเลยอายูมิ] เสียงนุ่มละมุนของขุนทัพทำฉันเขินจนไปต่อไม่ถูก ยิ่งได้เห็นสายตาหวานที่เขาจ้องมาเพื่อช่วยฉันสร้างฟิลลิ่ง ฉันก็ยิ่งแทบจะละลายไปเลย
[นายจะทำอะไร…] ฉันถามตามบท แต่ก็หยุดเสียงไว้แค่นั้น เพราะหลังจากประโยคนี้มันจะกลายเป็นเสียงสยิว ๆ จากการถูกพระเอกจู่โจมด้วยจูบอันเร่าร้อน ฉันแทบไม่มองจอมอนิเตอร์เลยด้วยซ้ำ หน้ามันร้อนผ่าว เลือดลมในร่างกายมันสูบฉีดไปหมด
ฉัน… ฉันทำไม่ได้!
“คัท!!”
เมื่อเห็นว่าฉันยืนก้มหน้า ตัวสั่น ปล่อยให้เสียงเงียบอยู่นานสองนานจนข้ามผ่านฉากนั้นไปแล้วพี่ภีมก็สั่งคัททันที ประตูห้องอัดเปิดออกพร้อมร่างสูงของผู้ที่เป็นเจ้านายเดินเข้ามา ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ ไม่เคยทำให้พี่ภีมต้องเสียเวลาขนาดนี้ แต่คราวนี้มันยากมากจริง ๆ ฉันทำไม่ได้จริง ๆ นะ
“ทำไมไม่พากย์เสียงต่อล่ะลิล เกิดอะไรขึ้น?”
“คือ… ลิล… ลิลขอโทษค่ะ” ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง ได้แต่ก้มหน้าก้มตาขอโทษพี่ภีม ฉันนี่มันแย่จริง ๆ ถ้าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ก็ไม่น่าจะรับงานนี้มาตั้งแต่แรกเลย เพราะเห็นแก่เงินแท้ ๆ ฉันมันแย่ ๆ ๆ ที่สุด!
“พวกเราขอพักหน่อยนะฮะ” ดูเหมือนฉันจะทำให้ขุนทัพเสียเวลาไปด้วยสินะ ไม่กล้าสู้หน้าเขาเลยแฮะ
“โอเค ๆ พักก่อนก็ได้นะลิล ถ้าไม่ไหวยังไงก็บอกพี่ได้นะ” พี่ภีมจับไหล่ฉันเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจก่อนเดินออกจากห้องอัดไป ฉันเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายข้างกายเล็กน้อย ขุนทัพกำลังมองฉันด้วยสายตากังวล
เขากำลังเป็นห่วงฉันเหรอ…
“เธอโอเคหรือเปล่า”
“อื้อ ฉันไม่เป็นไร… งั้นฉันขอเวลาทำสมาธิสักแป๊บแล้วกันนะ”
ฉันพูดแค่นั้นก่อนจะวิ่งออกมาจากห้องอัดเสียง ฉันต้องการพื้นที่สงบ ๆ เพื่อทำสมาธิ จึงเดินออกมานอกสตูดิโอซึ่งตั้งอยู่บนชั้นเก้าของคอนโดแห่งหนึ่ง ความจริงที่นี่มันเป็นแค่ห้องพักของคอนโดธรรมดานี่แหละ แต่พี่ภีมดัดแปลงให้เป็นสตูดิโออัดเสียงนั่นเอง
“ฮานน่าดีใจจังเลยที่วันนี้บัสแวะมาหาฮานน่าด้วย”
ฉันชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินไปทางบันไดหนีไฟเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิดตรงหน้าพร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยร่างของชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมา และฉันจะไม่สนใจเลยสักนิดถ้าหากผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใครคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก
แอร์บัส… เขามาทำอะไรที่นี่กันนะ…
“เอ๊ะ มีอะไรหรือคะบัส?” ผู้หญิงข้างกายเขาถามเสียงดังเมื่อแอร์บัสชะงักฝีเท้าตอนเห็นหน้าฉัน ฉันเม้มริมฝีปากนิด ๆ พลางละสายตาหนีก่อนจะเบี่ยงตัวเดินผ่านสองคนนั้นออกมา
ช่างเขาสิ… ผู้ชายคนนั้นจะมาทำอะไรก็เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันอยู่แล้ว
หากทว่า…
หมับ!
“อ๊ะ…” ฉันอุทานออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ก็ถูกฝ่ามือกรุ่นร้อนคว้าข้อมือไปจับ พอหันกลับไปมองก็พบกับใบหน้าหล่อร้ายอยู่ใกล้เพียงคืบ ดวงตาเจ้าเล่ห์หลุบมองบทพากย์ในมือฉันก่อนจะผุดยิ้มร้ายมุมปาก “จะ… จะทำอะไรคะ?”
“บัสทำอะไรน่ะ! ปล่อยยัยนั่นนะ!” เสียงหวีดร้องจากผู้หญิงที่มากับแอร์บัสดังก้องไปทั่ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ แถมยังขยับเข้ามาสวมกอดไหล่ฉันอีกต่างหาก นี่เขาคิดจะทำอะไรเนี่ย!
“โทษทีนะฮานน่า วันนี้ฉันคงไม่มีอารมณ์ไปกับเธอแล้ว แยกย้ายกันตรงนี้เลยแล้วกัน บาย” พูดจบเขาก็ดึงฉันไปทางบันไดหนีไฟ ฉันหันมองตามผู้หญิงที่ชื่อฮานน่าด้วยความงุนงงระดับสิบ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย แล้วทำไมเธอคนนั้นไม่ตามเรามาล่ะ
โอ๊ย ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย!