“พี่ใหญ่”
“_” อาร์มทำหน้างงคิ้วขมวดไปพักใหญ่ก่อนจะคลายออก “ล้อพี่เล่นรึเปล่าเนี่ย?”
“ล้อเล่นรึเจ้าคะ?” หัวสมองประมวลคำพูดสลับถูกผิดกับภาษาไทยที่เธอสื่อออกมา ‘เธอพูดได้และเข้าใจมัน’ แต่การเรียบเรียงถ้อยคำออกมายังไม่ถูกต้องนัก..
“หืออ...เจ้าคะเหรอ? นี่น้องพี่กลับเข้าไปอยู่ในยุคโบราณในตอนที่หลับยาวไปเกือบอาทิตย์ใช่มั้ย?”
“ข้าหลับไปหนึ่งอาทิตย์หรือเจ้าคะ?” ไม่สนใจคำถามจากพี่ชายแต่กลับสนใจเรื่องที่ตัวเองหลับยาวไปถึงหนึ่งอาทิตย์
“ใช่ น้องไอตกบันไดที่บ้านเราแล้วหลับไปหนึ่งอาทิตย์เลยนะพี่เรียกหมอมาตรวจน้องก่อนดีกว่า รู้สึกว่าเราจะพูดจาแปลกๆ” คนพี่เอื้อมมือไปบนหัวเตียงกดปุ่มอะไรสักอย่าง ติ้ด!
“แต่ข้าไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ?” แม้สมองจะมึนงงไปบ้างแต่เธอยังไม่พร้อมที่จะถูกฉีดยาแล้วหลับไปอีกครั้ง มือขาวบางจับแขนพี่ชาย
“เป็นสิ ให้หมอตรวจหน่อยนะ” อาร์มต้องการคำยืนยันจากหมอว่าน้องสาวเขาไม่ได้เป็นอะไรทางร่างกาย…สมอง?
ก่อกๆๆ “ขออนุญาติค่ะเมื่อครู่คนไข้กดเรียกหมอรึเปล่าคะ?” หมอวิภาที่วันนี้เป็นเวรประจำเดินนำพยาบาลเข้ามาในห้องสองคน ไอยราจำได้ว่าพยาบาลหนึ่งในสองคนนี้คือคนที่ฉีดยาเธอเมื่อเช้ามือขาวขยุ้มผ้าปูที่นอนแน่น
“ใช่ครับ” พี่ชายหลีกทางให้หมอและพยาบาลเข้ามายืนข้างๆน้องสาว “ช่วยตรวจอาการให้น้องผมด้วยครับดูเหมือนเธอจะพูดจาแปลกๆ”
หมอวิภาพยักหน้าและพูดขึ้น “เมื่อเช้าคุณไอยราตื่นขึ้นมาแล้วร้องโวยวายหลังจากหลับไปนานถึงหนึ่งอาทิตย์พยาบาลจึงฉีดยานอนหลับให้เธออีกครั้งตามคำสั่งแพทย์” เครื่องตรวจวัดชีพจรถูกนำมาตรวจสอบ “เธออาจจะตกใจจากเหตุการณ์ตกบันไดมาก่อนหน้านี้น่ะค่ะ ร่างกายภายนอกไม่ได้เป็นอะไร แผลหัวโนก็รักษาจนหายไปแล้ว..ถ้าคนไข้ไม่มีอาการข้างเคียงหรือสมองกระทบกระเทือนพูดจารู้เรื่องดิฉันคงจะให้ออกจากโรงพยาบาล” คุณหมอมองหน้าไอยราอีกครั้ง “ไหนเรามาคุยกันหน่อยดีกว่าจำได้มั้ยว่าชื่ออะไรเอ่ย?”
ไอยรามองหน้าคนที่ถามเธอก่อนจะตอบว่า “ฉันชื่อไอยราเจ้าค่ะ” คำตอบนั้นถูกต้องแต่การพูดสมัยโบราณนั้นคืออะไร? คุณหมอวิภานิ่วหน้าเล็กน้อย
“ค่ะ แล้วจำได้ไหมว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นใคร?”
“จำได้เจ้าค่ะ เขาเป็นพี่ชายของข้ามีนามว่าพี่อาร์ม”
คำพูดของเธอนั้นแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด คุณหมอวิภาถอยออกมาปล่อยให้พยาบาลตรวจรายละเอียดอื่นๆต่อ พร้อมกับพยักหน้าเรียกคนเป็นพี่ชายให้ตามออกไปด้านนอก
“จากการตรวจเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เรื่องสมองและความรู้สึกนึกคิดดูแปลกไปดิฉันขออนุญาตพาเธอไปตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งนะคะ”
อาร์มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “รอคุณแม่กับคุณพ่อผมสักครู่นะครับคุณหมอ” ตอนนี้พ่อกับแม่กลับบ้านเพื่อไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน เรื่องสแกนสมองเขาคิดอยู่แล้วตอนที่น้องสาวของเขาพูดคำสมัยโบราณออกมา ก่อนหน้านั้นที่น้องไอตกบันไดพ่อกับแม่ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้เพราะน้องยังไม่ฟื้นแต่หลังจากที่แม่โทรไปบอกเขาถึงอาการของน้องที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วโวยวายทำให้ทั้งสามคนต้องคิด..เหมือนที่หมอว่าอาการทางกายไม่เป็นอะไรแต่สมองอาจจะเป็น
“ได้ค่ะ เดี๋ยวยังไงถ้าคุณพ่อกับคุณแม่มาแล้วรบกวนไปแจ้งเรื่องไว้กับพยาบาลนะคะ” คุณหมอยิ้ม “เรื่องอาจจะไม่ได้หนักหนาอะไรการสแกนสมองก็ไม่มีอันตรายค่ะ หายห่วงได้”
“ครับ ขอบคุณครับหมอ” อาร์มยกมือไหว้แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไป พี่ชายสุดหล่อเดินเข้าไปในห้องที่น้องสาวรักษาตัวอยู่ เห็นเธอนั่งมองเขาทำตาแป๋ว แววตาน้องสาวจะว่าแปลกกว่าเดิมรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ คนตรงหน้ามองยังไงก็คือน้องสาว รึจะเป็น ‘วิญญาณ’ แต่ในสมัยนี้ยังจะมีเรื่องแบบนั้นได้ยังไง ความลังเลเริ่มสั่นคลอนเมื่อนึกถึงคำพูดคำจาของน้องสาว “ไงเราพยาบาลมาตรวจแล้วรู้สึกยังไงเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ” ส่ายหน้าไปมา
“แน่ใจนะ?” พี่ชายเดินเข้าไปใกล้ๆจับมือบางขึ้นมา รู้สึกได้ถึงการขัดขืนเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เขาจับมากุม “เป็นอะไรบอกพี่ได้ทุกเรื่องนะ”
“พี่ใหญ่” หัวคิ้วสวยขมวดมุ่นก่อนจะแก้คำ “พี่อาร์ม”
ตาคมมองอย่างจับผิด ‘มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่เข้ากันอยู่ในตัวน้องสาว..แต่อะไรล่ะ’
ก่อกๆๆ แกร่ก!!! เสียงเคาะและเปิดประตูตามเข้ามาเป็นผู้ชายวัยกลางคนดูอบอุ่นสมองน้อยๆ มีคำว่า ‘พ่อนนท์’ ผุดขึ้นมา อีกคนคือ ‘แม่จ๋า’ ท่านแม่ที่อยู่ในห้องกับเธอตั้งแต่เมื่อเช้า
“เป็นยังไงบ้างน้องไอ?” คุณพ่อวางกระเป๋าผ้าลงและเดินเข้ามาข้างๆเตียง “รอบนี้ทำไมนอนป่วยนานเลยล่ะไม่อยากกลับบ้านเราเหรอ”
คำถาม ‘ไม่อยากกลับบ้านเราเหรอ’ ทำให้น้ำตาไอยราเอ่อคลอไปหมด คุณพ่อดึงตัวลูกสาวมาสวมกอด
“จะร้องไห้ทำไมล่ะ นอนหลับไปอาทิตย์เดียวคิดถึงพ่อจนทนไม่ไหวเลยรึไง?” ลูบหลังลูบไหล่
“ฮึ่กๆๆ ฮืออ ท่านพ่อลูกคิดถึงท่านมากเจ้าค่ะ” สะอื้นตัวโยน
ทั่วทั้งห้องเงียบสนิทสามคนพ่อแม่ลูกมองหน้ากันไปมา พ่อนนท์มองลูกชายคนโตแล้วทำหน้าตาสงสัย “ว่ายังไงนะน้องไอ” ถามย้ำอีกครั้งราวกับว่าเมื่อกี้หูฝาดไปชั่วขณะ
“ลูกคิดถึงท่านพ่อและท่านแม่เจ้าค่ะ อึ่กๆๆ ฮืออ”
ชัดเจนทุกถ้อยคำ พ่อนนท์ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากลูบผมลูกสาวเบาๆ จนเธอหยุดร้อง “มีอะไรจะบอกพ่อมั้ย?” คำถามเดียวกันกับพี่ชายของเธอดังขึ้น “พ่อว่าลูกพูดจาแปลกๆ”
ไอยราเงยหน้ามองพ่อนนท์แววตาสั่นไหวไม่มั่นคงราวกับจะกลัวพวกเขาจับได้ว่าเธอไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริงแต่เธอคือ ‘จูเหม่ยเซียน' สตรีในยุคจีนโบราณที่ไม่รู้ว่าข้ามชาติภพมาเพียงแค่ตกบันได หากเธอพูดความจริงออกมาจะมีใครเชื่อเธอหรือไม่ พวกเขาจะทำร้ายเธอรึเปล่า พวกเขาจะเสียใจมากแค่ไหนที่ตัวเธอไม่ใช่ลูกของเขาจริงๆ ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องนานกว่าห้านาที...จนเธอตัดสินใจแล้วว่าจะ ‘ไม่บอก’
“ไม่หรอกค่ะ หนูแค่หลงๆ ลืมๆ อะไรไปบ้างแต่หนูก็ยังเป็นหนูเป็นลูกพ่อนนท์ ลูกแม่จ๋าและเป็นน้องพี่อาร์ม” เธอยิ้มออกมาจากใจเพราะถ้าหากเธอไม่อยู่ที่นี่เธอก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนได้อีกแล้วที่สำคัญกว่านั้นคือเธอจะออกจากร่างนี้ได้ยังไง “ขอให้หนูได้ปรับสมองกับความคิดก่อนได้ไหมคะ ตกบันไดหนูเจ็บมากเลย” กอดพ่อนนท์ของเธอพร้อมกับออดอ้อนตามนิสัยเดิมของไอยรา ซึ่งจูเหม่ยเซียนไม่เคยทำ
“ขี้อ้อนแบบนี้ค่อยน่าเชื่อหน่อย” พ่อนนท์ยกยิ้ม
“แต่พี่ยังไม่วางใจนะน้องไอยังไงก็ให้หมอสแกนสมองหน่อยดีมั้ยครับ” พี่อาร์มพูดแทรกขึ้นมา ไอยราทำสีหน้าหวาดวิตก ‘สแกนสมองเหรอ?’
“แม่ก็ว่าดีนะ เราทุกคนจะได้สบายใจ ยิ่งตื่นขึ้นมาแล้วพูดจาแปลกๆเผื่อสมองกระทบกระเทือนอะไรจะได้แก้ถูกก่อนออกจากโรงพยาบาล” แม่จ๋าสนับสนุน
“เจ็บหรือไม่เจ้าคะ?”
“นั่นไงพูดจาแปลกๆแบบนี้ยิ่งต้องสแกน” อาร์มเสริม “สแกนสมองไม่ได้เจ็บนะครับน้องไอ เราแค่นอนเฉยๆหลับตาแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”
“จริงนะ?”
“จริงสิพี่ไม่โกหกเราหรอก ถ้ามันเจ็บพี่ไม่ยอมให้ทำแน่”
“งั้นก็ได้ค่ะเพื่อความสบายใจของทุกคน”
ทุกคนในห้องยิ้มให้กัน จากนั้นทั้งหมดก็นั่งคุยเรื่องที่เธอตกบันไดไปหลายวันแล้วไม่ยอมตื่นสักทีเรื่องราวในครอบครัววันนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เธอได้รู้ว่าทุกคนรักและห่วงใยเธอมากจริงๆ
วันต่อมาในช่วงบ่าย
การสแกนสมองผ่านไปด้วยดีไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากการที่เธอมักจะพูดจาเหมือนคนสมัยโบราณออกมาเป็นบางครั้งแต่ทุกคนก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะร่างกายทุกส่วนของไอยราเหมือนเดิมทุกอย่าง วันเวลาผ่านไปอีกเกือบเดือนที่เธออยู่เพียงแต่ในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อดูอาการ เดินไปเดินมาบ้าง ดูทีวีบ้าง ‘แม้ตอนแรกจะแอบตกใจแต่เมื่อรับรู้ว่าทุกอย่างในนั้นคือการแสดง และข่าวสารมากมายในโลกยุคนี้ บางวันเธอถึงกับนั่งเฝ้าจอรอดูข่าวกันเลยทีเดียว…และวันนี้เป็นวันที่เธอจะได้กลับบ้านแล้ววว
“อ่ะนี่ ไปเปลี่ยนชุดซะ” แม่จ๋าส่งกางเกงยีนกับเสื้อยืดที่เธอชอบใส่เป็นประจำเพราะมันคล่องตัวออกมาให้พร้อมกับชุดชั้นใน “แม่รอข้างนอกนะคะ” ดันตัวลูกสาวเข้าห้องน้ำ
ไอยรามองชุดเสื้อผ้าแล้วคิดว่าตนเองอยากใส่กระโปรงมากกว่าแต่ก็ไม่ได้อยากเรื่องมาก มือขาว ‘หยิบเสื้อชั้นใน' ขนาดหน้าอก 36คัพc ขึ้นมาทาบตัวความสงสัยถูกกำจัดออกไปเมื่อเห็นว่ามันห่อหุ้มป้องกันหน้าอกของเธอเป็นอย่างดี ‘หยิบกางเกงใน’ ออกมาสวมท่อนล่าง ความเคยชินทำให้เธอรับรู้ว่าอะไรต้องใส่ยังไง ใส่ตรงไหนโดยไม่ต้องออกไปถามแม่จ๋าให้ขายหน้า กางเกงยีนส์ขายาวถูกสวมใส่อย่างง่ายพร้อมกับเสื้อยืดพอดีตัวสีขาว หันกลับไปมองตัวเองในกระจกเงาแล้วยิ้มกริ่ม ผมยาวเลยบ่า ใบหน้าเรียวรูปไข่บวกกับผิวสุขภาพดีทำให้อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ‘เธอน่ารักมากจริงๆ’
แกร่ก!! ไอยราเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำสวมรองเท้าแตะสีฟ้าที่วางอยู่ เดินไปหาแม่จ๋า
“มานั่งหน้ากระจกมาแม่จะมัดผมให้” วางมือจากการจัดของใส่กระเป๋ามาหน้ากระจก “มัดเป็นหางม้าอันเดียวก็พอนะ”
“เจ้าค่ะ”
“55เจ้าค่ะอีกแล้ว น้องไอต้องพูดว่าค่ะสิคะ” หวีผมไปพูดไป “ถ้าไปพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินเขาจะว่าเราได้นะ”
“จริงเหรอคะ?”
“อืมม เขาจะว่าเราไม่เต็มเต็งนะสิ”
“5555อย่างไรกันคะไม่เต็มเต็ง”
ผมถูกมัดเรียบร้อยแม่จ๋าเอาหวีเคาะหัวเบาๆ “ก็อย่างนี้น่ะสิ”
“5555/5555” สองแม่ลูกหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข “เดี๋ยวแม่จัดของรอพ่อก่อน น้องไอจะทำอะไรก็ทำนะคะ”
“หนูช่วยแม่ก็ได้ค่ะ” ลุกขึ้นเดินไปช่วยเก็บของในใจตื่นเต้นพองโตไปหมดเมื่อนึกถึงบ้านที่แสนอบอุ่นของเธอ
บนรถเก๋งขนาดกระทัดรัดที่พี่อาร์มเป็นคนขับหลังจากทั้งสามคนทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อย ไอยรามองสองข้างทางด้วยความสนใจใคร่รู้ ‘รถ' คือสิ่งที่ใช้แทนรถม้าในยุคสมัยของเธอแน่นอนว่าความเร็วย่อมมีมากกว่า ความสุขสบายมีมากกว่า เบาะหนังอย่างดีรองบั้นท้ายไม่ใช่เศษผ้าหนาๆเย็บติดกันเพื่อเอาไว้นั่งในสมัยก่อน ‘ต่างกันลิบลับ’ นี่คือสิ่งที่เธอสัมผัสได้ทั้งนั้นหาใช่เพียงความรู้สึกนึกคิด ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงรถเก๋งคันเล็กขับเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มี รปภ.คอยตรวจคนเข้าออก พี่อาร์มทักทายลุงยามก่อนจะขับรถเข้ามาในซอยและจอดลงตรงประตูขนาดกลางบานสีฟ้า เสียงแตรบีบเป็นสัญญาณให้พ่อนนท์ที่กำลังรออยู่ ปิ้นๆๆ!!!
ครืดดๆๆๆๆ ครืดด พี่อาร์มขับรถเข้าไปจอดด้านในประตูด้านที่ไอยรานั่งอยู่ถูกเปิดออกขากคนเป็นพ่อพร้อมคำพูดที่ว่า
“ขอต้อนรับกลับบ้านครับลูกสาวของพ่อ” คำนั้นเรียกน้ำตาของเธอให้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เลยจริงๆ ‘ฮืออออ’