ชินอ๋องที่ดูแลค่ายพยัคฆ์เหินมาเนิ่นนานกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้เปิดการประลองเพื่อคัดเลือกยอดฝีมือไปเป็นนายกองเพิ่มเติม
“หม่อมฉันอยากจะได้ผู้ที่อยู่นอกกองทัพเพื่อที่จะได้นำเอาวิทยายุทธ์จากภายนอกไปฝึกสอนให้กับทหารเพิ่มเติม”
ฮ่องเต้หมิงทรงพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าอนุญาต”
ประกาศของทางการที่ถูกปิดไปทั่วเมืองหลวงล้วนทำให้ชายหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์มีความกระตือรือร้น การคัดเลือกโดยชินอ๋องซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น
ท่านชายน้อยจีเป็นหนึ่งในผู้สมัคร แม้ผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์โดยมากไม่นิยมเป็นทหารเพราะแต่ละสายตระกูลล้วนหวงแหนทายาทของตนยิ่งนัก จะว่าไปแล้วตระกูล หมิงของฮ่องเต้ก็มีเพียงชินอ๋องที่อาจหาญและเป็นขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่
“ที่ผ่านมา พ่อมิยอมให้เจ้าไปเป็นทหารเพราะเจ้าจะต้องสืบต่อตระกูล ทว่ายามนี้ภัยกลับมากมีนัก การออกจากวังจีของเจ้าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา” ท่านฝู่กั๋วกงตรวจดวงชะตาของตระกูลแล้วจึงอนุญาต
จากคนนับพันที่แห่แหนมาจากทั่วสารทิศ ผ่านรอบคัดเลือกเหลือเพียงสี่ร้อยคนที่นับว่ามีฝีมือร้ายกาจ
ลานประลองกลางเมืองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ครอบครัวของท่านฝู่กั๋วกงมาชมกันอย่างพร้อมหน้า
“พี่อิงอิง ท่านพี่ใหญ่จะได้อันดับหนึ่งหรือไม่?”
จีลี่อิงหัวเราะร่วน “พี่ใหญ่รับมือข้าได้เพียงคนเดียว แน่นอนว่าฝีมือของเขาย่อมไร้ผู้ต้าน”
จีเซียงอี๋ยิ้มจนตาหยี “ใช่แล้ว! ฝีมือพี่อิงอิงนับว่าร้ายกาจที่สุด”
จีลี่อิงหันไปมองที่นั่งตำแหน่งประธานในงานที่ชินอ๋องประทับอยู่ หากให้นางประเมินฝีมือและพลกำลังแล้ว นางคิดว่าผู้ที่คู่ควรกับการประลองฝีมือกับนางอีกผู้หนึ่งคือชินอ๋อง
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงกลองใหญ่ถูกตีรัวแรง นายทหารผู้หนึ่งในชุดเกราะเต็มยศขึ้นบนเวทีประกาศรายชื่อคู่ต่อสู้สิบคู่แรก พวกเขาสามารถใช้อาวุธหรือจะไม่ใช้ก็ได้ ขอเพียงเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ข้อห้ามคือห้ามใช้อาวุธลับหรือพิษใดๆ
แต่ละคู่ปะทะกันอย่างตื่นเต้น ฝีมือของพวกเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ส่วนใหญ่จะถนัดการใช้ดาบ และกระบี่ รอบที่สองผู้ชนะจากรอบแรกจะมาจับคู่ต่อสู้กันใหม่ ทำให้คัดเลือกเหลือหนึ่งร้อยคน ผ่านมาถึงรอบที่สี่เหลือเพียงยี่สิบห้าคน พวกเขาเริ่มใช้วิชาที่เหนือชั้นขึ้นกว่าสามรอบแรก
“เจ้าดูสิ! คนพวกนี้ฝีมือดีทั้งนั้น”
ฉินหวังหย่งนายใหญ่แห่งสำนักคุ้มภัยเทียนเทพ อดีตองครักษ์เงาของชินอ๋องมายืนอยู่เบื้องหลัง “พะยะค่ะ กระหม่อมเองก็อยากได้คนใหม่ๆ ไปเข้าสำนักเช่นกัน”
ห้าคนสุดท้ายที่ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่นั้น ชายหนุ่มคนสุดท้ายบุคลิกงามสง่าผึ่งผายจนชินอ๋องสะดุดตา หันไปสอบถามจากนายทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เจ้าไปดูชื่อสิว่า คนท้ายแถวน่ะ ชื่ออะไร?”
นายทหารผู้นั้นหายไปครู่หนึ่งจึงกลับมารายงาน “ท่านชายจีหลุนขอรับ”
“ข้าลืมตระกูลนี้ไปนานเทียว เจ้าไปสืบให้หน่อยสิว่า ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง?”
ฉินหวังหย่งรับคำ เมื่อชินอ๋องต้องการรู้ความลับใดเขาก็ยังคงออกทำหน้าที่องครักษ์เงาให้อยู่เสมอ ชินอ๋องพยายามนึกเรื่องของตระกูลจีซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ช่วยก่อตั้งราชวงศ์หมิง จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ฝู่กั๋วกงเพื่อให้สืบต่อในตระกูล
ในวัยเยาว์เขาเคยเห็นฝู่กั๋วกงคนก่อนถวายคำแนะนำให้เสด็จพ่อ ทว่าระยะหลังกลับไม่เห็นอีก ภายหลังจึงได้รู้ว่า ตระกูลจีถูกสั่งห้ามมิให้เข้าวังอีก แต่เขามิรู้ว่าต้องโทษใด?
