ณ.บ้านหลังหนึ่งในเมืองกรุง (17.40)
“เดี๋ยวนะ ฉันกำลังไป” ฉันผู้วุ่นวายในตอนเย็นจัดการหนีบโทรศัพท์เครื่องจิ๋วเอาไว้ระหว่างใบหูกับไหล่ตัวเอง ก่อนคว้าอะไรต่อมิอะไรมากมายมาถือไว้จนเต็มสองมือ ซึ่งมีทั้งกระเป๋าถือใบเล็ก ทั้งมงกุฎเจ้าสาว ทั้งส้นสูงแล้วไหนจะชุดกรุยกรายของฉันอีกล่ะคะ ‘มันจะอะไรนักหนากับวันแต่งงานเนี่ย!’ “แกส่งคนมารับแล้วใช่มั้ยอิน” ฉันถามคู่แต่งงานของตัวเองที่เพิ่งขอแต่งงานกับฉันเมื่อวานแบบปัจจุบันทันด่วน ชุดรุ่มร่ามนี่ก็เพิ่งส่งมาถึงเมื่อตอนบ่าย มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าบ่าวส่งคนมาช่วยฉันบ้าง ‘ไอ้บ้าอินทัช ไอ้เพื่อนทุเรศ’
“เออ ฉันส่งรถเก๋งคันสีขาวไปรับแกแล้ว บอกคนขับด้วยนะว่ารีบมาก แค่นี้ล่ะย่ะ” ติ่ด!
สายถูกตัดไปในขณะที่ฉันถือส้นสูงสีขาวกับของมากมายออกมากองตรงหน้าบ้าน อย่างที่ทุกคนได้ยินในสายกันนั่นล่ะ ‘อิอินพูดว่าย่ะ...เพราะมันเป็นเกย์!!’ เพื่อนสนิทที่แกล้งมาคุกเข่าขอฉันแต่งงานแล้วถ่ายคลิปส่งไปให้พ่อมันดูที่เมืองนอกและวันนี้คือวันงานแต่งจอมปลอมในโรงแรมซึ่งชวนเฉพาะคนสนิทแค่ยี่สิบคน อะไรไม่เท่าความรีบของงานที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกสามสิบนาทีข้างหน้า ฝ่ายจัดฉากคือป้อนป้อน เพื่อนสาวที่เก่งกาจด้านการถ่ายภาพให้มันอลังการและดูมีคนเยอะๆ เพื่อออนไลน์ไปให้พ่อกับแม่ไอ้อินมันดู ส่วนฉันผู้รับบทเจ้าสาวสุดรีบ “โอ๊ย!!” ชุดยาวๆ นี่ก็นะ ฉันทิ้งรองเท้าส้นสูงเอาไว้กับพื้นแล้วกลับไปลากกระโปรงของตัวเองออกมาจากประตูบ้านก่อนจะจัดการล็อคประตูก็พอดีกับเสียงแตรรถด้านนอกดังเรียกสติของฉัน
ปี๊นๆๆ กระจกหน้าต่างรถสีขาวถูกเปิดลงแล้วคนขับด้านในก็ตะโกนออกมา “จะไปงานแต่งใช่มั้ยครับ”
‘คือฉันว่าตัวเองก็ใส่ชุดเจ้าสาวนะคะ หรือเค้าเห็นว่าฉันเป็นแม่บ้าน?’ ด้วยความอารมณ์เสียทำให้ฉันถึงกับฟิวส์ขาด คำพูดเพราะๆ ไม่ต้องมีมันแล้วเถอะ “เออ ไปงานแต่ง” จำได้ว่าอินทัชส่งรถสีขาวมารับ แต่คนขับน่ะไม่รู้จักหรอกค่ะ ฉันเปิดประตูรถแล้วคว้าทุกอย่างบนพื้นขว้างเข้าไปด้านในก่อนจะยัดตัวเองกับกระโปรงรุ่มร่ามแล้วปิดประตูหลังดัง ปึ่ง!! “อินบอกว่าเหยียบให้มิด” ชั่วโมงนี้ไม่มีเวลาทำความรู้จักกับคนขับเพราะมันไม่จำเป็น แต่อะไรคือเขาทำหน้าเอ๋อ…ได้ข่าวว่าเมื่อครู่ เขาก็ถามฉันนะคะว่าไปงานแต่งรึเปล่า มาตอนนี้ยังจะมีอะไรอี้ก!!
คนขับทำหน้างง “ห้ะ?”
“ก็ไปเร็วๆ สิยะ เดี๋ยวไม่ทันงานหรอก!!” มันจะอะไรกันนักหนา เมื่อคืนฉันก็ไม่ได้นอนเพราะมัวแต่เตรียมของกับรองเท้าอะไรไม่รู้วุ่นวายไปหมด ไม่ต่างกับเพื่อนๆ ที่พากันไปจัดฉากในโรงแรม เราทุกคนผู้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันมานานต่างภาวนาให้คุณพ่อเกรียงไกรผู้แสนดุของอินทัชเชื่อว่างานแต่งได้เกิดขึ้นจริงๆ แค่ภาวนา...ว่าแต่ทำไมยิ่งนั่งในรถเงียบๆ ก็ยิ่งง่วงจังนะคะ ‘ไม่ๆ ฉันยังไม่อยากนอนนะ รอไปถ่ายวิดีโองานแต่งให้เสร็จก่อนสิ!’
แล้วรถคันนั้นก็มุ่งตรงออกสู่ถนนใหญ่...กว่าจะถึงที่หมายก็ปาเข้าไปรุ่งเช้าของอีกวัน งานแต่งจะว่ายังไงดีล่ะ
&&&&
ณ.ไร่ผลไม้แห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
“ไอ้วนมึงพาใครมา”
ฉันผู้นั่งรถหรูมาตั้งแต่เมื่อวานยืนจับต้นชนปลายอยู่นานกว่าจะได้สติ ว่าที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้มันช่างหนาวเหน็บและเต็มไปด้วยไอหมอก? ‘ตอนนี้กี่โมงคะ ที่นี่ที่ไหนคะ’ มันคือคำถามที่ฉันอยากจะถาม ดูเหมือนบรรยากาศในงานของอินทัชเปลี่ยนไปแล้วหรือเพราะฉันมาผิดงาน ยิ่งคำถามจากผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้า ทำให้ฉันต้องมองคนขับรถ...พี่เขาน่าจะชื่อวน? คนที่พาฉันมาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ จริงๆ จะโทษคนขับรถก็ไม่ถูกเพราะฉันมันบ้าบอพอขึ้นรถได้ก็บอกเขาว่า ‘ของีบสิบห้านาทีนะคะ ถึงแล้วเรียกด้วย’ ใครจะรู้ว่ากว่าคนขับจะเรียกให้ฉันตื่น เวลาก็ผ่านไปทั้งคืนแล้ว...นี่ฉันแค่งีบหลับหรือซ้อมตายคะเนี่ย?
“เจ้าสาวไงครับนาย”
“กูรู้ แต่ที่ไม่รู้คือกูสั่งให้มึงไปรับน้องสาวกูที่ลองชุดงานเลี้ยงเจ้าสาวในตัวเมือง อะไรคือมึงหายไปสามวันแล้วเสือกพาเจ้าสาวของใครมาด้วยไม่รู้วะ!!” เหนือตะวันตวาดลั่น พร้อมกับยกมือขึ้นไปกุมขมับ ‘แล้วยัยเจ้าสาวนี่ก็นะ’ ขึ้นรถไม่ดูเลยเหรอ
ฉันก็งงค่ะคุณ “ขอโทษนะคะ ที่นี่ที่ไหน” จุดหมายของฉันคือโรงแรมและตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่ามันน่าจะผิดแผน แต่ที่นี่คือ ‘ว้อท?’
“ไร่สุขสันต์ เชียงใหม่” เหนือตะวันเท้าสะเอว “เธอเป็นใคร ทำไมถึงตามไอ้วนมาง่ายๆ” มองเจ้าสาวหน้าสวยเปรี้ยวที่ตัวสูงแค่ไหล่เขา หน้าอกหน้าใจไม่ต้องเอ่ยถึง มันล้นทะลักจนเขาอยากจะเอามือไปรองไว้ตรงใต้ฐานเพราะเธอใส่เกาะอกแค่ครึ่งเต้า ‘ไม่ใช่ละๆ นี่มันเจ้าสาวคนอื่น’
‘เชียงใหม่? โอ๊ยย ตายแล้วอิฉัน’ “ขอโทษนะคะ คือฉันต้องรีบกลับ รบกวนขับรถไปส่งฉันที่เดิมได้ไหมคะ” จะให้ขึ้นเครื่องไป คนคงมุงกันทั้งสนามบินและแม้หนทางจะแสนไกลแต่ฉันก็ต้องกลับแล้ว ไม่ใช่อะไรหรอก ที่นี่ไม่ใช่บ้านฉันนี่คะ จะให้อยู่นานๆ ได้ยังไง ไหนจะเรื่องอินทัชล่ะ แงๆๆ
“เธออยู่ที่ไหน”
“กรุงเทพ”
ขวับ!! เหนือตะวันหันมองลูกน้องของตัวเองทันที “นี่มึงขับไปทำห่าอะไรถึงกรุงเทพ มึงรู้จักคุณเค้าเรอะ” ใบหน้าเริ่มตึงเครียด
วนเกาหัวแกร่กๆ “ผมจำได้ว่านายสั่งให้ไปรับคุณลักษณ์กับน้องมะนาวมางานแต่ง” คุณลักษมีเป็นน้องสาวของนายแต่น้องมะนาวน่ะเป็นลูกสาวอายุสี่ขวบของนายที่อยู่กับแม่ของน้องในกรุงเทพ ถ้าวนจำไม่ผิดมันก็หมู่บ้านเดียวกันกับคุณผู้หญิงในชุดแต่งงานนี่ล่ะนะ (ทำหน้าเอ๋อๆ)
“กูบอกให้ไปรับมะนาวเมื่อไหร่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงใส่ชุดแต่งงาน” ชี้เจ้าสาว
“ก็ผมนึกว่าจะพากันไปงานคุณลักษณ์เค้า”
“ในชุดแต่งงานเนี่ยนะ แล้วมะนาว?”
“บ้านน้องมะนาวปิด ผมเลยขับกลับมานี่ไง”
ผัวะ!! เหนือตะวันยกเท้าขึ้นถีบลูกน้องจนหน้าคะมำ เมื่อวานนี้ลักษมีโทรมาถามเขาว่า ‘วนอยู่ไหน รอตั้งนานก็ไม่เห็นมารับ’ สรุปคือเขาผู้อยู่ในไร่เป็นคนขับรถออกไปรับน้องตัวเองกลับโรงแรม เพื่อเตรียมงานเลี้ยงหลังแต่งงานที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันหลังจากนี้ แทนที่จะเจอลูกน้องกับข้ออ้างแสนธรรมดา ที่ไหนได้มันกลับไม่ธรรมดาแถมยังพาใครไม่รู้มาด้วย!! “เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันนะคุณเจ้าสาว ผมไม่เถียงว่าลูกน้องผมมันประสาท”
‘เหมือนเขาว่าฉันด้วยเนอะ’ จริงๆ ก็งงนะว่าลูกน้องคุณเค้าประสาทหรือฉันประสาทที่นั่งรถมาด้วย “ค่ะ” ณ.ตอนนี้อารมณ์ของฉันปั่นป่วนไปหมด ไม่ใช่เพราะเจ้าของไร่หล่อ แต่ปั่นป่วนเพราะกลัวเจ้าบ่าวของฉันจะอาละวาด คือฉันไม่อยากจะนึกถึงงานแต่งเมื่อคืนนี้เลยนะคะ ‘ว่าอินมันจะทำยังไง’
“แต่ตอนนี้เรายังไปส่งคุณไม่ได้ ไม่มีใครว่างเลยเพราะน้องผมกำลังจะจัดงานเลี้ยงงานแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้ เรายุ่งอยู่และคนงานในไร่ก็ทำงานกันหมด ดังนั้น” เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแต่ “เห้ย!!” มองสาวสวยตรงหน้าขึ้นลงๆ “คุณแต่งงานเมื่อไหร่”
“ตอนค่ำ” ฉันส่ายหน้าให้กับตัวเองเหมือนปลงตก “ของเมื่อวานค่ะ”
“ตายห่า แล้วเจ้าบ่าวของคุณเขาไม่ตามหากันให้วุ่นเหรอน่ะ”
มันจะตามมาด่าฉันน่ะสิที่ไม่ไปเป็นเจ้าสาวลวงโลกให้มันน่ะ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรค่ะ ถ้าอินทัชมันเคลียร์ได้ วันนี้มันคงบินไปหาผัวฝรั่งมันโน่นแล้วเหลือแค่ฉันที่ยังคงติดแหง่กอยู่ในชุดรุ่มร่ามบ้าบอนี่ “มันจบแล้วค่ะ” ฉันเปิดหลังรถเอาของสารพัดอย่างออกมา ไม่ว่าจะเป็นส้นสูง กระเป๋าใบเล็ก มงกุฎเจ้าสาวและเครื่องสำอางสองสามชิ้น ก่อนจะเดินออกไปหาตัวช่วยอื่น แทนการขอความช่วยเหลือจากผู้ชายหน้าหล่อดุคนนี้ที่เขาบอกว่าไม่มีใครว่าง ก็นั่นล่ะ ใดใดคือถึงแม้งานแต่งของฉันจะจบไปแล้ว ฉันก็ต้องกลับบ้านอยู่ดีใช่มั้ยล่ะคะและถ้าไม่มีใครไปส่ง ฉันโบกรถสักคันแล้วเหมากลับกรุงเทพก็ได้ มันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกใช่ไหม? มาเองก็ต้องกลับเองเนอะ
“เฮ้!! นั่นเธอจะไปไหนน่ะ”
-_- ฉันอยากจะให้เขาเรียกแทนตัวฉันให้มันถูกๆ นะคะ จะเรียกเธอ เรียกคุณ เรียกหล่อนหรืออะไรก็เอาสักอย่างไม่ใช่เหมาหมดจนงงแบบนี้ ฉันเลิกสนใจเขาแล้วหอบกระโปรงที่ยาวลากพื้นจนมีแต่ฝุ่นมาถือไว้ ‘ฮึ่บ!!’ รองเท้าส้นสูงเดินไม่ถนัดก็เดินเท้าเปล่า ดีหน่อยที่ถนนเข้าบ้านเขาลาดยาง ไม่ใช่หินขรุขระ ไม่งั้นฉันคงเจ็บเท้าไปมากกว่าสามวันแน่ๆ
ลูกชายเจ้าของไร่ได้แต่สบถคำหยาบ ไวเท่าความคิดเขาคว้าแขนเล็กนั้นมาจับไว้ พรึ่บ!! “นี่!! หล่อน” ก่อนที่เจ้าสาวแปลกหน้าจะเสียหลักถลาเข้ามาปะทะกับอกแน่น...ชนกับอกนุ่ม? ‘บ้าจริง!’