[Chapter 2] Sweet Dream

4317 Words
หลังจากฝันร้ายนั้นผ่านไป ฉันตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อีธานฟัง เขาเป็นคนที่รู้ว่าฉันเคยเป็นใครมาก่อนและยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันเจอกับเขาเมื่อสามหรือสี่ปีก่อนในร้านอาหารแถวชานเมืองอริโซนา​ เขาเป็นพนักงานคนเดียวที่ฉันเห็นอยู่ในร้าน วันนั้นฉันทำงานตามใบสั่งฆ่าตามปกติ เป้าหมายเป็นชายขี้ยาที่มีประวัติทารุณกรรมเด็ก และคนจ้างก็เป็นเหยื่อของเขาที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากกฎหมาย เด็กสาวอายุสิบเจ็ดเข้ามาขอร้องฉันอย่างน่าเวทนา ใครจะปฏิเสธได้ลงคอล่ะ เป้าหมายเข้ามาในร้านตามเวลาประจำของเขา เพียงแค่ฉันมอมเหล้าตานี่และลากเขาไปที่หลังร้านก็จบงาน ปัง! ร่างของเขานอนจมนองเลือด ฉันเก็บปืนบาเล็ตต้าพีพีเคลงในซองเก็บปืนก่อนจะหาอะไรมาปิดบังศพไว้ แน่นอนว่าปลอกเก็บเสียงนั้นไม่สามารถเก็บทุกอย่างไว้ได้หมด และนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับอีธาน ดวงตาสีมรกตคู่นั้นมองมาที่ฉันอย่างหวาดกลัว แต่เขากลับไม่หนี...ทำไมกันนะ? "ขอบคุณนะ..." คำขอบคุณที่ออกมาจากปากเขาพร้อมรอยยิ้มจริงใจนั้นยิ่งทำให้ฉันยิ่งไม่เข้าใจ ขอบคุณอะไรกัน? อีธานหยิบผ้าถูพื้นและถังน้ำออกมาก่อนจะจัดการกับคราบเลือดบนพื้นโดยที่ไม่พูดอะไรกับฉันอีก เกิดมายังไม่เคยเจอคนพิลึกขนาดนี้มาก่อน และนั้นทำให้ฉันสนใจเขามากพอที่จะอยู่ช่วยเก็บกวาดและจัดการกับศพเป้าหมาย ฉันมารู้หลังจากที่อีธานเริ่มเล่าว่าคนที่ฉันสังหารนั้นคือคนที่ทำร้ายน้องสาวของเขาจนเสียชีวิต ซึ่งอีธานไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดอีกฝ่ายได้ ฉะนั้นใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงขอบคุณฉัน เรานั่งทำความรู้จักกันจนถึงตอนเที่ยงคืนอีกวัน และดูท่าเขาจะไม่ยอมหยุดการสนทนานี้ง่ายๆ ด้วย "ว่าแต่ เธอทำงานแบบนี้มากี่ปีแล้วล่ะ?" "... สิบห้า" "แล้วเธอต้องฆ่าทุกคนเลยหรอ? หมายถึงพวกคนเลวๆ แบบนี้" เขาพูดด้วยท่าทางอยากรู้ "รู้มั้ยว่าฉันภาวนาอยากให้เขาไปตาย แล้วเธอเข้ามา... ปัง! ตอนได้ยินเสียงปืนทำให้ฉันอยากเอเมนให้ท่านเลย" อีธานกล่าวพร้อมยกมือขอบคุณพระเจ้าหรืออะไรก็ตามที่เขาเคารพนับถือ ฉันนั่งฟังอย่างตั้งใจ สิ่งที่อีธานพูดนั้นไม่มีการแต่งเติมคำโกหกใดๆ เขาซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองมากจนบางทีฉันเองก็กลัว แต่ทุกคำพูดที่ออกจากปากเขายิ่งทำให้ฉันสนใจเขามากขึ้นไปอีก เราสองคนนั่งหัวเราะและคุยกันอยู่นานจนกระทั่งมีพวกชายฉกรรจ์หัวเกรียนสามคนเดินเข้ามาในร้าน หนึ่งในนั้นหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาใครบางคน ฉันชายตามองคนพวกนั้นไม่ให้พวกเขาคลาดสายตาไปจากฉัน หนึ่งในนั้นมีเด็กชายอายุไม่เกินยี่สิบอยู่ด้วย "โลแกนควรจะมาแล้วสิ" เด็กที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น "ลองไปดูในห้องน้ำเถอะ" อีกคนตอบกลับ อีธานหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเช่นนั้น จังหวะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกไปฉันก็ยกมือห้ามและใช้สายตาบอกไม่ให้เขาทำอะไร อีธานที่พอจะเข้าใจสถานการณ์ดีพยักหน้าเป็นการตอบกลับก่อนจะนั่งลงเหมือนเดิม ทันใดนั้นก็มีเสียงโวยวายดังมาจากห้องน้ำที่เราซ่อนศพไว้ สามคนนั้นเดินออกมาก่อนจะเดินตรงมาหาเราซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวที่ยังนั่งอยู่ในร้านในเวลาดึกขนาดนี้ "แกคนไหนฆ่าโลแกน" ชายที่โตสุดในกลุ่มกล่าวก่อนจะชักปืนพกออกมา "ฉันจะไม่ถามซ้ำ" เขาหันมาฉันเหมือนต้องการความช่วยเหลือ ฉันยิ้มกลับก่อนจะนั่งจิบกาแฟต่อโดยไม่พูดอะไร ฉันรู้ว่ามันจะทำให้อีธานโมโหกับการที่ฉันนิ่งเงียบใส่ แต่บางทีการอยู่เฉยๆ ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ดูเหมือนมันคงจะไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ "บอกมา ไม่งั้นฉันยิงแกแน่! ใครฆ่าเขา?!" ดูเหมือนเด็กหนุ่มที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มคงจะฟิวส์ขาดจริงๆ เขาดึงสไลด์ปืนเพื่อนบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงและเล็งมันไปที่อีธานโดยไม่สนใจฉันที่นั่งคั่นกลางเขาอยู่เลย อีธานมองฉันอีกครั้ง แววตาดูหวาดกลัวมากกว่าเดิม "พวกนายไม่ควรทำแบบนี้นะ" ฉันพูดในขณะที่ตัวเองกำลังวุ่นอยู่กับการหั่นสเต็ก "แล้วเธอจะทำไม?" เมื่อเขาเปลี่ยนความสนใจมาที่ฉันนั่นก็เป็นจังหวะเหมาะ ฉันส่งสายตาให้อีธานเพื่อบอกให้เขาออกไปจากที่นี่ หรืออย่างน้อยมุดไปหลบใต้เคาท์เตอร์ก็ยังดี ด้วยความที่กลุ่มคนติดอาวุธพวกนั้นหันมาสนใจฉันจึงไม่ได้สนใจอีธานที่ดูไร้พิษภัย กระทั่งอีธานที่จะเข้าไปหลบหลังเคาท์เตอร์ถูกชายที่โตรองลงมากระชากคอเสื้อรั้งไว้ "ฉันฆ่าเขาเอง" ฉันพูดก่อนจะวางมีดหั่นสเต็กลง "ว่าไงนะ..." ชายร่างสูงพูดกัดฟันอย่างโกรธเคืองก่อนจะเล็งปืนตรงกลางหน้าผาก อีธานทำท่าเหมือนจะมาช่วยแต่เขาก็ไม่กล้าพอเพราะชายกล้ามโตอีกคนหยิบมีดพกออกมาและจ่อปลายมีดไปหาอีธานเป็นการขู่ "เชื่อฉันเถอะ มันไม่คุ้มหรอก พวกนายมีพ่อมีแม่...หรือไม่ก็ครอบครัว ฉันไม่อยากทำลายอนาคตคนรอบตัวพวกนายนะ" "หุบปาก!" ปัง! เสียงปืนดังลั่นทั้งร้าน อีธานหลับตาปี๋ด้วยความตกใจก่อนจะลืมตาขึ่้นมาเห็นว่า ฉันจัดการใช้มีดแทงไปที่ข้อมือของเด็กคนนั้นเรียบร้อยแล้ว การแทงโดนเส้นเอ็นแบบนั้นคงทำให้เขาไปซ่าที่ไหนไม่ได้อีกยาว "แก!" อีกคนหนึ่งกัดฟันกรอดก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาหาฉัน ฉันนึกแปลกใจที่ว่าเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กสุดนั้นยืนตัวแข็งไม่กล้าทำอะไร เหมือนเขาไม่ได้ต้องการจะสู้ ใบหน้าไร้เดียงสาที่มองมาเหมือนฉันในวัยเด็ก เหมือนตัวฉันที่ยังไม่รู้ว่าการเลือกทางเดินผิดจะมีจุดจบอย่างไร "จัดการมันสิวะ!" เด็กคนนั้นได้สติก่อนจะหยิบมีดพกออกมา มือสั่นเทาด้วยความกลัว พอชายอีกคนที่ตะโกนวิ่งเข้ามาใกล้จะถึงตัว ฉันก็หยิบมีดอันเล็กที่อยู่ในกระเป๋าขว้างใส่เต็มไหล่เขา แต่หมอนี่ก็ร้ายใช่เล่น เขาหลบมีดฉันไปได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะพุ่งชาร์จใส่จนเราท้้งคู่ล้มลง ชายกล้ามโตบีบคอจนฉันหายใจไม่ออก เขายั๊วะโมโหจนฉันต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ฉันหยิบปืนบาเล็ตต้าที่อยู่ในซองปืนออกมาและเล็งที่กลางหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว "อย่า!" อีธานร้องลั่นเมื่อเห็นฉันกำลังจะลั่นไก ...ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว "อ้ากกกกก" ชายหนุ่มกล้ามโตร้องลั่นเมื่อกระสุนฝังเข้าไปในต้นแขนขวา ยังดีที่ฉันพอมีสติเหลือเพื่อควบคุมตัวเองไว้ แต่ฉันก็ฝึกการใช้ปืนมาหลายปีจนบางทีก็เกือบจะเผลอฆ่าคนรอบตัวเหมือนกันหากพวกเขาโผล่มาดื้อๆ อย่างน้อยพลังของกระสุนก็เพียงพอที่จะทำให้เขาสงบลงได้ ฉันมองที่เด็กหนุ่มตัวเล็กซึ่งยังยืนนิ่งเป็นรูปปั้น ในมือของเขายังกำมีดไว้แน่น "อย่านะ..." เขาอ้อนวอนทั้งน้ำตา ฉันเก็บปืนลงในซองก่อนจะคว้าเอาปลายมีดที่เขาถืออยู่ออกอย่างแรง อย่างน้อยฉันก็พยายามจะไม่ให้เขาทำอะไรบุ่มบ่ามไปมากกว่านี้ เด็กหัวเกรียนทั้งสองที่นอนหมดสภาพบนพื้นตะโกนมาที่เขาอย่างโกรธแค้นและเหยียดหยาม ทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิด "หุบปาก!" ฉันหันกลับไปตะคอกใส่พวกเขา ทุกคนเงียบกริบ เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเหลืองอำพันยังมองฉันด้วยความหวาดกลัว "กลับบ้านซะ" ฉันพูดเสียงเข้มพลางสาวเท้าไปหาเด็กคนนั้น มือที่คว้าใบมีดเริ่มมีเลือดไหลออกมา "กลับไปขอโทษพ่อกับแม่ที่เข้ามายุ่งกัับไอ้กุ๊ยพวกนี้ แล้วอย่าให้ฉันเห็นแกทำอะไรแบบนี้อีก เดี๋ยวนี้!" เด็กหนุ่มคนนั้นสะดุ้งเฮือกก่อนจะวิ่งออกจากร้านทันทีโดยไม่มีการเหลียวหลังกลับมาที่ร้านอีก ฉันมองเลือดสีแดงข้นที่หยดลงจากบาดแผลบนมือก่อนจะหยิบผ้าเช็ดโต๊ะหลังเคาท์เตอร์มาพันรอบบาดแผล ฉันเก็บมีดพับไว้กับตัวเองเพื่อความปลอดภัย หนุ่มกล้ามโตดูเหมือนจะสลบไปแล้ว ส่วนอีกคนนั้นร้องโอดโอยโดยที่มือขวาของเขายังมีมีดหั่นสเต็กที่ฉันใช้แทงคาไว้อยู่ เขาลองพยายามดึงมันออกอยู่นานแต่ดูเหมือนความเจ็บปวดคงจะชนะเสมอจนทำให้เขาเลิกพยายามในที่สุด ฉันจึงย่อตัวลงมาคุย "อย่าดึงเลยถ้านายยังไม่อยากเสียเลือดจนตาย" ฉันพูดเตือนโดยแฝงความหวังดีไว้ "ฟังฉันให้ดีๆ นะไอ้เวร นายกลับไปซะ ทำเหมือนเรื่องวันนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น และถ้าฉันไปรู้ข่าวว่านายไปยุ่งกับเด็กคนนั้น... หรือผู้ชายคนนี้ หรือเรื่องศพในห้องน้ำไปอยู่บนข่าวตอนเช้านี้ ฉันจะตามหานายให้เจอ และจ้วงมีดเล่มนี้ใส่นายอีกรอบ และมันจะไม่หยุดแค่แผลเดียว เข้าใจที่พูดใช่มั้ย?" "นังบ้า" ชายคนนั้นถุยน้ำลายใส่หน้าฉัน หมอนี่มันพวกหัวดื้อของแท้เลยแฮะ ฉันยกมือเช็ดช้าๆ และฉีกยิ้ม จากนั้นฉันก็ยกมือกดที่แผลของเขาอย่างไม่ปรานี ใบหน้าเหยเกและการดิ้นทุรนทุรายทำให้ฉันต้องหยุด ฉันเป็นนักฆ่าก็จริง แต่ฉันก็ไม่ได้สนุกกับมันเท่าไหร่หรอก เฉพาะกับบางคนน่ะ... "เข้าใจใช่มั้ย?" ฉันทวนคำถามซ้ำ "เข้าใจๆ ฉันเข้าใจแล้ว!" ฉันปล่อยมือออก มองมีดที่เสียบลึกกว่าเดิมสลับกับใบหน้าของอีธานที่มองฉันอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทำไมต้องกลัวด้วย? ฉันคิดกับตัวเอง นี่ยังไม่ได้ครึ่งนึงกับสิ่งที่จะทำกับเด็กพวกนี้เลยด้วยซ้ำ ว่าแต่...ทำไม จู่ๆ ฉันเกิดไม่ทำล่ะ? เป็นครั้งแรกที่ฉันปล่อยให้ความปรานีของฉันอยู่เหนือความต้องการสั่งสอนคนพวกนี้ และเป็นเพราะอีธานที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้...งั้นหรอ? "ดูแลตัวเองดีๆ นะ" ฉันยืนขึ้นพูดพลางมองสีหน้าตกใจเล็กๆ ของเขา อีธานกลัวฉัน... ไม่ต่างจากทุกๆ คนที่ฉันสังหารไป ฉันหลบสายตาตู่นั้นและตัดสินใจเดินออกมา ก่อนที่ประตูร้านกำลังจะปิด ผ่านกระจกที่สะท้อนแสงจันทร์ ฉันเห็นว่าเขากำลังโบกมือบอกลาฉันอยู่พร้อมรอยยิ้มพิลึกนั่น ฉันรีบเดินออกมาและอยู่ๆ ก็ยิ้มกับตัวเอง และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันอยากติดต่อกับเขาอีกครั้ง อีธานเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันมีความสุขได้ ไม่สิ...ทำให้ฉันเปลี่ยนไปด้วยซ้ำ ไม่รวมพวกที่ฉันมี 'สัมพันธ์ชั่วคราว' ด้วยหรอกนะ มันเป็นคนละความรู้สึกกันเลย และนักฆ่าอย่างเราๆ ก็ไม่ค่อยได้มีช่วงเวลาแบบนั้นในชีวิตถมเถซะด้วย ฉันมักจะส่งอะไรพิลึกๆ ไปให้เขาอย่างเช่น ปืนกล็อกสิบเก้าที่เขียนโน๊ตส่งความเป็นห่วงไปให้ ส่วนเขาก็จะส่งเค้กหรือไม่ก็ช็อกโกแแลตที่ทำเองกับมือมาให้ฉันผ่านที่อยู่ที่ฉันจ่าหน้าซองไว้ เราไม่เคยได้เจอหน้ากันเลยหลังจากวันนั้น ฉันรู้ว่าความรู้สึกที่เจออีธานในวันแรกมันเปลี่ยนไป แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกแบบเดียวกับที่ฉันรู้สึกหรือเปล่า... "สตีล?" เสียงทุ้มเข้มของเขาปลุกฉันจากภาพความทรงจำ ฉันหันมามองอีธานที่นั่งอยู่ในรถมัสแตงปีหกเก้า สีดำสลับเทาของฉัน ดูท่าฉันคงจะเหม่ออยู่นานจนเขานึกว่าฉันเป็นอะไรไป "เธอโอเครึเปล่า?" "ฉันโอเค..." อีธานเสียบกุญแจรถก่อนจะขับออกไป เรามีจุดหมายที่ชายหาดเนเปิลส์ในฟลอริดาตอนใต้ ไกลจากบ้านของเราเกือบๆ เจ็ดไมล์ แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงที่จุดหมายในเวลาเกือบเย็น อีธานวิ่งนำฉันไปที่ชายหาดและกระโดดอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ เขามักจะทำแบบนี้ทุกครั้งเมื่อเรามาถึงที่นี่ "ดูสิสตีล! เรามาทันพระอาทิตย์ตกดินพอดีเลย" ฉันนั่งลงข้างๆ เขา ลูบผมของเขาที่ปลิวตามแรงลม ผมสีน้ำตาลลอนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของอีธาน มันแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากห้าปีที่แล้ว ฉันออกจากองค์กรสองปีหลังจากนั้นก่อนจะมาใช้ชีวิตเงียบๆ ในฟลอริดา มันเป็นสิ่งที่ฉันโหยหามานาน สำหรับเด็กที่ถูกทอดทิ้งเช่นฉัน "ทำไมเราถึงมาจบแบบนี้ได้ล่ะ อีธาน?" "ว่าไงนะ?" เขาคงไม่เข้าใจว่าฉันจะถามไปทำไม "นายรู้ว่าฉันเป็นนักฆ่า...ฆาตกร ทำไมนายถึงเลือกฉันทั้งที่--" "เธอไม่ใช่ฆาตกรเลยสตีล เธอจัดการคนพวกนั้นในขณะที่กฎหมายทำอะไรพวกเขาไม่ได้ และพอฉันเห็นสิ่งที่เธอทำในร้าน ฉันเลยมั่นใจว่าเธอไม่ใช่ฆาตกรเลือดเย็นแบบนั้น" มันเป็นความแตกต่างที่มีเส้นบางๆ กั้นไว้ 'นักฆ่า' หน้าที่ของฉันคือจัดการคนตามใบสั่งที่ลูกค้าให้มา ส่วน 'ฆาตกร' ใช่...พวกเขาสนุกกับการฆ่า ไม่ได้ฆ่าด้วยความจำเป็นอย่างฉัน คนพวกนี้มีเยอะซะด้วยในองค์กรของเรา เท่าที่ฉันได้ยินมาเป็นครั้งสุดท้ายก็มีแค่คนหรือสองคนที่เป็นแบบนั้น นักฆ่าหนุ่มแอฟริกาคนหนึ่งในองค์กรก็มีคุณสมบัตินั้นเช่นกัน ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้ทำงานกับเขายังเป็นภาพติดตามาโดยตลอด เขากรีดเอาหัวใจสดๆ จากศพที่เราเพิ่งฆ่าไปขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ฉันในตอนนั้นซึ่งมีทางเลือกไม่มากตัดสินใจยิงเขาด้วยปืนช๊อตไฟฟ้าและโทรเรียกหน่วยเก็บกวาดมาช่วยพาเขากลับไป หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอหน้าเขาอีกเลย "แล้วเธอล่ะสตีล...ทำไมถึงชอบฉันงั้นหรอ?" "ไม่รู้สิ นายแปลกดีมั้ง คนแบบไหนกันที่กล้ายิ้มบอกลาตอนที่เลือดเต็มตัวฉันแบบนั้น ก็มีแต่นายใช่มั้ยล่ะ" เขาหัวเราะชอบใจ และเราสองคนก็ไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้เสียงคลื่นกระทบเม็ดทรายและขอบฟ้ากลืนกินแสงตะวัน แต่เราอยู่ได้ไม่นานก็มีฝนห่าใหญ่ไล่เราทั้งสองออกจากชายหาด ฉันตัดสินใจค้างคืนที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่แถวๆ นั้น คิดไว้ว่าเช้าอีกวันค่อยเดินทางกลับ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า...ขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย หลังจากเราได้ห้องพักแล้ว ฉันนอนดูทีวีบนเตียง อีธานทำท่าทางลุกลี้ลุกลนอยู่ในห้องน้ำอยู่นานก่อนจะออกมาพร้อมสีหน้าผิดหวัง "เป็นอะไรหรอ?" เขาเดินคอตกมาขนาดนั้นฉันคงต้องถามอยู่แล้ว "เปล่า...