“อ๊ะ! นั่นมันวิชาย้ายร่าง” ชินอ๋องกับฉินหวังหย่งตะลึงมองการขยับกายอย่างรวดเร็วคล้ายหายตัวได้ของท่านชายจี คนรอบข้างไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินอกจากผู้ที่รู้จักวิชานี้เท่านั้นจึงจะจับผิดได้ “วิชาของตระกูลจีร้ายกาจนัก”
ท่านชายจีที่เผลอใช้วิชาย้ายร่างรู้สึกตกใจที่ตนประมาทเกินไป แสดงวิชาประจำตระกูลบนเวทีประลอง เมื่อได้ชัยชนะจึงหันไปทางบิดาและน้องสาวที่ชม เมื่อเห็นบิดาทำสายตาตำหนิเล็กน้อยจึงหน้าเจื่อนลง
“พี่หลุนประมาทเกินไปแล้ว! เปิดเผยวิชาลับต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ต้องมีผู้สงสัยเป็นแน่” จีลี่อิงกำหมัดเข้า นางลอบสังเกตไปรอบๆ เวทีว่ามีผู้ใดแสดงทีท่ารู้จักวิชาที่พี่ชายนางใช้หรือไม่?
“เปิ่นหวางขอประกาศว่าท่านชายจีหลุนคือผู้ได้รับเลือกให้เป็นครูฝึกของค่ายพยัคฆ์เหิน ผู้ที่เข้ารอบอีกสี่คนไปเป็นผู้ช่วยครูฝึก ส่วนคนที่เหลือทางกองทัพพร้อมจะรับเข้าเป็นทหาร ผู้ใดสนใจให้ไปลงนามได้ที่โต๊ะด้านข้าง” ชินอ๋องลุกขึ้นเอ่ยด้วยเสียงก้องกังวาน ผู้ชมต่างปรบมือโห่ร้องแสดงความยินดีกับผู้ชนะ
ฟ่านหลี่เจี๋ยและจินวั่งซูยืนชมอยู่ในฝูงชนอีกฟากหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นยอดฝีมือมากมายบนเวทีประลอง “ท่านชายจี ข้าเพิ่งได้เห็นฝีมือของเขาจริงๆ ก็คราวนี้”
“เจ้ารู้จักเขาเป็นการส่วนตัวด้วยหรือ?”
“มิได้! ตระกูลนี้มีเรื่องลึกลับมากมายนัก ทำให้ข้าสนใจ”
“อืม....” คุณชายฟ่านนึกถึงเรื่องที่เขาเคยได้ยินขุนนางอาวุโสพาดพิงถึงตระกูลจีอยู่สองสามครั้ง ทว่าสนทนาถึงได้ไม่นานพวกเขาก็กลับเอ่ยได้เพียงว่าเสียดายแล้วพากันเปลี่ยนเรื่องไป
“เจ้าทำเหมือนเจ้ารู้สึกเรื่องพวกเขาด้วย” จินวั่งซูตบพัดงูดำแล้วหันมาทางสหาย สีหน้าเรียบเฉยของฟ่านหลี่เจี๋ยทำให้เขาไม่เคยทายใจบุรุษผู้นี้ได้เลย
“ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงตระกูลนี้อยู่ แล้วเจ้าเล่า? รู้อะไรก็เล่าให้ข้าฟังบ้าง”
“ตระกูลเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่ร่วมก่อร่างสร้างราชวงศ์หมิงมา จึงได้บรรดาศักดิ์ที่สืบทอดกันในสายตระกูลเป็นฝู่กั๋วกง ในรัชกาลก่อนมีเรื่องซุบซิบกันว่า ท่านฝู่กั๋วกงไปทำเรื่องผิดใจกับฮ่องเต้จึงไม่ได้ทำหน้าที่พระราชทานคำแนะนำอีก ท่านฝู่กั๋วกงท่านนั้นมีความแม่นยำเก่งกาจในการตรวจดวงชะตานัก คราหนึ่งเคยทำนายว่า ยุครัชกาลนี้จะมีเภทภัยหนักๆ อาจถึงขั้นราชวงศ์ล่ม ใบที่เขียนคำทำนายนั้นถูกสั่งให้นำไปทำลาย จากนั้นตระกูลจีก็มิได้เข้าเฝ้าในพระราชวังอีกเลย”
คุณชายฟ่านมองสหายด้วยความเลื่อมใส หากสอบถามเรื่องชาวบ้านกับจินวั่งซูย่อมไม่ผิดหวัง สมกับเป็นผู้ชอบยุแยงเสียจริง!
“เช่นนั้นก็เป็นตระกูลที่เสื่อมแล้วน่ะสิ!”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“เหตุใดข้าจึงเคยได้ยินว่าพวกเขามีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ด้วย?” ฟ่านหลี่เจี๋ยนึกถึงเรื่องที่เขาเคยได้ยินโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน
“อ้อ! ต้นตระกูลนี้เป็นผู้ได้รับมอบหมายจากกลุ่มตระกูลที่ก่อตั้งราชวงศ์ให้ถือตรามังกรคู่น่ะสิ!”
**********************