“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเราไม่สามารถห้ามได้ ว่าแต่เย็นนี้มีอะไรกินบ้างล่ะแม่นิ”
“ก็มีน้ำพริกลงเรือที่คุณพ่ออยากกินแล้วต้มจืดฟักเขียว ผัดผักรวมมิตร ไก่ทอดสมุนไพรค่ะ” ชยานิตอบพ่อสามีเพราะท่านเปรยว่าอยากกินน้ำพริกลงเรือเธอจึงทำให้ท่าน
“ดีจังเลย ขอบใจนะแม่นิ”
“งั้นนิไปตั้งโต้ะเลยนะคะ” ชยานิพูดจบก็ลุกออกไปเพื่อจัดโต้ะอาหารเย็นซึ่งในบ้านมีแค่สี่คนคือพ่อสามีและสามี เธอและลูกชาย ที่เหลือก็เป็นบริวารในบ้านที่มีสิบกว่าคนทั้งรปภ.คนสวนแม่บ้านคนทำความสะอาดซักผ้ารีดผ้าเพราะบ้านหลังใหญ่ห้องหับก็เยอะ
“ผมว่าจะส่งตาเสือไปเรียนต่อที่อังกฤษดีมั้ยครับคุณพ่อ” ยุทธเลิศปรึกษาพ่อเขาไม่อยากให้ลูกกับหลานมีปัญหากันหากอยู่ห่างกันก็น่าจะดีกว่า
“ก็ลองถามเจ้าเสือดูสิว่าอยากไปไหม ถ้าลูกไม่อยากไปแกก็ไม่ต้องบังคับหากไม่อยากให้เจ้าเสือกับเจ้าป้อมมีปัญหากันก็แยกโรงเรียนละกัน” บัณทูรตอบลูกชายเขาไม่อยากให้ลูกบังคับหลานเพราะชยางกูรไม่ผิด คนที่ผิดคือลูกชายคนรองคนเล็กและหลานสาวหลานชายของเขาที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าชยางกูรไม่ใช่คนในตระกูลไม่มีเลือดของปัญญาวนิชยา เขาเป็นแค่กาฝากของตระกูลซึ่งเขาก็ห้ามลูกๆแล้วแต่ไม่ใครฟังและชยางกูรก็เป็นเด็กมีเหตุผลไม่คิดเล็กคิดน้อยละเป็นเด็กดีมาตลอดจึงทำให้เขารักหลานชายคนนี้เท่ากับหลานทุกคน
“ครับคุณพ่อ ผมจะลองคุยกับลูกก่อน” ยุทธเลิศก็จะใช้วิธีเหมือนที่พ่อของเขาส่งเขาไปเรียนตั้งแต่จบมอหกทำให้เห็นโลกกว้างเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองและมีเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิตพอกลับมาเขาก็ช่วยงานบริษัทเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน
วันรุ่งขึ้นชยางกูรก็ไปโรงเรียนตามปกติและเวลาสิบนาฬิกาพ่อแม่ของเขาและผู้ปกครองของนักเรียนทั้งหมดที่ก่อเหตุตะลุมบอลกันเมื่อวานก็มาประชุมตามที่อาจารย์ฝ่ายปกครองแจ้งนักเรียนไปมาครบกันทุกคนผู้ปกครองทุกคนก็ยอมรับกฎกติกาของโรงเรียนคือทำทัณฑ์บนไว้หากใครฝ่าฝืนก็จะเชิญออกและให้นักเรียนทุกคนจับมือกันแล้วให้ซ้อมฟุตบอลทีมละวันสลับกันจนกระทั่งถึงวันแข่งก็มีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ไม่ได้มีเรื่องกันเพราะทุกคนก็กลัวถูกไล่ออก ส่วนเรื่องการเรียนนั้นชยางกูรก็มาอันดับหกของรุ่นตามด้วยชเยศ ชาลีและอานนได้เลขตัวเดียวเกรดเฉลี่ยสามจุดแปดไล่กันไป ฝ่ายพิรัชกับเพื่อนก็อยู่อันดับเกือบรั้งท้ายด้วยเกรดเฉลี่ยสองจุดหนึ่ง
“สวัสดีครับคุณปู่ นี่ใบเกรดของผมครับ” ชยางกูรกลับมาถึงบ้านเจอปู่ก็เอาใบเกรดของเขาเทอมสุดท้ายของมอ.ห้าให้ท่านดูเหมือนทุกครั้งที่ปิดเทอมและครั้งนี้เขาจะต้องไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษคนเดียวส่วนชเยศไปออสเตรเลีย ชาลีกลับบ้านที่ฮาวาย ส่วนอานนไปสิงค์โปร
“เก่งนี่เจ้าเสือ แม่นิดูสิเจ้าเสือเกรดดีขึ้นกว่าเทอมที่ผ่านมามากเลย” นายบัณทูรดูเกรดเฉลี่ยของหลานชายแล้วส่งให้ลูกสะใภ้ดู
“เก่งมากลูกแม่ คุณพ่อของลูกต้องดีใจแน่ๆที่ลูกตั้งใจเรียน” ชยานิกอดลูกชายหอมแก้มเบาๆแล้วลูบศีรษะอย่างรักใคร่
“ขอบคุณครับคุณปู่คุณแม่” ชยางกูรยกมือไหว้ปู่กับแม่ผู้มีพระคุณของเขา
“ปู่ให้รางวัลอย่างหนึ่งเลือกมาเลยอยากได้อะไร” บัณทูรบอกหลานชายอย่างใจป้ำ
“ผมขออะไรก็ได้ใช่มั้ยครับคุณปู่”
“ได้สิว่ามาเลยถ้าปู่ให้ได้”
“ถ้าผมขอไปเรียนต่อที่อังกฤษล่ะครับ” ชยางกูรถามปู่แล้วนิ่งรอฟังคำตอบ
“ทำไมถึงอยากไปเรียนที่อังกฤษล่ะ”
“ผมอยากไปเรียนโรงเรียนเดียวกับคุณพ่อและเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับคุณพ่อครับ” เด็กหนุ่มตอบปู่เขาจะเจริญรอยตามพ่อเพื่อให้ปู่และพ่อภูมิใจ
“คิดดีแล้วเหรอที่จะไปเรียนต่างประเทศ มันไกลนะจะไม่ได้เจอพ่อแม่และปู่นานหลายเดือนเลยนะ” นายบัณทูรถามหลานชายเขาอยากรู้เหตุผลว่าทำไมชยางกูรอยากไปเรียนเมืองนอก
“ถ้าผมไปเรียนตอนนี้คุณปู่ยังแข็งแรงคุณพ่อก็ยังทำงานไหวพอผมเรียนจบก็จะได้มาช่วยแบ่งเบางานของคุณพ่อและดูแลคุณปู่คุณแม่ผมจะตั้งใจเรียนเพื่อให้จบเร็วๆครับ” เขาตังใจว่าจะเจริญรอยตามพ่อและเก่งให้ได้ครึ่งของท่านก็ยังดี
“งั้นไปคุยกับพ่อแม่ก่อนได้คำตอบยังไงก็มาบอกปู่”
“ขอบคุณครับคุณปู่ ผมรักคุณปู่ครับ” ชยางกูรกราบเท้าปู่และบีบนวดขาให้ท่านอย่างเอาใจทำให้คนสูงวัยยิ้ม
“ดูลูกชายเธอนะแม่นิ มันอ้อนก็เป็นด้วย” นายบัณทูรพูดกับลูกสะใภ้ยิ้มๆ
“งั้นนิดูในครัวก่อนนะคะ จะได้ทำอาหารเพิ่มฉลองให้ตาเสือได้เกรดสามจุดแปดแปดค่ะ” ชยานิพูดแล้วยิ้มก่อนจะเดินไปห้องครัวหลังบ้านเพื่อเตรียมอาหารเย็นเพิ่มฉลองให้ลูกชาย
เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
รณรัตและเมทัสก็มาหาพ่อที่บ้านหลังจากรู้ว่าท่านจะส่งหลานชายนอกไส้ไปเรียนต่อเมืองนอกพวกเขาจึงมาเรียกร้องสิทธิ์ให้ลูกๆของตัวเองได้ไปเรียนเมืองนอกบ้าง
“แกถามลูกแล้วเหรอว่าอยากไปเรียนต่อเมืองนอก” บัณทูรถามลูกชายทั้งสองที่มาหาท่านช้ากว่าที่คิด
“ถามแล้วครับคุณพ่อ ตาป้อมจะไปเรียนที่แอลเอครับ”
“ยัยเมลี่ขอไปเรียนที่สวิตฯครับ” ตอนแรกลูกสาวของเขาจะไปเรียนที่อังกฤษแต่ไม่อยากเรียนที่เดียวกับชยางกูรจึงเปลี่ยนใจไปเรียนที่สวิตฯ
“งั้นไปทำเรื่องให้เรียบร้อยว่าใครจะไปเรียนที่ไหน พ่อสนับสนุนการศึกษาหลานทุกคน” นายบัณทูรบอกลูกชายทั้งสองหากเป็นเรื่องเรียนเขาสนับสนุนลูกหลานทุกคน
“ครับคุณพ่อ ส่วนเรื่องที่พักของยัยเมลี่คุณพ่อซื้อบ้านให้หลานด้วยนะครับผมไม่ไว้ใจให้พักอาพาร์ทเมนท์หรือบ้านเช่าจะได้ให้คนไปดูแลด้วย” เมทัสบอกพ่อเพราะลูกสาวของเขายังเล็กอยู่
“ยัยเมลี่ยังเด็กทำไมไม่ให้เรียนโรงเรียนประจำล่ะ จะไปอยู่บ้านคนเดียวทำไม”
“ช่วงแรกจะให้แม่เขาไปอยู่ด้วยและจ้างแม่บ้านก็คงจะให้น้องสาวของแม่เขาไปอยู่ช่วยดูแลครับ” เมทัสตอบพ่อเพราะบ้านหลังหนึ่งก็สิบกว่าล้านยังไงลูกของเขาต้องได้มากกว่าชยางกูร
“ตาป้อมก็อยากได้คอนโดหรือเพนท์เฮ้าส์ครับ ถ้าเช่าเขาอยู่ราคาก็แพงพอกับซื้อสู้เราซื้อเองดีกว่าครับ” รณรัตก็ไม่ยอมแพ้หากหลานสาวได้บ้านลูกชายของเขาก็ต้องได้คอนโดหรือแพนท์เฮ้าส์
“มีอะไรอีกมั้ย”
“ไม่มีครับคุณพ่อ”
“แกล่ะเจ้ารัต”
“ไม่มีครับ”
“พวกแกไปดูมาว่าเด็กๆเรียนที่ไหนพ่อจะให้คนจัดการให้อย่างเท่าเทียมกัน” นายบัณทูรบอกลูกชายทั้งสอง
“คุณพ่อหมายความว่ายังไงครับ”
“นี่คุณพ่อจะซื้อให้ไอ้เสือนั่นด้วยเหรอครับ” เมทัสถามพ่อด้วยความไม่พอใจ
“ใช่,พวกแกมีปัญหาหรือไง เจ้าเสือก็เป็นหลานพ่อคนหนึ่งในเมื่อยัยเมลี่กับเจ้าป้อมได้เจ้าเสือก็ต้องได้เหมือนกันสิ พ่อไม่ลำเอียงหรอก”
“แต่ว่าไอ้กาฝาก..”
“เจ้ารัต จะต้องให้พ่อพูดกี่ครั้งพวกแกถึงจะเข้าใจ ถ้าเรื่องมากก็ไม่ต้องเอาพวกแกก็ส่งลูกไปเรียนกันเอง” นายบัณทูรพูดกับลูกชายทั้งสอง
“ก็ได้ครับ” รณรัตจำใจยอมรับทั้งที่ในใจโกรธพี่ชายพี่สะใภ้และชยางกูรที่เข้ามาทำลายความฝันของพวกเขาเพราะมรดกของพี่ชายมีเป้นหมื่นล้านหากเกิดอะไรขึ้นก็จะตกเป็นของชยางกูรแทนที่จะเป็นของทายาทสายเลือดของ ปัญญาวนิชยา จริงๆมากกว่าจะเป็นของกาฝากอย่างชยางกูร
“งั้นไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วมาบอกพ่อ”
“ครับ/ครับคุณพ่อ” เมื่อคุยกับพ่อเสร็จทั้งสองก็ขอตัวกลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ปัญญวนิชยา ที่นายบัณทูรซื้อให้ลูกชายทั้งสองตอนแต่งงานซึ่งราคาไม่ใช่น้อยรวมตกแต่งแล้วก็เกือบห้าร้อยล้านและเป็นหมู่บ้านคนมีเงินระดับเศรษฐีทั้งนั้น
“ผมละเกลียดไอ้กาฝากนั่นจริงเลยพี่รัต”
“พี่ก็เกลียดมัน คุณพ่อเป็นคนใจดีอยู่ด้วยไม่รู้ว่าแอบให้อะไรมันหรือเปล่า”
“ไม่ได้ให้หรอกครับ ผมแอบถามทนายแล้วว่าตอนนี้คุณพ่อยังไม่ได้ทำอะไรพินัยกรรมยังเป็นฉบับเก่าที่พวกเรารู้แต่พี่ยุทธกับพี่นิทำพินัยกรรมยกให้ไอ้กาฝากนั่นหมดเลย ผมล่ะอยากให้มันตายๆไปซะได้ก็ดี” เมทัสพูดด้วยความโกรธที่ชยางกูรได้สิทธิ์เหมือนลูกสาวของเขาทุกอย่างในฐานะหลานชายพ่อของเขา
“แกอย่าพูดไปนะทัส หากมีเหตุการ์เกิดขึ้นกับไอ้กาฝากนั่นจริงๆเราจะพากันซวยนะ ถึงอยากให้มันตายก็เก็บไว้ในใจ” รณรัตบอกน้องชายที่พูดไม่คิดหากใครมาได้ยินเข้าแล้วไปบอกพี่ชายหรือพ่อของเขาก็จะมีปัญหากันอีก
“ไม่มีใครได้ยินหรอกน่าพี่รัต ผมไปนะ” เมทัสมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครจึงเดินไปที่รถแล้วขับออกไปก่อนพี่ชาย
ชยานิมองตามหลังน้องชายของสามีทั้งสองขับรถออกไปจนลับประตูคฤหาสน์แล้วเดินออกมาจากมุมเสาที่มีซุ้มเถาวัลย์ปกคลุมหนาแน่นเป็นแนวยาวตามทางเดินข้างบ้านไปสระว่ายน้ำหลังบ้านเธอไม่ได้ตั้งใจแอบฟังเธอไปตัดดอกไม้มาใส่แจกันในห้องพระและแต่บังเอิญได้ยินจึงหยุดฟังก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านและคิดว่าจะต้องคุยให้สามีฟังและตอนนี้ลูกชายของเธอไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษและพักบ้านของคาลวินเพื่อนของสามีและอีกสองอาทิตย์จะกลับมาทำเรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษซึ่งเพื่อนของสามีช่วยติดต่อและพาไปสอบสัมภาษณ์และทุกอย่างก็ผ่านฉลุยสามารถเริ่มเรียนเยียร์สิบสามเทียบเท่ามอหกซึ่งอยู่วัยเดียวกับเจ็ทลูกชายคนเล็กของคาลวิล
เวลาสองทุ่มกว่าสองสามภรรยารับประทานอาหารอิ่มแล้วก็กลับห้องเพื่ออาบน้ำพักผ่อนหลังจากยุทธเลิศเหนื่อยล้าจากงานทั้งวัน ส่วนนายบัญทูรก็ไปตีกอล์ฟพบปะเพื่อนฝูงเพราะเขายังแข็งแรงอยู่ถึงจะให้ลูกชายบริหารงานต่อแต่เขาก็ยังหูตากว้างไกลยังเล่นหุ้นกับก้วนเพื่อนวัยเดียวกัน
“มีอะไรหรือคุณนิ” ยุทธเลิศถามภรรยาที่นั่งถอนหายใจและมองเขา
“มีค่ะ นิไม่รู้ว่าน้องชายของคุณยุทธจะไม่ชอบลูกชายของนิถึงขนาดอยากให้ตาเสือตาย” ชยานิพูดกับสามีด้วยความไม่พอใจน้องชายของสามีทั้งสอง
“คุณเอาอะไรมาพูดน่ะ”
“เรื่องจริงค่ะ นิได้ยินมากับหูว่าคุณรัตกับคุณทัสบอกว่าอยากให้ตาเสือตาย”
“ได้ยินจากไหนคุณนิ”
“เมื่อเช้าคุณรัตกับคุณทัสมาหาคุณพ่อไม่รู้ว่าคุยอะไรกันพอขากลับพวกเขาคุยกันแล้วนิไปเก็บดอกไม้มาปักแจกันได้ยินพอดีทำไมพวกเขาใจร้ายอย่างนี้คะ ตาเสือก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเลย” ชยานิพูดด้วยความเป็นห่วงลูกชาย
“สองคนนั่นอาจจะพูดด้วยความโกรธ คุณนิอย่าคิดมากเลยผมไม่ให้ใครทำอะไรลูกของเราหรอกครับ เดี๋ยวตาเสือก็จะไปเรียนที่อังกฤษแล้วไม่มีอะไรหรอกครับ” ยุทธเลิศบอกภรรยาแต่ในใจเขาคิดว่าเป็นเรื่องจริงที่น้องชายอยากให้ลูกชายของเขาตายเพราะน้องชายทั้งสองเคยพูดตั้งแต่เขารับชยางกูรมาเป็นลูกบุญธรรมเพราะน้องชายทั้งสองคิดว่าเขาไม่มีลูกและสมบัติทั้งหมดของเขากับภรรยาจะตกเป็นของหลานๆจึงผิดหวังและไม่ชอบชยางกูร
“นิพูดตรงๆนะคะคุณยุทธ นิเป็นห่วงลูกค่ะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับตาเสือนิจะคิดว่าเป็นฝีมือน้องชายของคุณยุทธนะคะ”
“คุณนิ”
“ลูกใครใครก็รักค่ะ”
“ผมรู้ครับ คุณอย่าคิดมากเลยหากตาเสือไปอยู่ที่โน่นผมจะให้คาลวินช่วยดูแลคุณไม่ต้องห่วงนะ” ยุทธเลิศปลอบภรรยาที่ไม่สบายใจหลังจากได้ยินน้องชายของเขาคุยกัน
“นิจะพยายามค่ะ” ชยานิตอบสามีเบาๆเพราะมีเรื่องเดียวที่ทุกคนอิจฉาชยางกูรเพราะเด็กนุ่มเป็นทายาทของเธอกับสามีและได้อยู่ในคฤหาสน์ปัญญาวนิชยา
“งั้นพักผ่อนนะครับ ผมเคลียร์งานไว้แล้วเราจะไปส่งตาเสือที่อังกฤษด้วยกัน” เขาเคลียร์งานไว้เพื่อจะไปส่งลูกชายที่อังกฤษและพาภรรยาไปเที่ยวด้วย
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ นิอยากไปเที่ยวที่ไหนคิดไว้เลยครับ” ปีนี้เขายังไม่มีเวลาพาภรรยาไปเที่ยวต่างประเทศแต่ภรรยาก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนเขาก็ไปทำงานที่สิงค์โปร จีน ฮ่องกง มาเก๊าระยะสั้นสองสามวันจึงไม่ได้พาภรรยาไปด้วยถ้าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยว
“งั้นตาเสือกลับมานิจะพาไปไหว้พ่อแม่เพื่อขอพรก่อนจะไปเรียนต่อนะคะ” ชยานิไม่เคยลืมทำบุญให้สองสามีภรรยาผู้เคราะห์ร้ายที่จากโลกนี้แก่อนที่จะได้ชื่นชมลูกชายของพวกเขาและพาชยางกูรไปไหว้พ่อแม่แท้ๆทุกปี
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนหลังจากที่ชยางกูรไปเรียนซัมเมอร์และกลับมาเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษวันนี้สองสามีภรรยาก็เดินทางไปส่งลูกชายถึงประเทศอังกฤษหลังจากที่จัดกราเรื่องเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย
"ตั้งใจเรียนนะปู่จะรอดูความสำเร็จของแกนะเจ้าเสือ" นายบัณทูรลูบศีรษะหลานชายเบารู้สึกใจหายเหมือนกันเพราะครั้งนี้ไปเรียนนานไม่ใช่ไปซัมเมอร์เหมือนทุกครั้งก่อนจะสวมสร้อยทองห้อยพระเกจิอารย์ชื่อดังที่มีพุทธิคุณสูงส่งราคาหลักล้านให้คุ้มครองหลานชาย
“ครับคุณปู่ ผมจะเอาความสำเร็จมาฝากคุณปู่ครับ” ชยางกูรให้คำมั่นสัญญากับปู่อย่างหนักแน่นก้มกราบเท้าปู่
“ไปได้แล้วเจ้ายุทธเดี๋ยวจะพากันตกเครื่อง เดินทางปลอดภัยนะ”
“ครับคุณพ่อ ไปเถอะคุณนิ ตาเสือ” ยุทธเลิศยกมือไหว้พ่อแล้วเดินออกจากห้องพักผ่อนส่วนตัวของพ่อไปขึ้นรถ
“ป้าคงคิดถึงคุณเสือมากเลยค่ะ” นางจำลองแม่บ้านมาส่งคุณหนูที่เธอดูแลมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ
“พี่ด้วยคะ คุณเสือตั้งใจเรียนนะคะจะได้กลับบ้านเราไวๆ” สมรักษ์พี่เลี้ยงของชยางกูรเป็นลูกสาวของจำลองกับนายพุดคนขับรถของนายบัณทูรและคนสวนแม่ครัว คนทำงานบ้านอีกสามสี่คนพากันมาส่งเจ้านายน้อย
“ขอบคุณครับป้าจำลอง พี่สม และทุกคนด้วยนะครับ ฝากดูแลคุณปู่คุณพ่อคุณแม่แทนผมด้วยนะครับ อีกไม่นานเราก็จะได้เจอกันครับผมไปนะครับ สวัสดีครับ” ชยางกูรยกมือไหว้ขอบคุณทุกคนที่มาส่งเขา
“ฝากดูแลคุณพ่อด้วยนะพี่จำลอง”
“ค่ะคุณนิ”
รถตู้คันใหญ่แล่นออกไปจากคฤหาสน์ ปัญญาวนิชยาไปสนามบินเพื่อไปส่งเจ้านายทั้งสามเดินทางไปต่างประเทศซึ่งครั้งนี้ชยางกูรตั้งใจจะเรียนให้จบเร็วๆเพื่อจะได้มาช่วยงานพ่อตามที่ได้ตั้งใจไว้ส่วนเพื่อนทั้งสามก็จะไปเรียนที่อังกฤษเหมือนกันแต่จะไปเทอมหน้าเพราะต้องเตรียมเอกสารและยุทธเลิศบอกว่าจะให้เพื่อนช่วยติดต่อให้และให้พ่อแม่ของเพื่อนลูกชายที่รู้จักกันดีจัดการเรื่องเอกสารที่เมืองไทย
เวลาผ่านไป9ปี
ชยางกูรกับเพื่อนๆเรียนที่อังกฤษพวกเขาเรียนจบปริญญาเอกพร้อมกับเพื่อนทั้งสี่คนเพราะพวกเขาตั้งใจเรียนพอๆกับตั้งใจเที่ยวและไม่เคยเสียการเรียนแล้วยังทำงานที่บริษัทของ คาลวิล คลอสโต้ เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังและเจ้าของคอกม้าและสนามแข่งม้าที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษมีโรงเรียนสอนขี่ม้า เพาะพันธุ์ม้าพันธุ์ดีขาย เลี้ยงม้าแข่ง และมีทีมนักแข่งม้าซึ่งสี่หนุ่มก็เรียนขี่ม้าจนช่ำชองและยังลงแข่งขันมือสมัครเล่นกันด้วย
“แกจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่วะไทเกอร์” เจ็ทถามเพื่อนที่ยืนเหม่อมองสนามม้าที่เพื่อนทั้งสามขี่ม้าอยู่ในสนามเพราะชยางกูรบอกว่าหลังจากที่เรียนจบโทแล้วจะขอทำงานหาประสบการณ์สองปีก่อนกลับกลับเมืองไทยแต่จริงๆแล้วเขาทำงานและเรียนต่อปริญญาเอกไปด้วยและตอนนี้ก็จบแล้ว
“ตอนนี้คุณปู่ไม่ค่อยสบายฉันอยากกลับไปช่วยงานคุณพ่อและดูแลคุณปู่คุณแม่น่ะ” จากเด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงผิวออกสีแทนตอนนี้เป็นหนุ่มหล่อคมเข้มบึกบึนกล้ามแน่นขวัญใจสาวๆในมหาลัยและฟาร์มม้าตั้งแต่มาเรียนที่อังกฤษเก้าปีก็กลับเมืองไทยในวันเกิดของปู่ทุกปีแต่ช่วงสามปีหลังเรียหนักและทำงานไปด้วยเขาจึงไม่ได้กลับแต่ส่งของขวัญไปให้ปู่และโทรหาท่านบ่อยๆส่วนพ่อแม่ก็มากาเขาทุกปีและตอนนี้ท่านก็ไม่ค่อยสบายเขาก็อยากกลับไปดูแลท่านเพื่อตอบแทนความเมตตาที่ท่านมอบให้เขามาตั้งแต่เด็ก
“ถ้าพวกแกกลับฉันคงเหงามากว่ะ” เจ็ทพูดกับเพื่อนเขาชินที่มีเพื่อนทั้งสี่คนอยู่ด้วยกันไปไหนไปกันกินอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขากลางกรุงลอดดอนจึงสนิทกันเป็นเหมือนพี่น้องกัน
“แกจะมาเหงาอะไรล่ะสาวๆล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้น” ชยากูรว่าเพื่อนที่เนื้อหอมในหมู่สาวสังคมชั้นสูงเพราะฐานะชื่อเสียงเวลามีงานแข่งขันโปโลคลับก็ได้เข้าร่วมทีมกับชนชั้นสูงจึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ
“ไม่เป็นไร ฉันไปเที่ยวหาพวกแกที่เมืองไทยก็ได้” เจ็ทเข้าใจเพื่อนเพราะชยางกูรไม่เคยปกปิดเรื่องที่เขาเป็นลูกบุญธรรมของยุทธเลิศกับชยานิ
“ขอบใจแกมากนะเจ็ท ตลอดเวลาที่อยูที่นี่แกกับแด๊ดและมัมช่วยเหลือฉันเยอะแยะมากมายฉันจะไม่ลืมบุญคุณเลย”
“อย่าพูดอย่างนี้สิวะไทเกอร์ แกน่ะเป็นลูกรักแด๊ดนะเสียดายที่แกไม่ชอบมอลลี่ไม่งั้นสมใจแด๊ดกับมัมแน่” เจ็ทแซวเพื่อนเพราะพี่สาวของเขาชอบชยากูรแต่เพื่อนไม่ได้ชอบแบบชู้สาวถึงฮอลลี่จะแก่กว่าสองปีนั่นไม่ใช่ปัญหาแต่ชยางกูรไม่ชอบสาวสังคมอย่างฮอลลี่
“แกก็รู้ว่าฮอลลี่แค่อยากเอาชนะฉันเท่านั้นเองไม่ได้รักได้ชอบฉันจริง” เขาคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ยอมฮอลลี่จึงทำให้สาวสังคมอย่างฮอลลี่อยากเอาชนะ
“คุยอะไรกันอยู่วะเสือ เจ็ท วันนี้ไม่ขี่ม้าเหรอ” ชาลีถามเพื่อทั้งสองที่ยืนคุยรอพวกเขาขี่ม้าปกติก็จะขี่ด้วยกันตลอด
“เชิญพวกแกตามสบายเถอะ เดี๋ยวฉันไปดื่มกาแฟรอ” ชยางกูรตอบเพื่อนแล้วชาลีก็ขี่ม้ากลับไปหาเพื่อนทั้งสองเพื่อนำม้าไปส่งที่คอกแล้วไปดื่มกาแฟกับเพื่อนเพราะพวกเขารอรับปริญญาเสร็จก็จะกลับเมืองไทย
วันนี้ที่คลับหรูกลางกรุงลอนดอนหนุ่มหล่อทั้งห้าคนก็มานั่งดื่มส่งท้ายส่งท้ายก่อนจะกลับเมืองไทยในวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย หลังจากรับปริญญาเอกเสร็จเมื่อสองวันก่อนและพวกเขาไม่ได้แจ้งพ่อแม่จึงไม่มีใครรู้ว่าหนุ่มหล่อกลุ่มนี้ดีกรีด็อดเตอร์ทุกคน หากนับเวาลที่พวกเขามาเรียนต่อกันที่อังกฤษก็เข้าปีที่เก้าจากอายุสิบเจ็ดปีตอนนี้ก็ย่างเข้ายี่สิบหกปี
“เมาแล้วเหรอวะเรย์” ชเยศถามเพื่อนที่ทิ้งตัวพิงพนักโซฟา
“เปล่าแค่คิดว่ากลับเมืองไทยแล้วต้องทำงานแล้วคิดไม่ออกว่าจะทำได้หรือเปล่า” อานนตอบเพื่อนเขาเลือกเรียนบริหารเพราะไม่อยากเรียนหมอเหมือนพ่อกับพี่ชายเขาคิดว่าช่วยงานด้านบริหารดีกว่าพ่อกับพี่ชายจะได้ทำงานกันเต็มที่
“แกจะเที่ยวผลาญเงินพ่อแม่อีกหรือไงวะไอ้เรย์ จะกลัวอะไรกับการทำงานบริหารนั่งโต้ะสบายๆไม่ต้องมาเก็บขี้ม้าอาบน้ำม้าไม่ดีหรือไงวะ” ชเยศว่าเพื่อนพวกเขาเรียนต่อปริญญาเอกตั้งแต่อายุยี่สิบสามปีหลังจากจบปริญญาโทและเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
“ใครจะเหมือนไอ้เสือล่ะวะ รีบเรียนจนกูตามเกือบไม่ทันถ้าไม่คิดว่ามันจะกลับไปช่วยคุณลุงทำงานกูว่ามันกลัวแฟนมันมีกิ๊กแน่เลยว่ะ” อานนว่าเพื่อนที่นั่งดื่มอยู่เงียบๆที่ขยันเรียนจนเขากับเพื่อนต้องรีบเรียนตามจนจบปริญญาเอกพร้อมกันและคิดว่าถ้าพ่อแม่รู้ท่านคงจะดีใจ
“อ้าวไอ้เรย์มาแขวะกูจนได้นะมึง” ชยางกูรตอบกลับเพื่อนก็เขาไม่ได้เกินดมามีพ่อแม่เพียบพร้อมเหมือนเพื่อนๆและเขาอยากจะตอบแทนปู่กับพ่อแม่ผู้มีพระคุณทั้งสามคนที่ให้ชีวิตเขาแม้ญาติพี่น้องของพ่อจะไม่ชอบเขาแต่เขาเชื่อฟังปู่และพ่อแม่มากกว่าถ้าพวกท่านบอกให้เขาไปตายเขาก็จะทำแต่เขาจะปกป้องพวกท่านด้วยชีวิต