[Chapter 13] The Lovers

3397 Words
"แน่ใจนะว่าเป็นที่นี่น่ะคาร์ล?" 'แน่ใจสิ นั่นเป็นกบดานชั้นดีของยูกะเลยนะ ฉันจะลองดูว่าตรงไหนเป็นที่มุดหัวของเธอได้บ้าง อาจจะใช้เวลาซักพักนะ' ฉันตัดสินใจหยิบบุหรี่สูบหลังจากที่คาร์ลหายไปจากสายนานพอสมควร ตรงข้ามอู่เรือที่อยู่ใกล้กับสนามบินประมาณสองร้อยเมตร ฉันจำทุกตารางนิ้วของที่นี่ได้ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีที่ให้ยูกะซ่อนตัวอยู่ด้วย ระหว่างนั้นความคิดที่ว่างเปล่ากลับนึกถึงเรื่องเก่า...ทั้งเรื่องอีธาน เรื่องพ่อ ฉันยังกลับไปเคารพหลุมศพของพ่อทุกปี เขาเป็นทหารนาวิกที่ดีคนหนึ่ง และฉันก็รักเขามากกว่าใคร พ่อชอบสอนอะไรหลายอย่างเช่นเรื่องการยิงปืน การเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังจากที่รู้ว่าพ่อตายในสงครามชีวิตฉันก็เริ่มแย่ลง 'ความเศร้าจะทำให้เราจมดิ่งสู่เบื้องล่าง' พ่อจะชอบพูดแบบนี้เสมอ คำพูดของเขาทำให้ฉันยืดหยัดได้ด้วยตัวเองจนถึงวันนี้ ส่วนนีโอ เจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาและดวงตาสีครามที่ทำหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ฉันเคยเกลียดที่เขาหน้าเหมือนอีธานเกินไป แน่นอนว่าหลังจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ฉันเคยคิดเหมือนกันว่าถ้าไม่ช่วยเขาไว้ในวันนั้น ตอนนี้ฉันจะเป็นอย่างไรบ้าง อาจจะดีขึ้น หรือแย่ลง...แต่ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขาในตอนนี้มันเปลี่ยนไป ฉันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก จะเรียกว่ารักมันก็ไม่ใช่หรอก ฉันแค่รู้สึกดีเมื่อมีเขาอยู่ข้างๆ เท่านั้น 'สตีล ยังอยู่รึเปล่า?' "ได้อะไรบ้างคาร์ล" 'เข้าไปจนสุดทางขวามือจะมีเชลเตอร์หลังคาสีแดงอยู่ เธอลองลัดเข้าทางป่าข้างๆ ก็ได้ แต่ระวังเจองูเข้าล่ะ' "ขอบใจนะ" 'เดี๋ยวก่อน!' ฉันยั้งมือทันก่อนจะกดวางสายหูฟังบลูทูธ แต่คาร์ลไม่ยอมพูดตอบ "อะไร?" '...สัญญานะว่าเธอจะรอดกลับมา' ฉันเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่ตอบเขา เพราะฉันไม่กล้าสัญญาน่ะสิว่าฉันจะรอดกลับไปรึเปล่า แต่ก็ยังเชื่อว่าโชคจะยังเข้าข้างฉันอยู่ ไม่มีใครรู้นอกจากพระเจ้าหรอกว่าฉันจะช่วยนีโอออกมาได้หรือไม่ แต่ถ้าฉันตาย...ใครจะสนกันล่ะ ผมครางด้วยความเจ็บปวดและถ่มเลือดจากแผลที่กระพุ้งแก้มออก ยูกะใช้สนับมือต่อยที่กรามผมอีกครั้งก่อนจะถอดมัน เธอเดินไปนั่งรินชาลงแก้วและนั่งที่โซฟาเดี่ยวอย่างสบายใจ ผมคิดว่าอย่างน้อยกลิ่นชาอาจจะพอทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาได้ แต่ไม่ใช่เลย...ประสาทสัมผัสรับกลิ่นของผมไม่ทำงาน ผมภาวนาขอแค่ให้มันเกิดชั่วคราวเท่านั้น "ชาสักแก้วมั้ย?" "ถ้าได้ก็ดี ใส่น้ำผึ้งสักสองสามช้อนก็คงจะเข้าท่าเหมือนกัน" "ตลกดีนี่ แต่ทำไมนายถึง...หน้าซีดแบบนั้นล่ะ?" ยูกะจิบชาอีกครั้งและวางแก้วบนโต๊ะ "กลัวฉันหรอ?" "เปล่า" ผมตอบโดยไม่ลังเล “แค่คิดอยู่ว่าสตีลจะทำอะไรกับเธอบ้าง” "สตีลจะทำอะไรฉันได้" ยูกะยิ้มเยาะ "ดูตอนที่เธอตามฉันเข้าไปในป่าสิ ออกมาสภาพเธอเป็นยังไงล่ะ?" ผมไม่กล้าพูดอะไรเพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนนี้อันตรายกว่าสตีลหลายเท่า เธอพร้อมจะทำลายสิ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ ทิ้งได้อย่างไม่ใยดี เป็นนักฆ่าที่ไร้ความปรานีโดยแท้จริง ยูกะเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับที่ช็อตไฟฟ้าในมือ ผมถูกเธอบีบแก้มอย่างแรงก่อนจะยัดเยียดจูบที่ไม่ต้องการ ยูกะแทรกลิ้นเข้ามาและกึ่งบังคับให้ผมมีอารมณ์ร่วมกับเธอ และเมื่อยูกะเห็นว่าผมไม่เล่นด้วยเธอจึงใช้ที่ช็อตไฟฟ้าทำร้ายผมอีกครั้ง ผมตายแล้วงั้นหรอ? นั่นเป็นความคิดแรกที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะมองไปรอบๆ และจำได้ว่ามันเป็นอดีตที่ผมลืมมันไม่ลง เย็นวันที่สายฝนเริ่มตกโปรยลงมา และการที่ผมได้เจอเด็กสาวผมบลอนด์คนนั้น... เย็นวันนั้น ผมในวัยสิบสองเป็นเพียงเด็กเนิร์ดใส่แว่นหนาเตอะ ผมสีบลอนด์อ่อนๆ ที่ยาวเกือบเท่าทรงบ๊อบของเด็กผู้หญิง และผมก็มักจะโดนล้อว่าเหมือนเด็กผู้หญิงประจำ เพราะงั้นผมจึงมีเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย ผมกลับมาถึงบ้านหลังจากหาหนังสือเจอแล้ว อันที่จริงหนังสือเล่มนั้นไม่ได้มีอะไรสำคัญมากหรอก แต่ถึงจะพูดว่ามันไม่ได้สำคัญแต่สุดท้ายผมก็ยังเก็บมันไว้อยู่ดี ผมเปิดประตูเข้ามาและเดินเลี่ยงคนในร้านเดินขึ้นไปชั้นสอง วางกระเป๋าที่ปลายเตียงและมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างที่ผมชอบทำทุกวัน ฝนตกลงมาแรงขึ้นก่อนที่ทัศนียภาพด้านนอกจะถูกบดบังจนแทบจะมองไม่เห็น ทุกๆ วันผมพยายามหาจุดหมายว่าผมมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร มีเมียสักคนเหมือนที่พ่อเคยบอกผม? แต่พอเห็นชีวิตคู่ที่พ่อต้องเจอผมยอมที่จะเป็นโสดดีกว่า ผมถอดหูฟังออกหลังจากได้ยินเสียงแม่โวยวายจากอีกห้อง เลยลองแง้มหน้าต่างดูและเห็นภาพที่แม่กำลังเทชามเศษอาหารลงไปที่ด้านล่าง ดังนั้นผมจึงเริ่มมองต่ำลงไปเพื่อหาว่าใครเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกแม่ทำแบบนั้น เด็กสาวในชุดคลุมกำลังมองแม่ด้วยสายตาอ้อนวอน "นังเด็กเหลือขอ! ฉันชักเบื่อหน้าพวกแกเต็มทีแล้ว อย่าให้ฉันเรียกตำรวจมานะ!" เธอมองเศษอาหารพวกนั้นเหมือนพิจารณากับตัวเองว่ากินได้รึเปล่า สุดท้ายเธอก็ยอมแพ้และเดินออกจากหน้าร้าน เธอเดินข้ามไปที่อีกฝั่งด้วยสภาพอ่อนแรงก่อนจะล้มลงที่ต้นเมเปิ้ล ผมมองดูอยู่นานว่าเธอจะขยับหรือไม่ แต่เธอก็ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น...ผมกลัวเหลือเกินว่าเธอจะตายจนเริ่มหาทางทำอะไรซักอย่าง สิ่งที่แม่ไม่สังเกตเลยคือทุกๆ วันจะมีเบอร์เกอร์ที่พ่อกับผมช่วยกันทำหายไปหนึ่งชิ้นเสมอ ผมเป็นคนขอกับพ่อที่จะพกเบอร์เกอร์ไปกินตอนมื้อเที่ยง ดีกว่ากินอาหารรสชาติจืดชืดในโรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่วันนี้ผมอยากจะเก็บเบอร์เกอ์ชิ้นนี้ไว้กินตอนมื้อดึก ผมจึงเหลือเบอร์เกอร์กลับมาที่บ้าน ผมแอบย่องลงมาจากห้องนอนเมื่อรู้ว่าจะทำอะไรต่อ พ่อที่กำลังบริการลูกค้าอยู่หันมาสบตากับผมก่อนจะเปลี่ยนสายตาเป็นการเร่งเร้าให้ผมรีบออกไปจากร้าน จังหวะที่ผมกำลังจะวิ่งออกไปแม่ก็กระชากคอเสื้อผมจากด้านหลังจนผมหงายหลัง ทุกคนในร้านหยุดสนใจมื้อเย็นของพวกเขาก่อนจะหันมามองเหตุการณ์อย่างสนใจ "ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ว" แม่ดึงผมขึ้นมา "ถ้าแกอยากช่วยพวกมันมากนักก็ออกไปจากบ้านซะ!" แม่ตะคอกและตบที่แก้มผมอย่างแรง ผมถูกผลักไปที่หลังบ้าน แว่นทรงกลมหนาเตอะที่ผมใส่เหล่น]'และถูกเธอเหยียบจนแตก ผมมองอะไรไม่เห็นและลื่นหน้าคะมำอีกครั้งก่อนจะพยายามมองไปรอบๆ จนเห็นแม่ที่กำลังถือเข็มขัดในมือ ผมหันหลังกลับด้วยความกลัวและถูกแม่ฟาดเข้าที่กลางหลังเต็มแรง ผมมั่นใจเลยว่าตอนนั้นผมร้องเสียงดังมากจนพ่อต้องเปิดประตูออกมาห้ามแม่ไว้ "กลับเข้าไปก่อนนีล! ไปสิ!" พ่อหันมาและคว้าแม่ที่กำลังสติแตก ผมพยักหน้ากับพ่อก่อนจะวิ่งกลับเข้ามาในร้าน คว้าเอาเบอร์เกอร์บนชั้นติดมือมาอีกหนึ่งอัน ทุกคนในร้านมองผมด้วยความตกใจ แต่ผมไม่ได้สนใจพวกเขาและวิ่งออกมาจากร้านมุ่งหน้าไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอเงยหน้ามองผมอย่างสงสัยจนเมื่อผมโยนเบอร์เกอร์สองชิ้นที่ได้มาลงบนตักของเธอและเตรียมจะวิ่งกลับไป แต่เธอดึงมือผมไว้ "อะไร?" ผมหันกลับไปถาม พยายามหรี่ตามองว่าเธอหน้าตาเป็นยังไงแต่ก็ไม่เป็นผล "นายเลือดออกน่ะ" "อ๋อ..." ผมลองเอื้อมมือแตะที่หลังและพบว่ามีเลือดซึมออกมาจริงๆ พอเห็นแบบนั้นประสาทสัมผัสรับความเจ็บของผมก็ทำงานทันที ดูเหมือนจะเป็นแผลหนักซะด้วย ถึงว่าคนในร้านถึงมองผมด้วยสายตาแปลกๆ "ขยับมานี่เร็ว” เธอเปิดฮู้ตที่สวมออกและหยิบผ้าก๊อซจากในกระเป๋าเป้ออกมา ผมค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งเพื่อรับความช่วยเหลือจากเธอ เด็กสาวผมบลอนด์ที่อายุน่าจะห่างจากผมไม่มาก อาจจะอายุเท่าผมเลยด้วยซ้ำ เธอมีดวงตาสีฟ้าเทาที่หาได้ยาก ทำไมเด็กแบบนี้ถึงมาเร่ร่อนได้ล่ะ? ผมคิดและหันหลังให้เธอทำแผลได้สะดวก "ไปโดนอะไรมาน่ะ?" "เข็มขัดน่ะ ฝีมือแม่ฉันเอง คงโกรธที่ฉันแอบขโมยไอ้นี่มาให้เธอ" ผมได้ยินเสียงถอนหายใจ ดูเหมือนเธอคงจะชินกับการได้ยินเรื่องแบบนี้บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้หวังว่าเธอจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ผมหรี่ตามองใครบางคนที่กำลังเดินออกมาจากร้านและมุ่งหน้ามาหาผม ตอนแรกผมนึกว่าเป็นแม่ที่จะมาลากผมเข้าไป แต่ไม่ใช่...พ่อเดินมาพร้อมกับร่มคันหนึ่ง "นีล…พ่อขอโทษนะ ลูกเจ็บมากรึเปล่า?" พ่อเดินมาก่อนจะย่อตัวลงมาถามผมด้วยความเป็นห่วง "ไม่เป็นไรครับ" ผมกำลังจะหันไปบอกเด็กสาวคนนั้นให้ทักทายพ่อ แต่เธอหายไปแล้ว...หายไปโดยที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวในพุ่มไม้ เธอคงกลัวหรือไม่ก็อยากจะหนีไปให้พ้นหน้าเฉยๆ ผมยังมองกดดันให้เธอออกมาจากพุ่มไม้ พ่อและผมมองหน้ากัน เขาน่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของแม่สาวคนนั้นแต่คงไม่กล้าทำอะไรเช่นกัน "เข้าบ้านกันเถอะ" ผมพยักหน้า มองดูผ้าพันแผลที่เธอพันห้ามเลือดไว้และนึกขอบคุณที่ช่วยผมไว้ เธอคงไม่อยากรู้สึกติดหนี้บุญคุณผมล่ะมั้งถึงเลือกที่จะทำแบบนี้ พ่อจูงมือพาผมขึ้นไปยังห้องนอน สายตาพร่ามัวของผมยังคงจ้องที่ต้นเมเปิ้ลต้นเดิม และเงาตะคุ่มของเธอก็วิ่งหายไปอีกทาง ฉันมองร่างนักฆ่าสองคนที่เฝ้าทางเข้า พวกเขาตายแล้ว และแน่นอนว่าฉันเป็นคนที่ยัดลูกกระสุนเข้าไปในหัวพวกเขาเอง ฉันมองประตูบานใหญ่ตรงหน้าและภาวนาให้นีโอยังมีชีวิตอยู่ แต่การที่ฉันไม่เห็นวี่แววของยูกะนั้นทำให้ฉันหวั่นใจ ฉันเปิดประตูเข้าไปและเจอนีโอที่เสื้อขาดวิ่นนั่งหมดสติอยู่บนเก้าอี้ หน้าอกมีรอยไหม้เล็กๆ อยู่สองสามจุด ฉันพลิกดูและพบว่ากรามขวาของเขามีรอยช้ำเล็กน้อย "นีโอ…นีโอ! ได้ยินฉันมั้ย?" "...ทำไมช้าจังเลย" เขาพูดในขณะที่ยังก้มหน้าหลับตา "ก็มาช่วยแล้วนี่ไง" ฉันใช้มีดตัดสายหนังที่รัดข้อมือออก พอนีโอลุกยืนได้เขาก็แทบจะล้มลงทันที ฉันช่วยพยุงและกำลังจะเดินออกมา "สตีล ถึงกับบุกมาช่วยสุดรักของเธอถึงที่เลยนะ" จินเดินเข้ามาพร้อมกับพวกนักฆ่าเกือบโหล ทุกคนเล็งปืนกลเก็บเสียงพร้อมจะยิง ฉันดันให้นีโอไปอยู่ข้างหลังและพาดนิ้วไว้ที่ไกปืน ฉันจ่อปืนไปที่จินซึ่งตอนนี้ตาข้างขวาของเขาถูกแทนที่ด้วยผ้าปิดตาสีดำ บาดแผลที่ฉันสร้างไว้ "ผ้าปิดตาสวยดีนี่ ฉันน่าจะแทงลึกกว่านั้นสักสองนิ้ว" ฉันพูดยียวน จินกระตุกยิ้มเป็นการบอกให้ฉันรู้ว่าเขาโกรธขนาดไหน "รู้มั้ย ถ้าวิกโก้ไม่สั่งให้ฉันฆ่าเธอ ป่านนี้ฉันคงชำแหละเธอเป็นชิ้นแล้วโยนลงแม่น้ำไปแล้ว...วางปืนลงเถอะ" ฉันและนีโอมองหน้ากันอีกครั้ง ดูเหมือนเขาคงไม่ยอมให้ฉันยอมแพ้แบบนั้น และแน่นอนว่าฉันยังคงจ่อปืนไปที่จินเพราะรู้ว่าเขาคงไม่ฆ่าฉัน และจินก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องนั้นดี "นายก็รู้ว่าฉันไม่เล่นตามกฎบ้าๆ ของนายจิน" "งั้นคงต้องยัดกระสุนใส่ขาเธอซักหน่อยล่ะ" "เอฟบีไอ! วางอาวุธและยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้!" ฉันตกใจที่มีเอฟบีไอบุกเข้ามาหาเราทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่มีวี่แววของพวกเขาเลยซักนิด นักฆ่าพวกนั้นหันไปจัดการเจ้าหน้าที่ที่บุกเข้ามา ส่วนจินหันกระบอกปืนมาหาฉันเตรียมพร้อมที่จะยิง "หลบ!" ฉันบอกกับนีโอเพื่อให้เขาไปอีกทาง และฉันก็หยิบระเบิดออกมาสองลูก ฉันโยนระเบิดลูกแรกซึ่งเป็นแก๊สน้ำตาทำให้พอจะหลบสายตาพวกเจ้าหน้าที่และนักฆ่า จากนั้นฉันใช้ฟันดึงสลักระเบิดอีกลูกออกและโยนไปที่ผนังซึ่งฉันคาดเดาว่ามันเชื่อมกับแม่น้ำ รถของฉันจอดอยู่ที่อีกฝั่ง สิ่งที่ต้องทำคือว่ายน้ำออกไปพร้อมกับนีโอ "นังบ้า! โผล่หัวออกมาสิวะ!" ฉันคงได้ยินเสียงจินกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง นีโอรีบวิ่งมาหาฉัน แต่เมื่อเขาเห็นแม่น้ำเบื้องหน้าเขาก็ชะงักไปและหันมามองฉันเพื่อขอคำตอบ "บอกทีว่าเราจะไม่กระโดดลงไป" นีโอถาม ฉันกุมมือเขาไว้แน่นเมื่อเห็นแม่น้ำเบื้องล่าง "ต้องโดดเดี๋ยวนี้" ฉันบังคับ แต่ขายังแข็งทื่ออยู่กับที่ "นับสามสิ" นีโอให้ข้อสรุป เราสองคนบีบมือไว้แน่นก่อนจะเริ่มนับพร้อมกัน "หนึ่ง..." "สอง" ฉันสูดลมเข้าเต็มปอด "สาม!" และเราสองคนก็กระโดดลงไปพร้อมกัน ทุกอย่างมืดลงก่อนที่ฉันจะลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำไปพร้อมกับนีโอ ฉันดึงมือนีโอให้มาเกาะตัวฉันไว้ ปล่อยให้กระแสน้ำพาเราห่างออกจากที่นั่นอีกประมาณสามร้อยเมตรจนฉันลอยไปถึงอีกฝั่งและคว้าเชือกที่ผูกไว้กับต้นไม้ริมแม่น้ำไว้ได้ แน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ในแผน ฉันพานีโอที่เริ่มอ่อนแรงจากการบาดเจ็บขึ้นรถและใช้ผ้าขนหนูคลุมตัวเขาไว้ "นายไม่เป็นไรนะ..." "ฉันโอเค" นีโอพูดทั้งที่ตัวสั่น ฉันสตารท์รถและขับออกไปจากป่าริมแม่น้ำแห่งนั้นโดยมีนีโอนอนไม่ได้สติอยู่ที่เบาะหลัง ฉันมองเขาผ่านกระจกหลังด้วยความเป็นห่วง​​​และเร่งเครื่องให้เร็วกว่าเดิม ฉันตัดสินใจพานีโอมาพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งมีเครือข่ายอยู่ในธุรกิจขององค์เช่นเดียวกับโรงแรมควอซ์ แต่ที่นี่ออกจะแตกต่างไปซักหน่อย มันไม่ได้เป็นโรงแรมที่ให้บริการนักฆ่า...เรียกว่ามันเป็นโรงแรมสำหรับชายหญิงอารมณ์เปลี่ยวจะดีกว่า แต่ฉันมีทางเลือกซะที่ไหนล่ะ "เฮ่พ่อหนุ่ม! ช่วยอะไรฉันอย่างสิ" ฉันเปิดประตูเข้ามาและตะโกนเรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินให้บริการลูกค้าอยู่รอบๆ บาร์ชั้นล่าง เด็กหนุ่มผมเผือกที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นรัดรูปตัวน้อย เขาแทบจะวิ่งปรี่เข้ามาหลังจากเห็นนีโอที่เริ่มไม่ได้สติเพราะพิษไข้ "มีอะไรให้ช่วยคะคุณผู้หญิง?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบหญิงสาว ฉันกลืนน้ำลายเล็กน้อยและกำลังคิดว่าจะเริ่มสนทนายังไง "ฉันอยากได้ห้องพักที่มีอ่างน้ำอุ่น แล้วก็" ฉันลองล้วงกระเป๋าและยื่นแบงก์สิบเหรียญที่ชุ่มน้ำออกมาสองใบ "ฉันจะให้ทิปนายยี่สิบเหรียญถ้านายช่วยพาเขาขึ้นไปข้างบน" "ถึงให้ฟรีฉันก็ยอมช่วยค่ะ" ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เงินในมือฉันก็หายไปอยู่กับเขาแล้ว และเด็กน้อยคนนั้นก็กวักมือเรียกเพื่อนอีกคนมาช่วยพานีโอขึ้นลิฟท์ไปด้านบน "ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกนะคะ ขอให้มีความสุขกับการพักผ่อนค่ะ" เขาปล่อยตัวนีโอลงบนเตียงและเดินออกไป ฉันมองนีโอซึ่งตัวเปียกอยู่ตอนนี้และหยิบเสื้อที่ฉันยืมคาร์ลโยนไปให้เขา เขาที่พอจะรู้สึกตัวบ้างแล้วมองเสื้อที่ฉันส่งไปให้และมองอยู่ครู่หนึ่ง "ของอีธานหรอ?" "เปล่า ของคาร์ล ไปอาบน้ำแล้วทำตัวให้อุ่นซะก่อนที่นายจะไม่สบายไปมากกว่านี้" ฉันพูดเป็นเชิงบังคับก่อนจะคว้าเสื้อผ้าของตัวเองเดินเข้าห้องน้ำเป็นคนแรก แต่ฉันเพียงแค่เช็ดตัวและสวมเสื้อตัวใหม่ ฉันออกมาจากห้องน้ำและเห็นนีโอกำลังถอดกางเกงที่เปียกชุ่ม เหลือเพียงบ๊อกเซอร์ที่ปิดบังส่วนล่างของเขา "ขอโทษที แต่แบบนี้ตัวแห้งไวกว่า" นีโอพูดก่อนจะเดินไปเปิดพัดลมที่อยู่ตรงปลายเตียง และเขาก็ยืนผึ่งบ๊อกเซอร์อยู่ตรงนั้น บนแผ่นหลังเปลือยเปล่า...รอยแผลเป็นยาวถึงกลางหลังยังคงส่งเสียงของเด็กน้อยคนหนึ่งก้องอยู่ในหัวฉัน ฉันลุกขึ้นก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่คาใจอยู่ออกไป "แผลเป็นนี่...เกิดอะไรขึ้นกับนายน่ะ?" เขาหันมาเมื่อได้ยินที่ฉันพูด ฉันมองดวงตาสีฟ้าครามของเขาเป็นประกายเหมือนตอนที่แสงแดดส่องผ่านน้ำทะเล ประกายแบบนั้นในสายตาของเขามันเป็นได้ทุกอย่าง ฉันเดินเข้าไปหานีโอและลูบรอยไหม้ที่ยูกะทำไว้กับเขา และทันใดนั้นเขาก็คว้าหมับที่ข้อมือฉันและดึงเสื้อแขนยาวฉันขึ้นไป แผลกรีดตามยาวที่ฉันพยายามทำเพื่อหนีจากเรื่องบ้าๆ ในชีวิตปรากฏต่อหน้าเขาในระยะใกล้ "ตอนนั้นฉันอายุสิบสอง เย็นวันนั้น...ฉันเจอเด็กเร่ร่อนคนนึงกลางสายฝน เธอผมบลอนด์...ตาสีเทา อายุห่างจากฉันไม่มาก ฉันแอบขโมยเบอร์เกอร์ให้เธอ และฉันก็โดนแม่ฟาดจนต้องให้แม่สาวคนนั้นช่วยทำแผล" นีโอหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ฉันพูดอะไรไม่ออก "ฉันตามหาเธอมานานมาก นึกว่าเธอจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ ฉันตามหาเจ้าของดวงตาสีเทามานานขนาดไหนรู้มั้ย? สตีล" เขายิ้มอีกครั้ง และในตอนนั้นเองฉันก็เข้าใจว่าเขาคือคนที่ฉันไม่อาจลืมได้ รักแรกของฉัน... "นายคือ...นีล" ฉันตัดสินพูดออกไป น้ำตาเริ่มเอ่อล้นดวงตาทั้งสองข้างก่อนจะรีบใช้มือทั้งสองข้างปิดปากที่กำลังเริ่มสะอื้น ความผูกพันที่ฉันและเขามีร่วมกัน ความผูกพันเดียวที่ฉันรู้สึกในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญกับความสิ้นหวัง และเขาก็หน้าเหมือนอีธานเหลือเกิน...พระเจ้าคิดจะเล่นตลกอะไรกับฉันกันนะ? ความรู้ชาไปทั้งตัวเพราะความตื้นตันถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอุ่นๆ จากริมฝีปากของนีโอ ฉันนิ่งไปและใจเต้นแรงกว่าเดิม เพราะเขากำลังจูบฉันน่ะสิ... [End of Chapter 13]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD