ฉันสับสนว่าควรจะเรียกเขาว่ายังไง คำถามทุกอย่างถาโถมเข้ามาในสมอง นี่มันบ้าอะไรกัน? เด็กเนิร์ดผมบลอนด์ที่ฉันเคยเจอในตอนนี้กลายเป็นนักสืบหนุ่มอนาคตไกลไปแล้ว นีโอคว้าไหล่ทั้งสองข้างของฉันและจุมพิตโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาไม่ได้บดขยี้จูบแรกจนดูน่าเกลียด เหมือนที่ฉันเคยทำกับเขานั่นแหละ จากนั้นฉันจึงเริ่มแทรกลิ้นเข้าไปและให้ลิ้นของเขาผ่านเข้าไปในปากฉัน นีโอเอียงหัวเล็กน้อยให้ฉันสามารถจูบเขาได้ โดยที่มืออันแสนซุกซนของเขาบีบเค้นที่บั้นท้ายของฉัน นีโอแทรกลิ้นเข้ามาลึกกว่าเดิมเมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของฉัน
นี่ล่ะจุดอ่อนอย่างหนึ่งของฉัน ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำทุกอย่างพัง...โดยเฉพาความรู้สึกที่ฉันมีต่อนีโอตอนนี้อาจก่อเรื่องยุ่งยากในอนาคต ฉันเกาะเขาไว้และส่งจูบอย่างดูดดื่ม นีโออุ้มและพาร่างฉันที่กำลังตัวลอยเหนือพื้นไปพิงกับประตูระเบียง นีโอถอดเดรสแขนยาวและยกทรงลูกไม้ของฉันออก ประตูกระจกบานเลื่อนใสมากเสียจนฉันกลัวว่าจะมีคนเห็น ฉันดันตัวเองออกเพื่อเป็นการบอกว่าฉันไม่ต้องการร่วมรักกับเขาตรงนี้ นีโอจูบพรมที่ซอกคอและลงต่ำไปที่หน้าอกของฉัน ฉันครางไม่เป็นศัพท์
"นีโอ...ช-ช้าลงหน่อย"
ฉันเห็นรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าของเขา จากนั้นก็ถูกนีโอยกไปที่เตียงทั้งสภาพแบบนั้น เขาถอดกางเกงบ๊อกเซอร์ออกและมองฉันที่กำลังตื่นตัว ฉันกลัว...นีโอคุกเข่าลงและคลานมาหาฉัน ระหว่างที่เรากำลังเล้าโลมกันนีโอก็แอบดึงชิ้นส่วนสุดท้ายที่ปกปิดส่วนลับของฉันออก และในที่สุดฉันก็เปลือยต่อหน้าเขาโดยสมบูรณ์ นีโอละจูบก่อนจะมองที่ฉัน
"เธอโอเคใช่มั้ย?" นีโอถาม หัวฟูๆ ของเขามันช่างดูดีเสียจริง ฉันรู้สึกเหมือนเขากำลังจะฆ่าฉันด้วยสายตาเร่าร้อนเช่นนั้น ฉันกำลังนอนเปลือยกายต่อหน้าคนที่ฉันเพิ่งจะรู้ว่าเป็นรักแรกของฉัน แต่ในใจก็นึกโกรธตัวเองที่ทรยศต่อความรู้สึกของอีธาน
"นายจะไม่ทำร้ายฉันเหมือนคนพวกนั้นใช่มั้ย?"
"ไม่แน่นอน" เขายกมือลูบใบหน้าฉันด้วยความอ่อนโยน "และฉันจะปกป้องไม่ให้มีใครมาทำร้ายเธอได้อีก"
เขาพูดก่อนจะเริ่มโน้มตัวลง ใช้ลิ้นของเขาสัมผัสรอบเนินอกของฉันที่ตัวแข็งเกร็งด้วยความกลัว ฉันไม่ได้มีอะไรวาบหวามแบบนี้มานับตั้งแต่ที่อีธานจากไป นีโอแทบจะกลืนกินฉันเข้าไปทั้งตัว ฉันบิดตัวเพื่อลดความเสียววาบที่กำลังส่งผ่านไปทั่วร่าง...ฉันตอบรับสิ่งที่เขากำลังให้ด้วยความเต็มใจ นีโอกดตัวฉันให้นอนบนเตียง
นีโอหยุดสิ่งที่เขาทำอยู่ก่อนจะเดินไปหยิบห่อฟรอยเล็กๆ และฉีกมันออก เขาทำถูกแล้วล่ะ...ฉันไม่ได้อยากท้องตอนนี้ และเขาก็เดินกลับมาหลังจากทำให้ตัวเองปลอดภัยแล้ว ทุกอย่างเหมือนแค่กดหยุดไว้และกดปุ่มเล่นต่อไป ฉันยังบิดตัวไปมาเหมือนเด็กน้อยจนนีโอต้องคว้ามือทั้งสองข้างไว้
"หยุดดิ้น" เขากำชับด้วยเสียงนุ่มนวล ฉันพยักหน้าก่อนจะปล่อยให้เขาเป็นคนควบคุม เขายังคลำหน้าอกก่อนจะขึ้นมากัดริมฝีปากของฉันอีกครั้ง นีโอเล้าโลมอยู่นานจนในที่สุดเขาก็แทรกกายเข้ามาในร่างฉัน บริเวณอ่อนไหวตรงนั้นรู้สึกปวดหนึบ เขาเริ่มขยับตัว มือทั้งสองข้างที่ล็อกข้อมือไว้ทำให้ฉันขยับไปไหนไม่ได้ นีโอโน้มตัวลงมาและพรมจูบทั่วร่างก่อนที่เขาจะเหยียดตัวขึ้นมา
"เจ็บมากรึเปล่า?" เขาถามฉันและหยุดทุกอย่าง "เราหยุดได้นะ"
"ไม่เป็นไร…"
"แน่ใจนะ?"
ฉันหลบตาเขา เสียงกระชิบในใจบอกว่าฉันควรจะหยุด...หยุดทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้แล้วกลับไปทำสิ่งที่ฉันควรต้องทำซะ นีโอหน้านิ่วคิ้วขมวดบอกว่าเขากำลังโกรธที่ฉันไม่ตอบอะไร ฉันมองที่นีโอและถอนหายใจ ฉันไม่อยากให้เขาต้องมาอยู่ในชีวิตเส็งเคร็งของฉัน ชีวิตที่ทุกๆ วันเขาจะต้องถูกพวกนักฆ่าตามล่าเพราะฉัน นั่นไม่ใช่สิ่งที่นีโอสวมควรจะได้รับหรอก จริงมั้ย?
"ก่อนเราจะมีเซ็กส์กัน ฉันอยากทำให้เราเข้าใจเรื่องนี้กันทั้งคู่… หลายเรื่องเลย"
"ฉันเริ่มจะกลัวเธอแล้วสิ" นีโอถอยออกมาและยิ่งมองจ้องเข้ามาในตาฉัน
"ฉันชอบทำงานคนเดียว"
"เหมือนกัน"
"ฉันห่วงตัวเองก่อน"
"เธอยังมาช่วยฉันเลยนี่" นั่นก็เรื่องจริง
"ทุกคนที่ฉันรัก…ทุกๆ คนที่อยู่ใกล้ฉัน ต้องตายเพราะฉัน"
นีโอเงียบไป ปฏิกิริยาของเขาทำให้ฉันคิดว่าเขาคงกลัวฉันมากกว่าเดิม นีโอปัดผมที่บังหางตาฉันออก และดวงตาสีฟ้าครามนั่นก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
"ฉันจะไม่ปล่อยให้สาวน้อยผมบลอนด์คนนั้นวิ่งหนีฉันไปเหมือนตอนนั้นอีก เข้าใจมั้ยสตีล?"
ฉันพยักหน้า จากนั้นนีโอก็จูบฉันอีกครั้ง ตอนนี้เราสองเหมือนยานอวกาศที่กำลังเคลื่อนตัวด้วยความร้อนและพลังงานมหาศาล เขากดฉันลงและกระแทกแก่นกายเข้ามารุนแรงยิ่งกว่าเดิม นีโอร้องคำรามและกระหน่ำความเป็นชายของเขาโดยไม่หยุดพัก ฉันบีบไหล่เขาแน่น จนกระทั่งฉันเป็นคนที่ถึงจุดสุดยอดก่อน
นีโอที่เห็นฉันนอนหอบอยู่พาแก่นกายของเขาออกมาก่อนจะมอบจูบให้บนหน้าผาก ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ขยับตัวเขาก็ล็อกข้อมือทั้งสองข้างของฉันไว้อีกครั้ง นีโอก้มลง ลมหายใจของเขายังหนักหน่วง…เร่าร้อน ฉันอยากจะตายตรงนี้เลย
"ฉันยังไปไม่ถึงเลยนะสตีล ไม่แฟร์เลย"
ฉันร้องด้วยความตกใจเมื่อนีโอยกร่างฉันไปที่โต๊ะทานข้าวด้านนอก ฉันนั่งอยู่ที่ขอบโต๊ะและนีโอก็พาแทรกตัวเข้ามาอีกครั้ง ฉันใช้มือโอบต้นคอเขาไว้ คราวนี้นีโอเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ทำให้ฉันเจ็บจนต้องร้องออกมา แต่มันกลับรู้สึกดีชะมัด
"ฮะ-นีโอ!"
"ฉันชอบตอนเธอร้องแบบนั้นนะ ร้องอีกทีสิ" นีโอจูบยั่วฉันหนึ่งครั้งก่อนจะหยุด เหมือนเขาอยากจะให้ฉันเป็นฝ่ายรุกบ้าง ฉันยิ้มและมอบจุมพิตของฉันให้เขา และนีโอก็เริ่มเร่งจังหวะอีกเล็กน้อยระหว่างที่เราจูบกัน
นีโอร้องคำรามด้วยน้ำเสียงขาดช่วง แล้วเขาก็ปลดปล่อยเข้ามาในตัวฉัน เราสองคนหอบและหมดสภาพอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ฉันมองนีโอและก็มองส่วนนั้นที่ยังไม่กลับไปเป็นเหมือนที่มันควรจะเป็น
"ฉันหมดแรงแล้ว…" ฉันตัดบทนีโอที่เงยหน้ามอง เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวและทำให้ผมที่ยุ่งเหยิงในตอนแรกชุ่มไปด้วยเช่นกัน
"ไปพักกันเถอะที่รัก"
และนีโอก็อุ้มฉันในสภาพอ่อนระทวยกลับไปที่ห้องนอน นีโอวางฉันบนเตียงและจุ๊บที่แก้มขวา หลังจากนั้นเขาก็ล้มตัวลงนอนข้างฉัน ดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นมองที่ฉัน เป็นประกายเหมือนของอีธานไม่มีผิด อีธานกำลังโกรธฉันและไม่ให้อภัย หรือกำลังนึกถึงตัวเองที่เคยมีความสุขกับฉันอยู่กันนะ?
"เธอกำลังคิดถึงเขา" นีโอพูด "คิดถึงอีธาน"
"อย่าพูดเชียวนะว่านายอิจฉาคนตายน่ะ"
ฉันตอบเขาไปเท่านั้น นีโอขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น แขนขวาของเขาโอบฉันไว้และรัดแน่นขึ้นเหมือนไม่อยากให้ฉันจากเขาไปไหน
"เธจะไม่ทิ้งฉันไปใช่มั้ยสตีล?"
"นายหลับเถอะนะ"
ฉันรู้สึกอบอุ่นในอ้อมกอดของเขา ฉันแกล้งหลับอยู่พักนึงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง นีโอหลับไปแล้ว…ฉันมุดตัวออกมาและหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจายอยู่ทั่วมาใส่ให้เรียบร้อย นีโอยังนอนพริ้มอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ามีความสุข ฉันรู้ว่าการทิ้งเขาไปตอนนี้มันดูใจดำ แต่ความสัมพันธ์ของเราควรจะเป็นเพียงเท่านี้ หวังว่าความรู้สึกผิดต่ออีธานจะหายไปในรุ่งเช้า
"ฉันรักนายนะ นีล"
ฉันจุ๊บที่แก้มนีโอก่อนจะออกมา ฉันมองที่เขา...ใบหน้าพริ้มหลับเหมือนลูกแมวนั้นสะกดฉันได้อยู่หมัด ฉันอยากจะสัมผัสริมฝีปากของเขาอีกสักครั้งแต่ก็สะบัดความคิดนั้นออกจากหัว
"ไว้เจอกันนะ"
"สตีล?"
ผมบิดขี้เกียจและหันไปเพื่อจะกอดสตีล แต่เธอไม่อยู่บนเตียงแล้ว ผมมองไปที่โต๊ะทานข้าวด้านนอก ตรงที่เราเพิ่งจะมีอะไรกันบนนั้น มีแพนเค้ก กาแฟและเสื้อผ้าของผมวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ผมคว้าผ้าเช็ดตัวปกปิดส่วนล่างไว้และเดินไปที่โต๊ะตัวนั้น มีโน้ตสั้นๆ ที่สตีลเขียนทิ้งไว้
'ขอโทษนะที่ต้องออกไปก่อน ฉันจะแวะไปที่โบสถ์ แล้วเราค่อยเจอกันนะ
สตีล'
ผมหัวเราะ จนสายตาเหลือบไปเห็นกระดาษอีกใบที่เสียบอยู่ใต้จานแพนเค้กที่เขียนหน้ากระดาษไว้ว่า 'ป.ล.' ผมพลิกดูโดยไม่ลังเล และข้อความในนั้นก็ทำให้ผมประหลาดใจไปพักใหญ่
"เธอนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ"
ฉันจอดรถที่หน้าโบสถ์แห่งเดิมด้วยความรู้สึกที่แปลกไป บานประตูถูกเปิดแง้มไว้...ฉันหยิบปืนพกออกมาและดันประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง มีรอยเลือดลากเป็นทางตั้งแต่หน้าประตูไปถึงด้านในครัวและแยกออกอีกรอยไปยังห้องสารภาพบาป ฉันหวังว่าพวกเขาจะปลอดภัยทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องแบบนั้นมันต้องเกิดขึ้นแน่ กระทั่งฉันเดินไปที่ห้องครัวและเจอศพหลวงพ่อซามูเอลนอนคว่ำหน้าจมกองเลือด ฉันทรุดลงและสะอื้นอยู่ตรงนั้น พยายามเขย่าร่างให้เขาฟื้นทั้งที่รู้ว่ามันไร้ประโยชน์ สัตว์นรกตัวไหนกันที่ฆ่านักบวชได้ลงคอ
"ไม่…ฉันขอโทษ"
ฉันลุกขึ้น รู้สึกผิดที่ฉันไม่ยอมมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน ฉันปาดน้ำตาก่อนจะรีบเดินออกไปที่ห้องสารภาพบาป หวังว่าบาทหลวงออสก้าจะยังไม่ตาย ถึงแม้ฉันจะเห็นศพหลวงพ่อซามูเอลแล้วก็เถอะ ฉันเปิดประตูและเจอเขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ตราบใดที่ฉันยังไม่เห็นรอยกระสุนบนหน้าผากของเขาฉันก็ยังพอมีหวังว่าเขาอาจจะรอด
"หลวงพ่อออสก้า...ออสก้า!"
"แค่ก!"
ฉันแทบอยากจะร้องไห้เมื่อเขาฟื้น ฉันบังคับให้ออสก้านอนราบและฉีกเสื้อออก ฉันหงุดหงิดเล็กน้อยที่แสงส่องเข้าไม่ถึงและผลักประตูไม้แกะสลักออกอย่างแรง และรีบกลับมาสนใจบาทหลวงหนุ่มที่อาจจะหลับไปได้ตลอดกาล
"มองที่ฉันนะ ฟังฉัน อย่าหายใจแรงเข้าใจมั้ย"
"หลวงพ่อ...หลวงพ่อซามูเอลล่ะ..."
"เขา...สลบอยู่ที่ครัว" ฉันโกหก จากการที่เขาตัวซีดขนาดนี้ ฉันบอกได้เลยว่าเขาเหลือเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นฉันไม่อยากพูดอะไรที่มันสะเทือนใจเขาตอนนี้เพื่อเร่งเวลาตายให้เร็วขึ้นหรอก
ฉันยังกำชับให้เขานอนนิ่งๆ ระหว่างที่ฉันเดินหาหมอนหรืออะไรตามที่ช่วยห้ามเลือดได้ ฉันกลับมาอีกครั้งและเห็นหลวงพ่อออสก้าหลับไป ฉันเดินไปเขย่าร่างเขาจนออสก้าฟื้นอีกครั้ง...หลังจากฉันใช้หมอนยกขาทั้งสองข้างและกดแผลห้ามเลือด ฉันรีบกดโทรหาเบอร์ฉุกเฉิน
'สายด่วนเก้าหนึ่งหนึ่ง มีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรคะ?'
"มีคนถูกยิงค่ะ เอ่อ...กระสุนทะลุ ฉันคิดว่าอาจจะเฉียดไตไปนิดหน่อย...นายกรุ๊ปเลือดอะไรนะ?"
"เอ…"
"ค่ะ เตรียมกรุ๊ปเลือดเอไว้ด้วยนะคะ ฉันอยู่ที่โบสถ์เซาท์บีชค่ะ ตอนนี้เขาเริ่มไม่ตอบสนองแล้ว"
‘เราจะส่งฮ.ไปรับนะคะ ได้โปรดห้ามเลือดเขาไว้จนกว่าหน่วยแพทย์จะไปถึง--’
ฉันกดวางสายและรีบหันกลับมาห้ามเลือดให้บาทหลวงออสก้า เขารู้ดีว่าตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับความตาย ฉันรู้ว่าเขาจะทำอะไร ฉันรู้ดี...และเขาก็เริ่มสวดบทภาวนา
"ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพระองค์ยอมรับต่อพระเจ้าว่า ข้าพระองค์เป็นคนบาป และเชื่อว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อไถ่ข้าพระองค์ให้พ้นจากบาป และทรงฟื้นคืนพระชนม์เพื่อกระทำให้ข้าพระองค์เป็นคนชอบธรรม ข้าพระองค์จึงขอรับและยอมรับพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้าให้รอด ในพระนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน"
"ไม่ใช่เวลาที่จะตายต่อหน้าฉันนะ"
ฉันยังนั่งห้ามเลือดให้เขาอยู่พักนึง รู้สึกว่านานเป็นชั่วโมงจนกระทั่งเสียงฮ.กระทบโสตประสาทของฉันจากไกลๆ ฉันไม่กล้าที่จะปล่อยมือออกจากผ้าห้ามเลือดและให้หน่วยปฐมพยาบาลเป็นคนเข้ามาในนี้เอง ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก แพทย์ฉุกเฉินหนุ่มผมบลอนด์และแพทย์สาวอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับเปลหามและอุปกรณ์ช่วยชีวิต จากนั้นฉันจึงปล่อยมือออกมาและให้พวกเขาดูแลบาทหลวงหนุ่มต่อ
"ฝากดูแลเขาด้วยนะคะ..."
ฉันมองร่างของหลวงพ่อซามูเอลในห้องครัวและเดินหนีออกมาด้านนอก ฉันไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าออสก้า เพราะเขาต้องรู้แน่ว่าหลวงพ่อซามูเอลตายไปแล้ว และฉันไม่อยากให้เขาตรอมใจตายไปซะก่อน ฉันหนีออกมาจนถึงหน้าหลุมศพของอีธาน ทรุดตัวลงที่ตรงนั้น พยายามกลั้นน้ำตาไว้จนเมื่อโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น
'สวัสดีคุณสตีล'
"นั่นใครน่ะ?"
'คุณน่าจะรู้จักผมอยู่แล้วนี่ ไม่มากก็น้อย...'
"คีปเปอร์? นี่ฝีมือนายใช่มั้ย...นายฆ่านักบวชพวกนั้นลงคอได้ยังไง!"
ฉันไม่ได้ยินคำตอบจากเขา ฉันแทบจะลืมไปหมดแล้วว่าคีปเปอร์ในตอนนี้หน้าตาเป็นยังไง ถ้าไม่นับตอนที่ฝันถึงเขาล่าสุดฉันก็ลืมไปจริงๆ ล่ะ เมื่อพอจะควบคุมสติได้ฉันจึงเปลี่ยนคำถาม
"นายต้องการอะไร?"
'ก็แค่จะมาบอกว่าเราเตรียมหลุมศพไว้ให้คุณแล้ว' ยิ่งพูดฉันยิ่งไม่เข้าใจ แต่ก็พอรู้อยู่ล่ะว่าเขาต้องการให้ฉันตาย
"งั้นฉันจะรอละกัน วันที่พวกนายใช้วิธีใสสะอาดกว่านี้"
'ไม่แปลกที่วิกโก้เคยปลื้มคุณมาก หวังว่าเราจะได้เจอกันเร็วๆ นะครับ'
คีปเปอร์วางสายไป จากสายของคาร์ลก็ดังขึ้นแทบจะทันที ฉันกดรับและรู้ว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉัน
'สตีล เธออยู่ที่ไหนน่ะ?'
"อยู่ที่โบสถ์" ฉันรวบรวมสติเพื่อพูดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา "ไอ้สารเลวพวกนั้นฆ่าบาทหลวงที่ช่วยฉันไว้"
'...เสียใจด้วยนะ เธอฟังฉันให้ดีนะสตีล จำเมื่อวานที่เธอไปช่วยนักสืบนั่นได้มั้ย?'
"จำได้สิ แล้วก็มีเอฟบีไอบุกเข้ามา ฉันยังไม่รู้เลยว่าพวกเจ้าหน้าที่เข้ามาได้ไง"
'ฉันได้ข่าวมาว่าวิกโก้เป็นคนส่งข่าวให้เจ้าหน้าที่เอง...แล้วเขาก็โยนความผิดมาที่เธอ บอกคนเบื้องบนว่าเธอเป็นคนเรียกเอฟบีไอพวกนั้นมา'
"อะไรนะ?!"
ฉันไม่อยากจะเชื่อคำพูดของเขา ไม่ใช่แค่ลูกชายเขาที่คอยสร้างปัญหาให้ฉันให้วุ่น คราวนี้วิกโก้เข้ามาเกี่ยวด้วย ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาช่วยลูกชายเฮงซวยอย่างลูคัสด้วยรึเปล่า แต่สำหรับฉัน เขากำลังประกาศสงครามให้ฉันรู้ว่าเขาพร้อมจะฆ่าฉันเพื่อปกป้องลูคัส และวิกโก้คงไม่ได้สนผลที่ตามมาด้วยเรื่อง 'กฎของเจ้าหน้าที่' ถ้าเบื้องบนรู้ว่าวิกโก้ขายองค์กรให้เอฟบีไอ...ฉันคงไม่ต้องสาธยายให้มากความหรอกว่ามันจะเป็นยังไง
"ฉันเดาได้เลยว่าเบื้องบนสั่งเก็บฉันใช่มั้ย?"
'ใช่ ฉันอยากจะบอกเธออีกเรื่อง' คาร์ลลังเลใจที่จะบอกจนเขาเอ่ยปาก 'ฉันคงช่วยเธอไม่ได้แล้ว ถ้าคนของวิกโก้รู้ว่าฉันเจอเธอแต่ไม่จัดการอย่างที่เป็น เขาจะจัดการฉัน...ด้วยวิธีของเขา ขอโทษด้วยนะ'
"...ฉันเข้าใจคาร์ล ฝากดูแลทอยเกอร์ด้วยนะ"
'ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว'
"เดี๋ยวก่อน ฉันอยากฝากให้นายไปบอกวิกโก้หน่อย"
'ได้ ว่ามาสิ'
"บอกเขาทีว่า ใครหน้าไหนที่กล้ามาหือกับฉัน ฉันจะไม่เก็บพวกมันไว้แน่ ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด ฆ่าให้ตายห่าไปเลย"
คาร์ลดูจะตกใจกับคำพูดนั้นนานพอสมควร แต่ฉันพูดจริง และจะทำจริงๆ ด้วย ฉันเบื่อกับการมาเล่นเกมแมวจับหนูนี้เต็มทีแล้ว ถึงเวลาที่ฉันจะต้องดึงปีศาจในตัวออกมาและเป็นฝ่ายล่าเสียบ้าง
'โชคดีนะสตีล ขอให้พระเจ้าเข้าข้าง'
ฉันกดวางสายเขา มองฮ. ฉุกเฉินที่กำลังบินขึ้นสู่ท้องฟ้ายามบ่ายแก่ไปพร้อมกับฝูงนก จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบ สายลมอ่อนๆ ทำให้ที่นี่เป็นดินแดนรกร้างและหดหู่ไม่ต่างจากภายใน ฉันเดินกลับไปที่รถมัสแตงก่อนที่พวกตำรวจจะมาและอาจทำให้ฉันเสียเวลาไปมากกว่านี้ คนใกล้ตัวฉันตายไปอีกคนแล้ว...นี่แหละชีวิตนักฆ่าที่ฉันเกลียด ฉันกำหมัดแน่น นึกถึงหน้าสารเลวทุกคนที่ต้องการให้ฉันตาย
'ฉันจะดึงนายลงนรกไปพร้อมกับฉัน ลูคัส'
[End of Chapter 14]