คืนอันแสนจะธรรมดาในเมืองนิวยอร์ก ผู้คนที่เดินเตร็ดเตร่บนถนนซาลงจนแทบจะไม่มี แสงสีจากไฟนีออนในยามค่ำคืน นี่แหละคือเวลาเหมาะที่จะออกล่าเหยื่อมากที่สุด แต่เหยื่อแบบไหนน่ะหรอ? เอาเป็นว่าพวกคุณจะรู้เอง
"ขอห้องสวีทค่ะ" ฉันส่งยิ้มและพูดกับพนักงานต้อนรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"ลงชื่อเข้าพักตรงนี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ คุณ..."
"คาเมรอน สตีลค่ะ"
"ห้อง 3504 ครับ"
ฉันรับกุญแจห้องพักจากเขาก่อนจะเดินออกจากโซนต้อนรับ คืนนี้คึกคักเป็นพิเศษเพราะจะมีงานเลี้ยงแก่นักธุรกิจวัยกลางคนผู้มีชื่อเสียง 'นิโคลัส หยวน' เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องการออกแบบเครื่องประดับและเครื่องเพชร ทุกๆ คนชอบคอลเลกชั่นของหยวน แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเบื้องหลังนั้นเขาค้าอาวุธผิดกฎหมายมากมายให้พวกก่อการร้าย นั่นแหละคือเป้าหมายของฉัน แสงแฟรชจากกล้องถ่ายรูปและนักข่าวที่มุงอยู่ตรงทางเดินหน้าโรงแรมทำให้ฉันพอเดาได้ว่าเขามาที่นี่แล้ว
"ไม่ทราบว่าคุณคิดยังไงกับข่าวที่ว่าคุณกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีค้าอาวุธผิดกฎหมายคะคุณหยวน?"
"นั่นมันก็แค่ข่าวลือ"
"แล้วท่านคิดยังไงกับเรื่องที่เอฟบีไอตั้งข้อสงสัยเรื่องเลี่ยงภาษีครับ" นักข่าวหนุ่มยิงคำถามโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้พัก
"เอาเป็นว่าผมจะให้ข้อแถลงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกทีนะครับ ขอตัวก่อน"
หยวนยิ้มให้นักข่าวก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปพร้อมบอดี้การ์ด ฉันยกกระเป๋าเดินทางขึ้นลิฟท์อีกตัวไปที่ชั้น 35 ของโรงแรม พอมาถึงก็เจอพวกคนแปลกเดินไปมากันให้วุ่น 'คนแปลก' ก็หมายถึงอย่างที่ว่านั่นแหละ ทรงผมที่เหมือนมีรังนกอยู่บนหัว อายแชโดว์สีฉูดฉาดที่เหมือนลูกกวาดไม่มีผิด
ฉันรีบเข้าไปในห้องพักสวีทของตัวเอง ทำไมต้องเป็นห้องสวีทน่ะหรอ? หนึ่งคือพื้นที่ใช้สอยมันกว้างกว่าห้องธรรมดา สองคือฉันสามารถพาใครมาอยู่ที่นี่หรือนอนที่นี่ก็ได้...ถ้ามีน่ะ
"เอาล่ะหยวน มาดูกันว่าจะจัดการกับนายยังไงดี"
ฉันเปิดกระเป๋าเดินทาง สัมภาระเพียงชิ้นเดียวในการเดินทางครั้งนี้ ด้านในมีชุดราตรียาวสำหรับงานในคืนนี้และข้อมูลของเขาที่แนบมาพร้อมกับเครื่องเล่นเพลง การฟังช่วยทำให้ฉันจำรายละเอียดของงานได้มากกว่าการอ่าน สิ่งที่ฉันเอามาเกือบทั้งหมดไม่ได้อยู่ในแผนเตรียมการของฉัน ฝ่ายวางแผนของเราจะส่งประเป๋าเดินทางแบบนี้มาให้ในการเริ่มงาน ด้านในจะมีชุด ข้อมูลของเป้าหมาย และอาวุธแบบสุ่มสองอย่างที่เราจะได้มา ถ้าโชคดีเราอาจจะได้เข็มอาบยาพิษหรือปืนเก็บเสียงมาสังหารเป้าหมายง่ายๆ ถ้าโชคร้ายหน่อยเราอาจจะเจอเพียงเชือกไนลอนหรือมีดพับอยู่ในกระเป๋าพร้อมข้อความให้กำลังใจจากฝ่ายวางแผน มันเป็นการทดสอบทักษะของพวกเราไปในตัว แต่ว่าก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ชายหนุ่มโค้ดเนมแบล็กรัซเชี่ยนที่ดันโชคร้ายได้ทั้งสองอย่างนี้ไปถูกจับได้เมื่อสิบกว่าก่อนโดยเอฟบีไอ หลังจากนั้นฝ่ายวางแผนก็ไม่เคยทำแบบนั้นกับเราอีกเลย
'นิโคลัส หยวน นักธุรกิจที่เป็นหุ้นส่วนให้หลายๆ บริษัท เขาปิดบังการค้าอาวุธของเขาด้วยการขายเครื่องประดับ...เข้าเรื่องเลยละกัน งานวันนี้จะมีเพียงแขกไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเชิญ สิ่งที่เธอต้องทำคือจัดการเขาอย่างที่เธอเคยทำ แผนผังของตึกฉันแนบกับเอกสารไว้แล้ว...หวังว่ามันจะไม่ยากเกินกำลังของเธอนะ'
"ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกทีแหละมิกกิ"
มิกกิ เธอมีหน้าที่แบ่งงานให้กับพวกนักฆ่าในองค์กร มิกกิเป็นสาวน้อยลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน เธอจะชอบแต่งหน้าด้วยอายไลนเนอร์สีฉูดฉาด เดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมรองเท้าส้นตึกสูงปรี๊ด ยิ่งเวลาเห็นเธอแต่งหน้าแบบจัดๆ ทีไรฉันล่ะนึกถึงแอฟฟรี่จากเรื่อง เกมล่าเกม ชะมัด ฉันชอบแซวเธอบ่อยๆ ในวันประชุมทุกเดือนขององค์กร และดูเหมือนการปรากฏตัวของเธอในแต่ละครั้งก็เปลี่ยนไปไม่เคยซ้ำเลยด้วย จนฉันเองก็ยังแปลกใจว่ามิกกินั้นมีอะไรดีนักถึงได้มาอยู่ในตำแหน่งสำคัญขององค์กรนี้ได้
ฉันเปิดแฟ้มที่เธอแนบมาในกระเป๋า ในนั้นมีบอกรายละเอียดทุกๆ อย่างๆ ของงานตั้งแต่ธีมการแต่งตัว ตารางเวลาในงาน เครื่องดื่มและอาหารที่จะมีเสิร์ฟ และสุดท้ายคือแผนผังของชั้น 35 ที่ฉันอยู่และชั้น 36 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าที่มีการจัดงาน
'ได้เวลาเริ่มงานแล้ว'
ฉันคว้าเอาชุดราตรียาวและรองเท้าส้นสูงที่ถูกเตรียมมาใส่ในถุงพลาสติกใสเพื่อทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่เลอะระหว่างที่ฉันกำลังจะปีนช่องระบายอากาศขึ้นไป ฉันเปลี่ยนชุดเดินทางที่ใส่มาออกจนเหลือแต่ชั้นในทั้งสองตัว นี่แหละคือช่วงที่ฉันเกลียดมากที่สุด การใส่ชุดยางยืดลื่นๆ แบบนี้เป็นอะไรที่อึดอัดที่สุดเท่าที่จะพรรณนาได้ มันอาจจะดูเซ็กซี่ก็จริง แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันไม่คุ้มค่าเลย
'เอาล่ะ ท่อที่นี่เชื่อมกับทุกชั้นในโรงแรม ปลายทางอยู่ที่ปล่องระบายความร้อนบนดาดฟ้า ก็คงไม่แย่เท่าไหร่... มั้งนะ' ฉันคิดในแง่ดี
ท่อระบายอากาศที่ว่าอยู่ห่างจากหัวฉันไม่ถึงหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ ฉันยังได้ยินเสียงพัดลมระบายอากาศอยู่ภายในนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะขึ้นไปได้อย่างปลอดภัยแน่ ฉันจำเป็นต้องหาห้องควบคุมระบบพวกนี้เสียก่อนที่จะเริ่มปีนขึ้นไป ซึ่งห้องที่ว่ามันก็อยู่สุดทางเดินของชั้นนี้เอง โชคดีใช่มั้ยล่ะ... ฉันตัดสินใจเปิดประตูออกไปโดยสวมชุดคลุมปกปิดชุดดำน้ำที่ใส่ไว้ก่อนจะเดินไปที่ห้องควบคุมอย่างรวดเร็ว ไม่มีคนอยู่ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกกระมัง ฉันพยายามคิดในแง่ดีเข้าไว้ก่อนจะเปิดแผงควบคุมระบบระบายอากาศที่มีเพียงสวิตช์เปิดและปิดอยู่เท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังจะยื่นมือไปปัดสวิตช์ลงก็มีเสียงประกาศจากชั้นดาดฟ้าดังลงมาจนถึงข้างล่าง
'แขกที่มาถึงแล้ว กรุณาแสดงบัตรเชิญที่ท่านได้มา หากไม่มีให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบรายชื่อซึ่งทางเราได้บันทึกไว้ในระบบให้ทราบครับ'
ฉันยืนนิ่งไป ทำไมฉันต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วย ก็แค่หาทางใส่ชื่อลงไปในระบบให้ได้ เข้างานไปแบบเนียนๆ แล้วก็จัดการเขาให้มันจบๆ ไปซะ จะไปยากตรงไหน แต่ฉันไม่มีทางเจาะระบบเข้าไปได้เอง และมีเพียงคนเดียวที่จะช่วยฉันให้เข้าไปในงานได้ ฉันรีบกลับไปที่ห้อง ถอดชุดรัดรูปที่ใส่ออกพร้อมกับแนบโทรศัพท์กับหูซ้ายไปด้วยเพื่อโทรหาผู้ช่วยของฉัน
'ฮัลโหลววว มีอะไรให้ซอมบี้คนนี้รับใช้ครับ?'
"เอ่อ... เคน นายติดธุระอะไรอยู่รึเปล่า อยากให้นายช่วยอะไรฉันหน่อย"
'ว่ามาเลยมาร์ตินี่น้อย อีกอย่างเรามีโค้ดเนม ใช้เรียกหน่อยก็ดีนะ'
มาร์ตินี่น้อย นั่นเป็นคำเรียกเล่นๆ ของเขาเท่านั้น แต่เราทุกคนในองค์กรจะมีรหัสประจำของตัวเองหรือที่เรียกง่ายๆ ว่าโค้ดเนมนั่นแหละ อันที่จริงของฉันมันก็ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่หรอก 'มาร์ตินี่' ออกจะเชยไปด้วยซ้ำ จากที่ฉันได้ยินโค้ดเนมของคนอื่นๆ มานั้นส่วนใหญ่พวกเขาจะได้โค้ดเนมของเครื่องดื่มค็อกเทลทั้งหลาย ยกเว้นผู้นำทั้งสี่คนขององค์กรเราเท่านั้นที่จะมีโค้ดเนมต่างไปจากนักฆ่าอย่างพวกเรา
"ฉันอยากให้นายลองดูระบบลงทะเบียนของงานวันนี้ให้หน่อย ได้ยินเขาประกาศว่าถ้ามีชื่อก็เข้าไปได้ โดยไม่ต้องมีบัตรเชิญ"
'ได้เลย ขอเวลาแป๊บ'
จากนั้นเคนก็เงียบไป เขาหายไปพักใหญ่ก่อนจะกระเอมในลำคอเป็นการบอกว่าเขากลับมาแล้ว
'ฉันเพิ่มชื่อกับหน้าเธอเข้าไปในระบบแล้ว อีกอย่างที่ฉันจะบอก ฉันลบชื่อแขกที่ยังไม่มาออกไปคนนึงเพื่อไม่ให้การ์ดสงสัย ที่เหลือฉันก็หวังว่าพวกเขาคงจะจำหน้าคนตั้งเกือบสามร้อยคนไม่ได้อย่างเดียวล่ะ ฉันช่วยเธอได้แค่นี้'
"ขอบใจนะ นายนี่น่ารักที่สุด"
ฉันข่มใจพูดคำแบบนั้นออกไปและรีบวางสาย ขอบใจนายนะที่ช่วยให้ฉันถอดชุดยางบ้านี่
ฉันขึ้นมายังชั้นดาดฟ้าในชุดราตรีสีส้มอ่อนสลับกับสีส้มเข้ม ส่วนบนของชุดนั้นประดับด้วยลูกไม้ ด้านหลังมีเพียงสายไขว้ที่ทำให้ชุดอยู่บนตัวฉันได้โดยไม่ทำให้ส่วนบนหลุดออกเท่านั้น ฉันจำใจต้องถอดชุดชั้นในออกเพื่อให้เผยแผ่นหลังของฉันตามที่คนส่งชุดต้องการ สุดท้ายคือส่วนล่างนั้นมีการเย็บให้กระโปรงตรงหัวเข่าชิดติดกันมากกว่าจุดอื่น มันทำให้สัดส่วนของฉันดูเรียวโค้งขึ้นไปอีก ไม่ว่าใครก็ตามที่จงใจให้ชุดนี้กับฉัน เขาต้องการให้ฉันดูเป็นที่ต้องตาต่อเพศตรงข้ามมากที่สุด ฉันเดินไปที่โต๊ะลงทะเบียนซึ่งมีพนักงานต้อนรับชายนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ มันไม่แปลกหรอกกับการที่ต้องมานั่งเช็กชื่อคนเกือบสามร้อยคนโดยไม่ได้ลุกไปไหน
"ฉันมาตามคำเชิญค่ะ"
"ขอชื่อด้วยครับ" ถึงจะดูเอื่อยๆ เขาก็ยังพูดสุภาพกับฉัน
"คาเมรอน สตีลค่ะ"
เขาเคาะแป้นพิมพ์อยู่นานก่อนจะยื่นแท็บเล็ตและปากกามาให้ ฉันรับมาและเซ็นต์ชื่อลงไป แน่นอนว่ามันเป็นหนึ่งในเกือบร้อยลายเช็นต์ปลอมของฉันที่ใช้ในงานแต่ละงาน พนักงานต้อนรับชายคนนั้นรับแท็บเล็ตคืนก่อนจะมองหาป้ายชื่อที่ติดเข็มกลัด และนั่นคือสิ่งที่ฉันไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้
"เอ่อ...ป้ายชื่อคุณ ไม่ทราบว่าคุณช่วยรอได้มั้ยครับ"
ฉันหน้าซีดไปเมื่อเขาลุกออกจากที่นั่งเพื่อจะเดินไปหาการ์ดอีกคนที่ดูเหมือนจะมีหน้าที่เช็คชื่อในระบบเช่นเดียวกับเขา ฉันมีเวลาคิดเพียงสิบวินาทีในตอนนี้ก่อนจะถูกจับได้ และฉันตัดสินใจทำสิ่งที่โง่ที่สุดเท่าที่พอจะคิดได้โดยการตะโกนไปรอบๆ เหมือนคนบ้า หวังว่ามันจะสามารถดึงความสนใจจากเขาได้
"ไม่!!! ฉันไม่ยอมนะ เอาบัตรมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย! ฉันมีชื่ออยู่ในระบบแล้วจะอะไรอีก!"
ทุกๆ คนในงานเงียบกริบก่อนจะหันมาหาฉัน ใช่... สายตาที่มองมาที่ฉันเหมือนคนบ้า เสียงซุบซิบนินทา แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้หยวนสนใจพอที่จะเดินเข้ามาหาฉัน
"ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ"
"คือว่า ฉันขอโทษค่ะ ฉันเจอแท๊กซี่งี่เง่ามา... แล้วอยู่ๆ ก็ไม่มีเข็มกลัดชื่อของฉัน วันนี้เป็นวันที่แย่สุดๆ ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้แหละค่ะ"
ทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเข้าไว้สตีล ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ เขาต้องพูดบางอย่างตามที่ฉันคิดไว้แน่อย่างเช่นคำว่า-
"เชิญเข้ามาเถอะครับคุณผู้หญิง แต่คุณต้องตอบแทนผมด้วยการดื่มแชมเปญกับผมสักแก้วนะ"
นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันพูดถึง เอาล่ะ เชิดหน้าเข้าไว้ ทำให้เขาประทับใจมากที่สุด
"ขอบคุณนะคะ"
"ว่าแต่...ผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณมาทำอะไรที่นี่คนเดียวหรอครับ?"
"ฉันสนใจเครื่องเพชรของคุณน่ะค่ะ โดยเฉพาะชุดไข่มุกราคาหลายแสนของคุณ แต่พูดตรงๆ เลยนะคะ ฉันไม่มีปัญญาซื้อมันด้วยตัวเองหรอกค่ะ"
นิโคลัสหัวเราะกับมุกตลกฝืดของฉัน พอเห็นเวลาเขากำลังใช้ทีเผลอแอบจับมือฉันด้วยสายตาแบบนั้นทีไร ฉันไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมถึงมีคนอยากฆ่าเขาขนาดนี้
"อย่าพูดดูถูกตัวเองแบบนั้นสิครับคุณสตีล คุณออกจะสวย แถมหุ่นดีอย่างกับนางแบบ ว่าแต่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าคุณเลยแฮะ"
"ฉัน...เป็นนางแบบนี่แหละค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถ่ายลงให้พวกบริษัทดังๆ อยู่แล้ว ไม่แปลกหรอกค่ะที่คุณจะไม่คุ้นหน้าฉัน"
ฉันพูดแถไป ยังไงสำหรับตาหมอนี่ถ้าเห็นผู้หญิงสวยๆ เขาคงเออออไปได้หมดทุกอย่างเพื่อให้ฉันประทับใจเขาเช่นกัน
"งั้นหลังจากเสร็จงานนี้ผมจะลองติดต่อไปหาคุณก็แล้วกันนะครับ ถ้าคุณพอจะสละเวลาให้ผมได้"
"ขอบคุณมากค่ะ คุณนิโคลัส"
ฉันยิ้มโปรยเสน่ห์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของตัวเองให้อีกฝ่าย จากนั้นบอดี้การ์ดของเขาก็เข้ามากระซิบกับนิโคลัส ชายกลางคนไล่เขาออกไปก่อนจะกลับมาหาฉันอีกครั้ง
"ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ถึงเวลางานของผมแล้ว"
"โชคดีนะคะ"
เขาประทับจูบบนฝ่ามือฉันอย่างอ่อนโยน อันที่จริงฉันอาจจะยอมใจอ่อนก็ได้ถ้าเขาดูเด็กกว่านี้ซักยี่สิบหรือสามสิบปี ฉันรับแชมเปญมาจากบริกรหนุ่มพร้อมกับยืนมองนิโคลัสพูดบนเวทีไปพลางๆ
"คุณไม่ควรมาอยู่คนเดียวแบบนี้นะ"
เสียงเตือนที่แฝงไว้ด้วยความหวังดีจากชายคนหนึ่งเรียกสติที่เหม่อลอยของฉันกลับมาอีกครั้ง เขาเป็นเหมือนแขกคนอื่นๆ ในงาน แต่ดวงตาสีครามที่มองมาที่ฉันแบบนั้นมันต่างจากคนอื่น...ไม่ใช่คนที่มองมาเพราะต้องการอยากจะมีเซ็กส์กับฉัน ใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำเล็กน้อยบวกกับผมสีน้ำตาลที่กระเซอะกระเซิงบ่งบอกว่าเขากำลังเมา
"อะไรนะคะ?" ฉันถามอย่างสงสัย
"คุณไม่ควรมาคนเดียว" เขาพูด "ดูสายตาพวกนั้นเวลามองมาที่คุณสิ"
ฉันหันไปตามที่เขาบอก มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
"คุณหวังดีงั้นหรอ? บางทีคุณอาจจะเหมือนคนพวกนั้นก็ได้"
ฉันแกล้งแซวเขาไปเล่นๆ โดยไม่ได้คิดจริงจังอะไรนัก สายตาของเขาที่มองมาที่ฉันนั้นแฝงไปด้วยความหวังดี แต่ก็ปนไว้ด้วยความเศร้าเช่นกัน และฉันก็ไม่อยากสนใจเพราะว่าเขาเมาอยู่
"...ช่างมันเถอะ"
ชายหนุ่มแปลกหน้ากวักมือเรียกบาร์เทนเดอร์ก่อนจะสั่งเครื่องดื่ม ฉันเลือกเมินเขาก่อนจะหันกลับมาสนใจนิโคลัสที่ยังพล่ามเรื่องตัวเองอยู่บนเวทีอย่างไม่หยุดปาก ฉันย้ำคิดกับตัวเองว่าตอนนี้ฉันอยู่ในเวลางานพลางคิดขอโทษหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันไม่ใช่ตั้งใจจะเมินเขาหรอก ฉันมองดูแหวนเงินที่สวมมาเพื่อคืนนี้เป็นพิเศษ ใช่... มันเป็นแหวนที่มียาพิษอยู่ในช่องเล็กๆ กลางอัญมณีสีแดง หนึ่งในอาวุธที่ฉันได้มาในวันนี้ เพียงแค่ฉันเคาะนิ้วที่แก้วของเป้าหมาย รอให้เขาดื่มแล้วก็...ดับอนาถ อันที่จริงฉันจะเข้าไปกลางฝูงชนแล้วยิงเขาด้วยปืนเก็บเสียงก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้โง่จนลืมตรวจสัมภาระของแขกที่เข้ามาในงานหรอก เห็นได้ชัดจากเครื่องสแกนโลหะที่ฉันเพิ่งเดินผ่านเข้ามา
"เคท ผมคิดถึงคุณจัง..."
ฉันหันไปหาชายหนุ่มหน้าตาดีที่เข้ามาทักฉันได้ไม่นานด้วยความตกใจ เขากระดกวิสกี้เกือบหกแก้วภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ ฉันส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะคิดอะไรได้...ฉันสามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้ นิโคลัสที่พูดเปิดพิธีจบแล้วกำลังจะเดินเข้ามาหาฉัน นี่แหละคือเวลาของเขา เวลาตายของแก
"ผมนึกว่าคุณจะไปแล้วซะอีกคุณสตีล"
"ฉันไม่เสียมารยาทขนาดนั้นหรอกค่ะ หวังว่าคุณ...คงอยากจะใช้เวลากับฉันให้คุ้มค่านะคะ"
"งั้น...ให้ผมเลี้ยงเครื่องดื่มกับคุณซักแก้วนะครับ"
นิโคลัสหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ชาย ฉันที่พอจะสังเกตท่าทางของเขาที่เมินเฉยต่อฉันและการที่เขามองไปที่พ่อหนุ่มนักดื่มซึ่งสลบคาโต๊ะด้วยสายตาถวิลหาแบบนั้นพอจะเดาได้ว่าบาร์เทนเดอร์คนนั้นเป็นเกย์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญนักหรอก ฉันแค่เป็นพวกชอบสังเกตพฤติกรรมของผู้คนเท่านั้น มันทำให้ง่ายต่อการวางแผนในอาชีพของเรา
"อันนี้เซ็กส์ออนเดอะบีช ผมว่ามันเข้ากับชุดคุณดีนะ"
เครื่องดื่มที่เขาพูดถึงคือค็อกเทลที่ผสมด้วยเหล้าว็อดก้ากับผลไม้ สีของมันออกมาเป็นสีส้มอมเหลืองคล้ายกับชุดของฉันก็จริง แต่ชื่อที่แฝงไปด้วยเลศนัยอย่าง 'เซ็กส์ออนเดอะบีช' นี่มันไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นเลย มันทำให้ฉันยิ่งโมโหและอยากฆ่าเขาขึ้นไปอีก
"ดื่มเพื่อความก้าวหน้าของเรา"
"...ค่ะ"
ฉันตอบสั้นๆ สมาธิหายไปครู่หนึ่งเพราะมัวแต่คิดหาทางใส่ยาพิษลงไปในแก้วของเขาให้ได้
"ให้ฉันเลี้ยงคุณบ้างเถอะค่ะ เอาเป็น...ว็อดก้าซักแก้วก็น่าจะดีนะคะ"
บาร์เทนเดอร์ยื่นว็อดก้าที่เสิร์ฟในแก้วทรงมู่ทู่ บนขอบแก้วนั้นมีมะนาวที่ฝานบางๆ เสียบไว้อยู่ จังหวะที่ฉันจะยื่นแก้วไปให้นิโคลัสฉันก็จัดการเคาะแหวนให้กระทบกับขอบแก้วเพื่อให้ยาพิษเพียงน้อยนิดหยดลงไปในเครื่องดื่มของเขา เขารับความตายที่ฉันหยิบยื่นให้ผ่านว็อดก้าแก้วนั้นโดยไม่เอะใจสักนิด นิโคลัสกระดกเหล้าจนหมด
"ทำไมคุณถึงต้องทิ้งผมไปด้วย...มันดีกว่าผมตรงไหน"
เราสองคนหันกลับไปหาพ่อหนุ่มนักดื่มอีกครั้ง และฉันก็ปิ๊งไอเดียที่ว่า ฉันจะออกไปจากที่นี่โดยไม่ถูกสงสัยได้อย่างไร
"เกรงว่าฉันคงจะต้องบอกลาคุณตรงนี้ซะแล้วสิ" ฉันกล่าวอย่างสุภาพ "ดูเหมือนพ่อหนุ่มคนนี้คงจะเดินกลับห้องไม่ไหวแน่ ฉันขอตัวนะคะ"
นิโคลัสคว้าที่ข้อมือจนฉันสะดุ้งตกใจ ฉันหันกลับไปหาเขาช้าๆ ทำตัวไม่ให้มีพิรุธ มืออีกข้างหนึ่งที่เป็นอิสระของฉันกำลังบีบมือชายคนนั้นจนเลือดแทบจะไม่เดิน อย่าให้เขาจับได้เลย ฉันมีเวลาเพียงสิบห้านาทีเท่านั้นเพื่อหายไปจากที่นี่ก่อนที่ยาพิษจะออกฤทธิ์
"คุณ..." ฉันกลืนน้ำลาย ลุ้นกับคำพูดที่กำลังออกจากปากเขาใจจะขาด
"คุณรู้จักกับเขาหรอ?"
"ฉันนั่งคุยกับเขาอยู่พักนึงน่ะค่ะ เขามานั่งเศร้าๆ ตรงนี้ตั้งนานแล้วก็... อย่างที่คุณเห็นแหละค่ะ"
"คุณนี่เป็นคนดีจริงๆ นะครับคุณผู้หญิง ผมจะให้บอดี้การ์ดช่วยแบกเขาไปละกัน ส่วนคุณก็...อยู่กับผมก่อน"
และเขาก็แอบจับมือฉันอีกครั้งพร้อมสายตาอันน่ารังเกียจนั่น...ฉันอยากจะอ้วก ไม่รู้เป็นเพราะค็อกเทลที่ดื่มเข้าไปหรือการอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นานๆ ด้วย หรืออาจจะทั้งสองอย่าง ฉันไม่มีเวลาแล้ว
"ไม่เป็นไรค่ะ ให้ฉันดูแลเขาเถอะ โชคดีนะคะคุณนิโคลัส"
ฉันใช้ความพยายามสุดท้ายกระชากแขนตัวเองออกอย่างแรงก่อนจะพยุงหนุ่มแปลกหน้าออกจากงานอย่างรวดเร็ว ในที่สุดฉันก็ออกมาจากงานได้โดยไม่ถูกสงสัย...หวังว่านะ
จากนั้นไม่นานฉันก็มายังชั้น 30 ซึ่งน่าจะเป็นชั้นที่เขาอาศัยอยู่ ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ยังเมาไม่ได้สติเหมือนเดิม เมื่อฉันไขกุญแจห้อง 3007 เข้าไปได้เขาก็ทรุดลงไปนอนกับพื้นห้อง ฉันพยายามใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดลากเขาไปที่เตียงนอน อย่างน้อยก็น่าจะดีขึ้น
ฉันใช้ช่วงเวลาระหว่างตอนที่เขาหลับกลับไปยังห้องตัวเองและเก็บกวาดหลักฐานทุกอย่าง ตั้งแต่ชุดยางยืดสีดำจนไปจบที่แหวนเงินที่ฉันซ่อนยาพิษไว้ เพื่อความปลอดภัยของฉันเอง การทิ้งอาวุธในที่เกิดเหตุอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่ยังไงเพื่อไม่ให้ตำรวจสาวมาถึงตัวฉันได้ การทิ้งมันไปยังไงก็คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ฉันกลับไปยังห้อง 3007 อีกครั้งหลังจากที่จัดการข้าวของในห้องตัวเองเรียบร้อย สังเกตจากการที่แขกบางคนกลับมาพร้อมกับสีหน้าตื่นตระหนกแบบนั้นมันก็พอทำให้ฉันเดาได้ว่านิโคลัสคงถูกฉันกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่รอข่าวในเช้าอีกวันและก็ไปรับค่าตอบแทนเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นอันจบงาน
"อือ..."
ดูเหมือนเขาจะเริ่มสร่างเมาแล้ว ฉันยื่นแก้วน้ำเปล่าไปให้เขาดื่มเพื่อให้เขาปรับสภาพร่างกายจากการขาดน้ำเพราะแอลกอฮอล์ เขารับแก้วมาพร้อมสีหน้าแปลกใจ
"ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย?"
"ฉันลากนายมาเอง เห็นว่านายไม่น่าจะมากับใครก็เลย...พานายกลับห้อง"
เขาพยักหน้าหลังจากได้ยินคำตอบจากฉัน
"เธอชื่ออะไร?" เขาถามพลางลุกไปหยิบกระป๋องเบียร์ในตู้เย็นมาทาบไว้บนหน้าผาก
"คาเมรอน สตีล...นายล่ะ?"
"เฮนรี่ มิวส์ ยินดีที่ได้พบนะคุณสตีล โอย..."
แล้วเขาก็ล้มพับไปบนเตียงอีกครั้ง ฉันขำกับการที่เขาดื่มหนักตอนที่อยู่บนดาดฟ้า สุดท้ายก็มาจบที่การเมาเละจนหมดสภาพแบบนี้ ดวงตาสีฟ้าครามนั้นมองที่ฉันเหมือนกับเขาคุ้นเคยกับฉันมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่พิลึกต่อเราสองคน
"อะไร?" ฉันถามห้วนๆ เมื่อเห็นว่าเขาจ้องที่ฉันนานเกินไป
"เปล่า" เขาพูด "เธอทำให้ฉันนึกถึงแฟนเก่าฉันน่ะ เพิ่งเลิกกับเธอเมื่อวานเอง"
"มิน่าล่ะทำไมนายถึงดื่มหนักขนาดนี้...ฉันจะไปขอน้ำขิงมาให้นายดื่มละกัน จะได้หายเมา ฉันก็จะได้กลับไปซะที"
มิวส์คว้าที่มือฉันอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของเขาอุดปากตัวเองไว้ ทันใดนั้นของเหลวอันน่าขยะแขยงที่เรียกว่า 'อาเจียน' ก็พุ่งออกมาประหนึ่งน้ำจากสายยางจนทำให้เตียงหรูเลอะไปทั่ว รวมทั้งเสื้อผ้าของมิวส์ด้วย และเขาก็หนีปัญหาโดยการสลบเหมือดไปอีกครั้ง
"เฮ้อ..."
ฉันใช้เวลาอยู่นานในการใช้เวลาถอดเสื้อผ้าของมิวส์ออก พยายามอดทนกับกลิ่นแอลกอฮอล์และลากเขาไปที่ห้องน้ำก่อนจะเปิดน้ำในอ่าง ระหว่างนั้นฉันเลือกที่จะถอดชุดราตรีออกและคว้าเอาชุดอาบน้ำในตู้เสื้อผ้าของมิวส์มาสวมแทน ฉันเดินกลับไปปิดน้ำก่อนจะค่อยๆ ถูเอาคราบอาเจียนให้เลือนหายไปกับน้ำ
การเห็นผู้ชายเปลือยแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันหรอก ฉันก็ยอมรับนะว่าฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงพรหมจรรย์หรือหญิงขี้อายที่เห็นอะไรแบบนี้แล้วต้องร้องเขินอายเหมือนเด็กสามขวบ อย่างน้อยมิวส์ก็หมดสติ มันทำให้ฉันทำอะไรได้ง่ายกว่าและไม่ต้องคอยมาห่วงว่าจะต้องรับมือกับเขาอย่างไร
"...ดีจัง"
"หา?"
ฉันพูดเสียงหลงก่อนจะเงยหน้ามองมิวส์ เขากำลังยิ้มอย่างชอบใจและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ฉันโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้ามีปืนอยู่ฉันคงจะเป่าสมองเขาไปแล้ว
"ตาบ้า!"
"เอาล่ะๆ ฉันขอโทษที่แกล้งหลับ แต่เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะอ้วกเลยนะ มันห้ามไม่ทันจริงๆ"
"ฉันจะรอข้างนอก"
ฉันพูดโดยแฝงความโมโหในน้ำเสียงอย่างชัดเจนก่อนจะปิดประตูใส่มิวส์ ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวถูกสงสัยฉันคงออกไปจากที่นี่ตั้งนานแล้ว ดูเหมือนฉันคงต้องติดแหงกอยู่กับหมอนี่ซักพักแล้วสิ
ไม่ถึงสิบนาทีมิวส์ก็ออกมาจากห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคลุมส่วนล่างไว้ หุ่นอันแสนเพอร์เฟคจากการเล่นฟิตเนสของเขาที่หาดูได้ทั่วไปที่โรงฝึกของเรา ฉะนั้นฉันจึงไม่ได้แปลกใจอะไรมากมายนัก
"จงใจรึเปล่าเนี่ย?"
"เปล่า ฉันมีแค่สูทนี้ตัวเดียว คิดว่าจะมาค้างสักคืนแล้วก็กลับ โรงแรมมีผ้าเช็ดตัวให้ฉันนี่ก็ดีขนาดไหนแล้ว"
เราสองคนต่างอยู่ในผ้าขนปุยของตัวเอง ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อเราต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไรกัน
"เรื่องแฟนนาย... คงจะแย่มากล่ะสิ" ฉันตัดสินใจเริ่มถามหลังจากอึดอัดกับความเงียบไปพักนึง
"ก็ไม่เชิงว่าแย่หรอก แค่ช็อกนิดหน่อย พอเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็เจอเธอ...นอนกับเพื่อนสนิทของผมเอง"
"แล้ว..." ฉันพูด "เธอก็ขอเลิกกับนาย"
"ใช่ ผมตลกตรงที่เธอบอกว่า 'วิลล์น่ะดีกว่าคุณตั้งเยอะ แถมคุณน่ะใช้แต่ท่าจำเจ น่าเบื่อชะมัด!' ผมเลยไล่ให้เธอไปตายซะแล้วหนีออกมานี่แหละ"
มิวส์ดัดเสียงตัวเองเลียนแบบสิ่งที่แฟนสาวของเธอพูด ถ้าสำเนียงของเธอเป็นอย่างที่เขาทำจริงๆ มันก็คงจะตลกไม่เบา เขาหัวเราะกับตัวเองและกลับไปอยู่ในโหมดอารมณ์เศร้าเหมือนเดิม ฉันลูบหลังเขาเพื่อปลอบประโลม มิวส์กุมมือฉันไว้และหันมาสบตา ดวงตาสีครามที่แสดงอารมณ์ออกมาอย่างจริงใจทำให้ฉันสนใจตัวเขา...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไม่มีคำว่าเมคเซ้นส์สำหรับฉันอีกแล้ว
"อือ..."
เขาโน้มตัวจูบฉันอย่างอ่อนโยน ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาสร่างเมารึยัง แต่ที่แน่ๆ ที่ฉันรู้ตอนนี้คือ เราสองคนอยู่ในห้วงอารมณ์ของความใคร่ มิวส์ดันฉันไปที่เตียงก่อนจะปลดเชือกคล้องเสื้อคลุมออก ฉันเพิกเฉยกับกลิ่นแอลกอฮอล์และคราบอาเจียนอันน่าขนลุกได้และยังแปลกใจกับการตัดสินใจที่กำลังทำอยู่ จากนั้นทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่อยู่ในการควบคุมของฉันอีกต่อไป...
เช้าวันต่อมาเราทั้งสองคนก็ช่วยกันจัดการกับผ้าปูที่นอนซึ่งเต็มไปด้วยคราบอาเจียนและเสื้อผ้าของมิวส์ ฉันเปิดทีวีเพื่อเช็คดูข่าวการตายของหยวน ให้แน่ใจว่าทุกอย่างสำเร็จตามแผน เมื่อเห็นรายงานข่าวและสภาพศพของเขามันก็เป็นหลักประกันให้กับผู้ว่าจ้างได้ว่าเป้าหมายตายแล้วจริงๆ
"พระเจ้า...เมื่อคืนฉันยังนั่งคุยกับเขาอยู่เลย"
"ฉันก็เพิ่งดื่มกับเขาเหมือนกัน..."
ฉันแกล้งแสดงละครโดยการทำสีหน้าให้ตกใจ ดูเหมือนมิวส์จะเชื่อฉันซะด้วย หลังจากที่ข่าวบรรยายจบไปได้ไม่นานก็มีข้อความส่งมายังโทรศัพท์ฉัน ปกติมันไม่ได้บอกอะไรมากนอกจากโค้ดเนมของเราและจำนวนเหรียญทองที่เราได้จากการทำงานเท่านั้น
"ฉันต้องไปแล้ว ขอบคุณสำหรับเมื่อคืนนะ" ฉันพูด "...ขอให้เจอคนที่ใช่สำหรับนายนะ"
ฉันปิดประตูห้องให้เขาก่อนจะกลับไปยังห้องตัวเอง ความสัมพันธ์แบบนี้อาจจะเจ็บปวดต่อเราทั้งสองฝ่ายก็จริง แต่เมื่อเราต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนที่ใช่สำหรับเรา การจากกันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดเท่าไหร่นัก
ฉันเปิดประตูห้องสวีทเข้าไปก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นชายหนุ่มผมทองในชุดสูทสีดำสนิท รอยสักรูปหัวกะโหลกบนต้นคอคือสิ่งที่บ่งบอกว่าพวกเขาคือ 'คีปเปอร์' พวกเขามีหน้าที่ตามเก็บผู้ทรยศในองค์กรของเรา แล้วฉันไปมีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้ทรยศตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
"ลาก่อนมาร์ตินี่"
"ไม่!!!"
ฉันตะโกนลั่นหลังจากที่เสียงลั่นไกของคีปเปอร์คนนั้นดังก้องอยู่ในหัว เหงื่อแตกอยู่บนเตียงทั้งๆ ที่ในห้องก็เปิดแอร์จนเกือบหนาว ฉันตั้งสติอยู่นานก่อนจะกลับไปนอนกอดอีธาน คนรักของฉันไว้เหมือนไม่อยากให้เขาจากไปไหน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอดีตเท่านั้น
[End of Chapter 1]