บทที่ 1

2204 Words
รุ่งอรุณของวันใหม่มิได้นำพาความสดใสมาสู่เรือนตระกูลเซียวที่แสนอ้างว้างนัก แสงเงินยวงของอรุณรุ่งสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างที่ผุกร่อน เผยให้เห็นฝุ่นผงที่จับเกาะบนเครื่องเรือนเก่าคร่ำราวกับภาพสะท้อนของความร่วงโรย เสียงจิ้งหรีดที่เคยส่งเสียงกรีดร้องเมื่อยามราตรี บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่หนักอึ้งดุจหินผา เซียวหลัน ลืมตาตื่นขึ้นมาบนฟูกเก่าคร่ำที่ปูอยู่บนพื้นไม้ ภายในห้องนอนเล็กๆ ที่เคยเป็นของ ‘เซียวเหลียน’ ร่างกายของนางยังคงเจ็บปวดรวดร้าวจากพิษบาดแผลภายนอกที่ถูกทำร้ายเมื่อคืนวาน ทว่าภายในกลับมีพลังงานประหลาดไหลเวียนอยู่ ความทรงจำอันท่วมท้นจากโลกที่ต่างออกไปราวฟ้ากับเหว หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสำนึกอย่างไม่ขาดสาย “นี่ไม่ใช่ความฝัน...” นางพึมพำกับตัวเอง เสียงแหบพร่า แต่แววตาคมกริบประหนึ่งพยัคฆ์แรกตื่นจับจ้องไปยังเพดานห้องที่เต็มไปด้วยรอยร้าว นางรับรู้ว่านี่คือชีวิตใหม่ในร่างของเด็กสาวอายุสิบสี่นามว่าเซียวเหลียน ผู้เป็นบุตรสาวคนเล็กของตระกูลเซียวที่เพิ่งถูกกวาดล้างไปเมื่อคืนก่อน เมื่อคืนวาน... ภาพเพลิงที่โหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องอันโหยหวนยังคงติดตา ไม่สิ... นั่นคือความทรงจำของร่างเดิม แต่เซียวหลันผู้มาจากโลกศตวรรษที่ 21 ก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ประหนึ่งเป็นของตนเอง วิญญาณทั้งสองหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ กลายเป็น ‘เธอ’ ในตอนนี้ นางค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้น แม้จะรู้สึกเจ็บปวดแต่ก็ยังเดินได้ ร่างกายนี้บอบช้ำนัก หากเป็นคนปกติคงไข้ขึ้นหนักและอาจถึงแก่ชีวิต แต่โชคดีที่วิญญาณของเซียวหลันผู้เป็นถึงศัลยแพทย์ฝีมือดีจากโลกอนาคตได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้ พลังพิเศษบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของวิญญาณ ทำให้ร่างกายนี้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าปกติ “คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ!” เสียงอุทานด้วยความดีใจดังขึ้นจากประตูห้อง บ่าวรับใช้สองคน คือ เสี่ยวชุน เด็กสาววัยสิบสองผู้ซื่อสัตย์ และ อาหลง ชายชราผู้จงรักภักดี ผู้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากตระกูลเซียวที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเข้ามาประคองนางด้วยแววตาเป็นห่วงปนโล่งอก “ข้าไม่เป็นไร” เซียวหลันตอบเสียงแผ่ว แต่ความเด็ดเดี่ยวในดวงตาทำให้อาหลงและเสี่ยวชุนประหลาดใจนัก คุณหนูเล็กผู้เคยบอบบางและหวาดกลัว กลับดูเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน “คุณหนู... นายท่านกับฮูหยิน...” เสี่ยวชุนเริ่มสะอื้น อาหลงเองก็ก้มหน้า น้ำตาหยดลงบนพื้นไม้ เซียวหลันถอนหายใจช้าๆ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียยังคงมีอยู่ แต่ปัญญาและความเยือกเย็นจากอีกภพหนึ่งสอนให้นางรู้จักควบคุมอารมณ์ นางตระหนักดีว่าการร่ำไห้คร่ำครวญไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้ศัตรูเย้ยหยันและครอบครัวที่ล่วงลับไปอย่างไม่เป็นธรรมต้องนอนตายตาไม่หลับ “ความตายมิใช่จุดจบของทุกสิ่ง” นางกล่าวเสียงเรียบ “หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่ง" อาหลงและเสี่ยวชุนเงยหน้ามองนางด้วยความงุนงง “เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้” เซียวหลันกล่าวต่อ “ตระกูลเซียวถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ผู้คนยังคงหวาดกลัวและรังเกียจ หากเราอยู่ตรงนี้ ก็เท่ากับรอความตาย” “แล้วเราจะไปที่ใดกันเจ้าคะคุณหนู” เสี่ยวชุนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เราจะไปที่... เมืองชายแดน” เซียวหลันตอบ แววตาฉายประกายแห่งความมุ่งมั่น “ที่นั่นผู้คนหลากหลายกว่า ไม่ยึดติดกับชนชั้นเท่าในเมืองหลวง เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น” การตัดสินใจของนางเด็ดเดี่ยวนัก แม้อาหลงจะกังวล แต่เมื่อเห็นประกายความมุ่งมั่นในดวงตาของคุณหนู เขาก็เลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวนาง การเดินทางจากเมืองหลวงสู่เมืองชายแดนหลี่เฉิงใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม พวกเขาเดินทางอย่างระมัดระวัง พลางอำพรางตัวไม่ให้ผู้ใดจำได้ เซียวหลันใช้ความรู้ทางการแพทย์จากภพเดิมในการรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อยระหว่างทาง รวมถึงความรู้ด้านการเอาชีวิตรอดที่ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านป่าเขาได้อย่างปลอดภัย เมื่อมาถึงเมืองหลี่เฉิง เมืองชายแดนที่คึกคักแต่ไม่แออัดเท่าเมืองหลวง ผู้คนดูเปิดกว้างและไม่สนใจฐานะที่มาของผู้อื่นมากนัก เซียวหลันสัมผัสได้ถึงอิสระที่นี่ “แล้วอยู่ที่นี่... เราจะทำมาหากินอะไรกันเจ้าคะคุณหนู” เสี่ยวชุนถามเมื่อพวกเขาหาเรือนเล็กๆ เก่าๆ พอซุกหัวนอนได้หนึ่งหลัง เซียวหลันมองไปยังซากปรักหักพังของเรือนไม้ที่แม้จะดูโทรม แต่ก็พอจะปรับปรุงให้เป็นที่อยู่อาศัยได้ แล้วสายตาของนางก็ไปสะดุดกับป้ายร้านค้าไม้เก่าๆ ที่อยู่ด้านหน้าเรือน สายตาของนางจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยพูดออกมา “เราจะเปิดหอโอสถ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น อาหลงกับเสี่ยวชุนถึงกับอ้าปากค้าง คุณหนูจะเปิดหอโอสถ? คุณหนูที่ไม่เคยย่างกรายเข้าครัว ไม่เคยจับเข็ม ไม่เคยแตะต้องสมุนไพรน่ะหรือ? “คุณหนูจะ... รักษากับเขาได้หรือเจ้าคะ” อาหลงถามด้วยความกังวลใจ เซียวเหลียนคนเดิมนั้นบอบบางยิ่งกว่ากิ่งหลิว จะไปรู้เรื่องการแพทย์ได้อย่างไร เซียวหลันเพียงยิ้มเล็กน้อย “ท่านอาหลง ท่านเชื่อข้าหรือไม่” อาหลงมองแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของคุณหนูเล็ก เขาเคยสาบานว่าจะภักดีต่อตระกูลเซียวตราบชีวิตจะหาไม่ และเขาก็เชื่อมั่นในสายเลือดของตระกูลนี้เสมอมา “เชื่อขอรับคุณหนู” “ดี” นางกล่าว “เราจะเริ่มต้นใหม่จากตรงนี้” การเปิดหอโอสถเล็กๆ ในเมืองที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่เรื่องง่าย เซียวหลันเริ่มจากการไปสำรวจร้านขายสมุนไพรในตลาด นางใช้ความรู้ที่ได้รับมาจากการรวมวิญญาณ เลือกสรรสมุนไพรคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม ความรู้ที่เหนือล้ำทำให้เจ้าของร้านสมุนไพรหลายคนถึงกับอึ้งในความเชี่ยวชาญของเด็กสาวผู้นี้ “เด็กน้อย เจ้ามาจากสำนักแพทย์ใด เหตุใดจึงมีความรู้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้” เถ้าแก่ร้านสมุนไพรเก่าแก่ถามด้วยความสงสัยระคนชื่นชม “ข้ามิได้มาจากสำนักใดเจ้าค่ะ เพียงแต่ศึกษาด้วยตนเอง” เซียวหลันตอบเลี่ยงๆ นางไม่สามารถเปิดเผยที่มาของความรู้ที่แท้จริงได้ ด้วยเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจากการเดินทาง เซียวหลันและอาหลงรวมถึงเสี่ยวชุนลงมือทำความสะอาดและตกแต่งหอโอสถด้วยตนเองอย่างเรียบง่าย ป้ายไม้เก่าๆ ถูกเช็ดถูจนสะอาดตา แล้วนางก็ใช้พู่กันเขียนชื่อ “หอโอสถเซียว” ตัวอักษรเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความหมายอันลึกซึ้ง “หอโอสถเซียว...” อาหลงพึมพำ “เหมือนกับนามตระกูล...” เซียวหลันยิ้ม “เพื่อมิให้ผู้คนลืมว่าตระกูลเซียวเคยมีอยู่” วันแรกที่เปิดหอโอสถ ผู้คนยังคงไม่มั่นใจนัก จะมีใครกล้าให้เด็กสาวบอบบางอายุเพียงสิบสี่หนาวมารักษาโรคได้อย่างไร มีเพียงชาวบ้านไม่กี่คนที่เดินผ่านไปมาและมองอย่างสงสัย จนกระทั่งบ่ายคล้อย... ชายชราคนหนึ่งใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม ผิวหนังซีดเหลือง ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า เขาเดินกะ เผลกๆ เข้ามาในหอโอสถ เสียงไอโขลกๆ ดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ไม้ “ช่วย... ช่วยข้าด้วย” ชายชรากล่าวเสียงแผ่ว “ข้าป่วยมานานนัก หาท่านหมอมาหลายคนแล้ว แต่ไม่มีใครรักษาได้เลย” เซียวหลันเดินเข้าไปตรวจอาการนางจับชีพจรอย่างชำนาญ ก่อนจะตรวจสอบตาและดูลิ้นอย่างละเอียด ใบหน้าของนางนิ่งเฉย ยากจะคาดเดาความรู้สึก “ท่านผู้นี้ป่วยด้วยโรคไข้ป่าเรื้อรัง พิษไข้ได้ทำลายอวัยวะภายในจนอ่อนแอ” เซียวหลันกล่าวอย่างมั่นใจ “แต่ยังพอรักษาได้” ชายชราและเสี่ยวชุนต่างตกตะลึงกับคำวินิจฉัยที่แม่นยำ นางพูดราวกับว่าเห็นโรคภัยไข้เจ็บของเขาด้วยตาเปล่า ไม่ใช่แค่การจับชีพจร เซียวหลันเขียนตำรับยา นางสั่งสมุนไพรให้เสี่ยวชุนไปจัดเตรียม และปรุงยาด้วยตนเองด้วยความชำนาญทุกขั้นตอน ราวกับทำมานับพันครั้ง การต้มยา กรองยา ล้วนทำได้อย่างประณีตและแม่นยำ หลังจากที่ชายชราดื่มยาถ้วยแรกไป อาการไอก็ลดลง สีหน้าเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย ความหวังเริ่มก่อตัวในใจเขา “ข้าจะมาอีกในวันพรุ่งนี้” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีเรี่ยวแรงขึ้น “อีกสามวันท่านจะดีขึ้น และอีกเจ็ดวันท่านจะหายขาด” เซียวหลันกล่าวอย่างมั่นใจ “แต่ต้องมารับยาตรงตามกำหนด” ชายชราพยักหน้ารับก่อนจากไปพร้อมกับความหวังที่เปี่ยมล้นในใจ ข่าวคราวของ “หมอเทวดา” แห่งหอโอสถเซียวเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลี่เฉิงอย่างรวดเร็ว จากปากต่อปากของผู้ป่วยที่หายขาดด้วยฝีมือของเซียวหลัน ไม่นานนัก หอโอสถเล็กๆ แห่งนี้ก็เริ่มมีผู้คนมาเข้าคิวรอรับการรักษาตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชื่อเสียงของนางขจรขจายไปไกลเกินกว่าเมืองชายแดนเล็กๆ แห่งนี้ ในวันหนึ่ง... เมื่อเซียวหลันกำลังง่วนอยู่กับการตรวจรักษาคนไข้ จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนในชุดคลุมสีดำเข้มปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีฝีมือวรยุทธ์สูงส่ง ใบหน้าปิดบังไว้ด้วยผ้าดำ เพียงดวงตาที่ฉายแววดุดันก็ทำให้ผู้คนรอบข้างหวาดกลัวและถอยหนี “หมอเทวดาผู้นี้ใช่หรือไม่” ชายในชุดดำคนหนึ่งกล่าวเสียงห้าว ดวงตาจับจ้องไปยังเซียวหลัน เซียวหลันเงยหน้ามองพวกเขา นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจากคนกลุ่มนี้ แต่แววตาของนางยังคงนิ่งสงบ “พวกเจ้าต้องการอะไร” นางถาม “เรามาเพื่อตามหาคน” ชายชุดดำตอบ พลางกวาดสายตาไปรอบๆ หอโอสถ “มีชายคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อคืนวานนี้ ได้เข้ามาหลบซ่อนอยู่ที่นี่หรือไม่” “ที่นี่เป็นหอโอสถ รักษาผู้ป่วยไม่เลือกหน้า” เซียวหลันตอบ แต่ภายในใจเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ชายชุดดำหัวเราะเยาะ “อย่ามาเล่นลิ้น! หากเจ้าไม่ยอมบอกออกมาดีๆ พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องสุภาพ” ทันใดนั้น ชายชุดดำอีกคนก็พุ่งเข้าใส่เซียวหลันด้วยความเร็วสูง หมายจะจับตัวนาง ทว่าในชั่วพริบตา... ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำที่คุ้นตา ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเซียวหลันราวกับเงา เขาใช้กระบี่ในมือฟาดฟันออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ บังเกิดเสียงคมกระบี่กระทบกันดุจเหล็กกล้า ชายชุดดำที่พุ่งเข้าใส่ก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปทันที หลี่หยาง ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเซียวหลัน ร่างสูงสง่าในชุดสีดำสนิท ใบหน้ายังคงปิดบังไว้ด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ แต่แววตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นคมกริบราวกับใบมีด เขามองไปยังกลุ่มชายชุดดำด้วยสายตาเย็นชา ดุจเหยี่ยวที่จ้องมองเหยื่อ “พวกเจ้ากล้ามาสร้างความวุ่นวายในที่แห่งนี้ได้อย่างไร” เสียงทุ้มเย็นดุจน้ำแข็งของหลี่หยางดังก้องขึ้น บ่งบอกถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่ภายใน กลุ่มชายชุดดำดูจะรู้จักหลี่หยางเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินเสียงของเขา พวกเขาก็แสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “ท่าน... ท่านเจ้าสำนัก... เหตุใดท่านจึงมาที่นี่” ชายชุดดำคนเดิมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ไสหัวไปซะ” หลี่หยางกล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยโทสะที่ยากจะควบคุม กลุ่มชายชุดดำไม่กล้าขัดขืน พวกเขารีบถอยร่นออกจากหอโอสถไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและความตกตะลึงของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ เซียวหลันมองไปยังแผ่นหลังกว้างของหลี่หยาง นางจำได้ว่าเขาคือชายที่เคยเข้ามาให้เธอรักษาเมื่อหลายวันก่อน ชายผู้ลึกลับที่ดูเหมือนจะมาจากยุทธภพ และในตอนนี้... เขาก็ได้แสดงพลังอำนาจที่เหนือกว่าใคร “ท่าน... เหตุใดท่านจึงกลับมาที่นี่” เซียวหลันถามเสียงแผ่ว หลี่หยางหันมาสบตากับนาง ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมฉายแววบางอย่างที่เซียวหลันไม่อาจเข้าใจ เขามองนางนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย “ข้าแค่ผ่านมา” คำตอบเรียบง่าย แต่กลับแฝงด้วยความหมายบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึง เซียวหลันรู้สึกถึงกระแสความรู้สึกบางอย่างที่เชื่อมโยงระหว่างนางกับเขาในห้วงลึกของจิตใจ ราวกับว่าการพบกันของพวกเขามิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD