“คืนก่อนไปไหนมา ทำไมลูกกลับมาด้วยสภาพนั้น” เอลลี่พูดเสียงเข้ม
“…” เคธี่ไม่คิดว่าเอลลี่จะถามเรื่องนี้ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา
“ฉัน… ลูกจำไม่ได้” เคธี่ตอบ
“ทำไมจำไม่ได้” เอลลี่ถามเค้น
“ต้องเพราะเป็นป่ามิสทรีแน่ๆ เลยค่ะ ข่าวลือที่บอกว่าบางคนจะหลงลืมเวลาเข้าไปในป่าเป็นจริงด้วยสินะคะ” เคธี่ทำเสียงตื่นตระหนก “ลูกจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ รู้ตัวอีกทีลูกก็ออกมายืนอยู่หน้าป่าแล้ว หลังจากนั้นลูกก็รีบกลับมาที่นี่เลยค่ะ” เคธี่อธิบายข้อแก้ตัวที่เธอคิดมาก่อนแล้ว
“แล้วลูกเข้าไปในป่าทำไม”
“เพราะ…” เคธี่ไม่ได้คิดข้อแก้ตัวอันนี้ และเธอไม่ได้เข้าป่า เธอออกมาจากป่าต่างหาก
“อย่าบอกนะว่านัดผู้ชายไว้” เอลลี่ลุกขึ้นมานั่งหน้าดุ
“จะบ้าเหรอ” เคธี่ตกใจ
“ลูกพูดคำหยาบกับแม่” เอลลี่ตกใจไม่แพ้กัน
“เอ่อ ขอโทษค่ะ” เอลลี่คิดแป๊บหนึ่ง “ลูกได้ยินเสียงเรียกขอให้ช่วยเหลือค่ะ แล้วลูกก็เดินตามเสียงนั้นไป จากนั้นลูกก็จำอะไรไม่ได้เลย” เคธี่กอดตัวเอง ทำหน้าตื่นกลัว
“โถลูก” เอลลี่ทำท่าจะกอดเคธี่
เคธี่ผงะ เธอไม่ได้เป็นลูกสาวของใครมานานแล้ว เธอไม่ชินกับการที่มีแม่ และเรียกใครว่าแม่ แถมตอนนี้ต้องมากอดกันแสดงความรักอีก
“โถ คงกลัวมากเลยใช่ไหม ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นอะไรแล้ว” เอลลี่ลูบหัวเคธี่ปลอบโยน “แต่แม่ก็เพิ่งเคยได้ยินนี่ล่ะว่าป่าสามารถเรียกคนเข้าไปได้ด้วย” เอลลี่แปลกใจ
“น..นั่นสิคะ” เคธี่กลัวความแตกพุ่งเข้าไปกอดเอลลี่ ตอนนี้เธอเลิกกระอักกระอ่วนว่าจะมีแม่ทันที “ลูกกลัวจังเลยค่ะ คุณแม่”
เอลลี่กอดเธอกลับ เคธี่รับรู้ความอบอุ่นจากเอลลี่
“ไม่ได้การละ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ต้องเขียนสาส์นไปแจ้งทางพระราชวัง”
“ต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เคธี่ตาโตด้วยความตกใจ
“ก็ใช่สิ ตระกูลเรามีหน้าที่ดูแลความเคลื่อนไหวของป่าแห่งนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ต้องแจ้งให้ทางวังทราบ เขาจะได้ช่วยตรวจสอบ และประกาศเตือนประชาชนได้ทัน ลูกก็รู้นี่”
“ค่ะ รู้ก็ได้ค่ะ” เคธี่ตอบแบบไม่แน่ใจ แต่เธอก็ไม่ขัดอะไร เพราะไม่งั้นเธอเองจะเดือดร้อนแทน
แม้เคธี่จะถูกเอลลี่เค้นรายละเอียดเพื่อนำไปเขียนสาส์น แต่เธอก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดที่เอลลี่คอยปลอบโยนเธอ “ลูกไม่ต้องกลัวนะ แม่จะปกป้องลูกเอง” ประโยคนี้ทำให้เคธี่น้ำตาไหลจนต้องรีบแอบเช็ด เธอคิดถึงแม่ของเธอที่ชอบกอดปลอบเธอเวลามีใครมาแกล้ง และบอกว่าจะปกป้องเธอเสมอ แต่แม่ของเคธี่ก็ด่วนตายจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก และเมื่อเธอไม่เหลือคนในครอบครัวอีก เธอจึงต้องไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า
เอลลี่เขียนสาส์นเสร็จ ก็จะหยิบให้เคธี่อ่าน แต่จังหวะนั้นเธอก็ไอขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เลือดของเธอออกมาเยอะกว่าเดิม เลือดกระเซ็นไปโดนสาส์นเลอะเทอะไปหมด
“ส.. สาส์น” เอลลี่คราง
“ช่างมันก่อนเถอะค่ะ” เคธี่ลนลาน
“แต่ว่า… จะมีคน… เดือด… ร้อน” เอลลี่พูดทีละคำอย่างยากลำบาก
“ห่วงตัวเองก่อนได้ไหม” เคธี่โมโหที่เอลลี่เอาแต่ห่วงคนอื่น “มีใครอยู่ข้างนอกบ้างไหม ช่วยตามคุณหมอที คุณแม่กระอักเลือดอีกแล้ว”
สาวใช้ด้านนอกรีบเปิดประตูกันเข้ามาดู บางคนรีบมาช่วยพยุงตัวเอลลี่กลับไปที่เตียง บางคนลนลานรีบออกไปตามหมอ
ไม่นานนักคุณหมอก็กระหืดกระหอบมาที่ห้อง และตรวจอาการ ซึ่งตอนนี้เอลลี่หลับไปแล้ว
“สรุปคุณแม่เป็นอะไรคะ” เคธี่ถาม
“ผมต้องขอโทษนะครับคุณหนู” คุณหมอส่ายหัว “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายหญิงเป็นโรคอะไร ที่ผ่านมาผมก็ได้แต่ประคองอาการเท่านั้น แต่เหมือนว่าครั้งนี้ โรคจะกำเริบรุนแรง”
“แล้วยังไง เราทำอะไรได้บ้างคะ”
“ตอนนี้หัวใจของนายหญิงเต้นอ่อนแรงมาก อาจจะต้องทำใจเผื่อไว้บ้างครับ”
เคธี่พูดอะไรไม่ออก เธอรู้ว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่เธอก็ไม่อยากยอมรับว่าเอลลี่จะต้องมาตายต่อหน้าเธอตามเนื้อเรื่อง เคธี่อยากคุยกับเฟย์และเอล่า แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้
เคธี่ให้หมอกลับไป ก่อนจะสั่งให้สาวใช้ลองไปตามหมอคนอื่นๆ มาลองตรวจดู ซึ่งไม่ว่าจะมีหมอมาตรวจเป็นสิบกว่าคน ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ทุกคนส่ายหัวและไม่มีใครรู้ว่าเอลลี่เป็นอะไร เคธี่รู้สึกแย่ที่เหมือนเธอเพิ่งมีแม่ และกำลังจะเสียไปอีกครั้ง
กลางดึกคืนนั้น เอลลี่ฟื้นขึ้นมา โดยที่มีเคธี่เฝ้ามองอยู่
“ทำไมลูกทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ” เอลลี่ถามเสียงแผ่ว
“คุณหมอบอกว่า มันไม่มีทางรักษาค่ะ”
“แม่รู้อยู่แล้วล่ะ” เอลลี่ยิ้มบางๆ “ช่วยหยิบกล่องในตู้ให้หน่อยได้ไหม” เอลลี่ชี้ไปทางตู้ขนาดเล็กข้างหัวเตียง
เคธี่เดินไปหยิบกล่องตามที่เอลลี่บอก
“ลองแกะดูสิ”
เคธี่แกะกล่อง และพบสร้อยคอเพชรสีน้ำเงินสวยงามอยู่ในนั้น เพชร 5 เม็ดถูกเรียงรายอยู่บนสร้อย โดยเม็ดตรงกลางมีขนาดใหญ่ และมีมูลค่ามากที่สุด
“นี่เป็นสร้อยที่พ่อให้แม่เป็นของขวัญตอนแต่งงาน” เอลลี่มองมันด้วยความรัก “แม่ให้ลูกนะเคธี่”
เคธี่รู้สึกว่าถ้าเธอรับสร้อยเส้นนี้ เอลลี่คงจะสบายใจ และทิ้งลมหายใจสุดท้ายไว้ทันที
“ไม่ค่ะ ลูกไม่รับ”
“แต่ว่า..”
“คุณแม่พักผ่อนก่อนนะคะ อดทนอีกหน่อย เดี๋ยวลูกไปหายามาให้” เคธี่พูดตัดบท
“…”
“ขอร้องล่ะค่ะ อย่าเป็นอะไรเลยนะคะ”
“โถ่ ลูกแม่” เอลลี่เอื้อมมือไปจับมือของเคธี่ “แม่จะพยายามนะ” เอลลี่พูดเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ เธอยิ้มให้เคธี่อย่างอ่อนโยน
เคธี่ตั้งมั่นว่าเธอต้องช่วยชีวิตเอลลี่ให้ได้
______________________________________________________________________________________
เคธี่อ้างว่าจะไปสังเกตแนวชายป่าด้วยตัวเอง แม้ว่าสาวใช้ และผู้ติดตามที่ดูแลความปลอดภัยจะไม่มีใครเห็นด้วยกับเธอ แต่ในตอนนี้เอลลี่ไม่สามารถออกคำสั่งอะไรได้ สตีฟที่เป็นนายใหญ่ของบ้านก็ยังไม่กลับมาจากการค้าขาย ทำให้ตอนนี้เคธี่เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของบ้านที่มีอำนาจมากที่สุด พวกเขาได้แต่เตือนเคธี่ว่าอย่าไปที่ชายป่าคนเดียว แต่ก็ไม่มีใครขัดคำสั่งเธอ
เคธี่กลับเข้ามาในป่าอีกครั้ง เธอเดินตามเส้นสีรุ้งจนไปเจอกับต้นเบอร์รี่ ต้นไม้ยังคงสูงใหญ่เหมือนเดิม แต่คราวนี้เคธี่รู้สึกว่ามันสูงขึ้นอีก เพราะเธอต้องเป็นคนปีนขึ้นไปเอง เคธี่ถอดชุดกระโปรงสวยงามรุ่มร่าม และรองเท้าส้นสูงที่ดูไม่มีประโยชน์ เคธี่สวมกางเกงไว้ด้านในอยู่แล้ว และเธอก็พร้อมจะปีนต้นไม้
เคธี่โยนเชือกปลายตะขอที่พกมาไปที่กิ่งต้นไม้ที่แข็งแรงที่ใกล้ลำต้นมากที่สุด เธอโยนไปถึงเจ็ดรอบ เชือกถึงพันกับกิ่งไม้ได้จนแน่น เคธี่นำปลายเชือกมาผูกกับขาทั้งสองข้างและเอวเหมือนรูปกางเกงใน เธอจับเชือกปีน และใช้เท้าไต่กับลำต้น เคธี่ขึ้นไปอย่างยากลำบาก และเธอก็ตกลงมา