ผมลืมของสำคัญน่ะกะว่าจะเอามาให้ แล้วก็ลืมจนได้" "กลับไปเดี๋ยวค่อยให้ก็ได้ ไม่เป็นไรน่ะ" ฉันพูดปลอบใจเขา อีธานยิ้มเศร้าก่อนจะล้มตัวนอนและผลอยหลับไปเงียบๆ คืนนั้นฉันพยายามที่จะหลับ ลุกขึ้นกลางดึกหลายรอบ ฉันปล่อยให้อีธานนอนอยู่ในห้องและเดินออกไปสูบบุหรี่นอกระเบียง เขาเคยขอให้ฉันเลิกสูบ แต่ก็มีบ้างที่ฉันจะแอบสูบคนเดียวหลังจากเจอเรื่องเครียดๆ อย่างน้อยมันก็ทำให้สมองฉันปลอดโปร่งได้เล็กน้อย ฉันกลับไปอาบน้ำและแปรงฟัน พอล้มตัวนอนได้ไม่นานเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น นี่ฉันสูบบุหรี่ทั้งคืนเลยหรอ? รู้สึกเหมือนผ่านไปแค่แป๊บเดียว แน่นอนว่าอีธานลุกขึ้นมาก่อนฉันพร้อมท่าทางกระปรี้กระเปร่า ส่วนฉันก็โผล่หัวออกจากผ้าห่ม อยากนอนต่ออีกซักห้านาที แต่ความคิดนั้นก็ผลุบหายเข้าไปในสมองเหมือนเดิมเมื่ออีธานเร่งเร้าฉันให้ออกไปจากโรงแรมให้เร็วที่สุด ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องรีบขนาดนี้เหมือนกัน เราแวะที่ปั้มน้ำมันก่อนจะไปถึงที่บ้าน เป็นปั้มที่อยู่ห่างจากบ้านของเราไม่มาก อีธานมีหน้าที่เติมน้ำมันตามที่เราตกลง ส่วนฉันก็เข้าไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อหาเสบียงตุนไว้ กาแฟซักกระป๋องก็น่าจะดี "เฮ้ย" ฉันได้ยินเสียงจากด้านหลัง เป็นกลุ่มชายสามคนที่กำลังยืนคุยกันพร้อมกับมองมาที่ฉัน แน่นอนว่าฉันกลัว...ไม่ไว้ใจจากสายตาแบบนั้น ฉันรีบหยิบของที่ต้องซื้อและเดินไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินอย่างรวดเร็ว หวังว่าพวกเขาคงจะไม่ตามมา เพราะฉันก็ไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาเหมือนกัน "เสร็จแล้วใช่มั้ยอีธาน" "อีกแป๊บนึง" พวกเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในร้านเดินตามฉันออกมา ดูเหมือนพวกเขาคงไม่รู้เลยว่าฉันมากับอีธาน หรือพวกเขาคงรู้แต่ไม่สนใจ ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่ดูเหมือนเป็นหัวโจกเดินมาหาอีธานและทิ้งก้นบุหรี่ที่สูบเสร็จแล้วลงตรงหน้าเขา "เฮ้พวก...นายจะเอาเท่าไหร่?" "ว่าไงนะ?" "ฉันจะจ่ายให้นายสองเท่า ไม่มีรอยดูด ไม่ช้ำ สะอาดหมดจด" ฉันที่ยืนฟังกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ไม่คิดว่าเด็กที่ตรงหน้าฉันจะกล้าพูดขนาดนี้ แต่ความโกรธที่ฉันมีก็แทบจะเทียบกับอีธานไม่ติด เวลาเขาโกรธอาจจะไม่ค่อยแสดงออกมากนัก แต่ถ้าเผลอไปทำให้เขาโมโหเข้ามากๆ จนเกินขีดจำกัด บางทีฉันเองก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน อีธานหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะมองมาที่ฉันเป็นการบอกให้ขึ้นรถไปก่อน แต่ฉันยังยืนอยู่ตรงนั้น อย่างน้อยฉันก็ไม่ยอมให้เขาเผชิญหน้ากับพวกนี้ลำพังแน่ "ฉันว่าแกพูดจากวนตีนแล้วไอ้หนู" "อีธาน ไปกันเถอะ" ฉันลากอีธานกลับไปที่รถ วางค่าน้ำมันในตะกร้าจ่ายเงิน หวังว่าพวกเขาจะยอมสงบศึก แต่มันไม่ใช่เลย... "ไอ้ขี้ขลาด" เด็กหนุ่มผมบลอนด์พูดลอยๆ แต่เหมือนตั้งใจจะเจาะจงมาที่อีธานโดยเฉพาะ คราวนี้ฉันห้ามเขาไม่อยู่ และในที่สุดเขาก็ฟิวส์ขาดตรงเข้าต่อยเด็กคนนั้นจนหงายหลังลงไป วัยรุ่นผมแดงอีกคนชักปืนขึ้นมาและเล็งไปที่เขา ฉันตัดสินใจดึงอีธานให้ไปยืนด้านหลังฉันและเดินเข้าหาปืน แน่นอนว่าฉันกลัว แต่ฉันไม่อาจเสี่ยงให้เขารับมือได้ "เอาเลยสิ...ยิงเลย แต่ถ้าไม่ ก็เดินออกไปซะ ต่างคนต่างไป" ฉันพูด ในใจนึกอยากจะต่อยเด็กนี่ใจจะขาด "อย่ามาท้าฉันนะ!" เขาขึ้นนกปืนอย่างชำนาญ ฉันจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าพลาด...ฉันก็ตาย ฉะนั้นฉันจะตายไม่ได้เด็ดขาด ปัง! ฉันเบี่ยงตัวหลบทันที ไม่คิดว่าจะหลบทันด้วยซ้ำ แต่จะคาดหวังอะไรกับปืนลูกโม่ที่ต้องขึ้นนกปืนแบบนี้กันล่ะ? ฉันบิดข้อมือของเด็กหนุ่มอย่างแรงก่อนจะแย่งปืนมา รู้สึกภูมิใจนิดๆ เหมือนตัวเองเป็นเดอะวันในหนังเรื่องเดอะ เมทริกซ์ยังไงไม่รู้ ฉันปลดเอากระสุนจุดสามแปดออกและเก็บกระสุนใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง ฉันหายใจรัวอย่างตื่นเต้นเพราะไม่คิดว่าการตอบสนองที่ตัวเองเคยมีจะเอามาใช้อีกรอบได้ดีขนาดนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นการหักหน้าเด็กพวกนั้น และฉันก็ได้สติและเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป "อีธาน ขึ้นรถไป! ส่วนพวกเธอ... ฉันขอโทษด้วย" ฉันพูดก่อนจะโยนปืนทิ้งไป จากนั้นก็ผลักอีธานขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ ฉันตัดสินใจเป็นคนขับแทนเขา ก่อนจะออกไปฉันพยายามเพ่งสายตาไปที่กระจกหลังจนเห็นว่าเด็กพวกนั้นเดินหายเข้าไปในร้านแล้ว ฉันจึงกลับมามีสติขับรถได้ "คุณไม่ควรทำแบบนั้นนะสตีล" "หมายถึงอะไร ที่ฉันขอโทษพวกเขาหรือที่แย่งปืนมา?" ฉันถามอย่างหงุดหงิด "ทั้งสองอย่าง" ฉันถอนหายใจก่อนจะเหยียบคันเร่งเต็มที่ อันที่จริงอีธานไม่ควรจะโกรธฉันด้วยซ้ำ ฉันไม่ใช้ปืนกระบอกนั้นยิงเด็กนั่นก็ดีแค่ไหนแล้ว ส่วนเรื่องขอโทษ ถ้าไม่ถือว่าเป็นเด็กที่มีปัญหาแบบนี้ฉันคงไม่พูดให้เปลืองน้ำลายหรอก ไม่นานนักเราก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย เราสองคนช่วยกันทำมื้อเย็นด้วยกันหลังจากกลับมาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แน่นอนว่าฉันไม่ได้เป็นคนปรุงหรอก แค่ช่วยหั่นเนื้อกับผักก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว อีธานวางจากสเต็กเนื้อปลาดอลลี่ข้างๆ กับถ้วยสลัด ฉันนั่งรออยู่นานจนเขากลับมา...พร้อมกล่องสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ อีธานเดินมาและคุกเข่าตรงหน้าฉัน "พระเจ้า..." ฉันอุทานและใช้มือกุมปากด้วยความตกใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะรู้สึกยังไง "ผมรู้ว่าโต๊ะอาหารมันไม่ใช่ที่ๆ เหมาะจะขอแต่งงานหรอกนะ แต่...วันนี้มันเป็นวัน--" "ครบรอบวันแรกที่เราเจอกัน..." ฉันมองอีธานที่เปิดกล่องแหวนออก มันเป็นแหวนเงินธรรมดาที่ไม่ได้ดูพิเศษอะไรมากนัก มีตัวหนังสือสลักไว้ว่า 'Always Still In My Heart' "มันไม่ได้แพงอะไรมากมายหรอก ผมขอโทษที่--" "มันสวยมากเลยล่ะ...ขอบใจนะอีธาน" ฉันยื่นนิ้วนางข้างขวาให้เขาสวมแหวน อีธานยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงหูก่อนจะหยิบแหวนเงินออกมาจากกล่อง ฉันมองเขาค่อยๆ สวมแหวนจนเรียบร้อย ฉันรู้ดีว่าคนบาปอย่างฉันไม่สมควรได้รับอะไรแบบนี้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นผลตอบแทนอันคุ้มค่าจากการกลับตัวกลับใจของฉัน และหวังเหลือเกินว่าพระเจ้าจะเห็นใจให้ฉันได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตที่ดีอีกครั้ง ฉันลูบแหวนวงนั้นตั้งแต่ที่ทานข้าวเย็นจนกระทั่งถึงเวลานอน เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองจะได้นอนหลับฝันดีหลังจากหลอนกับอดีตในช่วงนี้ และส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ลืมไม่ค่อยลงเท่าไหร่ด้วย แต่แล้วฉันก็ตื่นขึ้นกลางดึกเหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา คราวนี้อีธานไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ ฉันเหมือนอย่างเคย ฉันคิดในแง่ดีกับตัวเองว่าอีธานคงไปเข้าห้องน้ำชั้นล่าง จนเมื่อเวลาผ่านไปหลายนาทีเขาก็ยังไม่กลับขึ้นมา ฉันติดสินใจหยิบไฟฉายและปืนบาเร็ตต้าเก้าสองเอฟเอสเดินลงไปด้านล่าง ไม่ลืมที่จะลดนกปืนลงและปลดเซฟ ชั้นล่างตั้งแต่ขั้นบันไดยาวจนไปถึงห้องครัวมีรอยเลือดลากเป็นทางอยู่ ฉันเริ่มใจคอไม่ดี พยายามรวบรวมสติที่มีอยู่พาตัวเองเดินเข้าไปในห้องครัว มือที่ถือปืนและไฟฉายสั่นไปตามการเต้นของหัวใจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเงียบสงัดฉันจึงเรียกชื่อเขาออกมาเบาๆ "อีธาน?" ปึ๊ก! ฉันถูกของแข็งบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง รู้สึกมึนไปหมด และฉันก็ล้มลง ไฟในห้องสว่างขึ้นจนทำให้ฉันได้เห็นชายฉกรรจ์ในชุดแจ๊กเก็ตและโม่งคลุมหัวสีดำ ส่วนอีธานนั้นนอนหายใจรวยรินอยู่กลางห้องพร้อมแผลและรอยช้ำเต็มตัว "ไหนดูซิ...บาเล็ตต้าซะด้วย ท่าจะเป็นตำรวจเก่าแฮะ" หนึ่งในนั้นหยิบปืนของฉันขึ้นมา ฉันไม่มีแรงมากพอที่จะเปล่งคำพูดขอร้องหรือตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ด้วยซ้ำ ฉันมองที่อีธานพร้อมกับใช้สายตาอ้อนวอนพวกเขา "เธอไม่น่ายั่วโมโหฉันเลยหว่ะ" เสียงนั่น...เหมือนกับที่ได้ยินในร้านค้าปั้มน้ำมันไม่มีผิด ใช่แล้ว พวกนี้คือเด็กวัยรุ่นที่ฉันและอีธานไปมีเรื่องด้วย แต่พวกเขาหาฉันเจอได้ยังไง!? ไม่มีทางที่พวกเขาจะขับรถตามฉันมาทันแน่ "ฝันดีนะคนสวย" และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนจะถูกต่อยเข้าที่ตาขวาอย่างจัง [End of Chapter 2]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD