ฉันพาร่างอันสะบักสะบอมของตัวเองกลับมาที่โรงแรม ไม่รอช้าหลังลงจากแท็กซี่แล้วฉันก็รีบไขกุญแจประตูลับและรอให้ลิฟท์สี่เหลี่ยมจตุรัสเล็กๆ พาขึ้นไปยังด้านบน ร่างกายเริ่มไม่ตอบสนองกับคำสั่งของสมองและเหมือนจะวูบลงในไม่ช้า แน่นอนว่าหลังจากสิ่งที่ฉันเผลอทำลงไปกับนีโอ ฉันไม่อยากจะขอความช่วยเหลือจากเขานัก ลิฟท์มาถึงชั้นสิบแปด คลำผ่านโถงทางเดินมืดๆ มาจนถึงห้องที่ฉันคิดว่าเป็นห้องคาร์ล และฉันก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่ลังเล
"คาร์ล..."
ห้องนั่งเล่นมืดสนิท ฉันได้ยินเสียงฝักบัวมาจากในห้องหนึ่งและไม่รอช้าที่จะเข้าไปเคาะเรียก หลังจากนั้นเสียงน้ำก็เงียบลงก่อนที่คาร์ลจะมาโผล่หน้ามาในระยะประชิด เขาตัวเปียกโซกแต่ยังนุ่งผ้าขนหนูไว้ สีหน้าดูตื่นตกใจที่เห็นสภาพของฉันซึ่งยืนแทบไม่ไหว
"สตีล เธอไปทำบ้าอะไรมาเนี่ย?"
"เรื่องมันยาวน่ะ…ไว้ทำแผลให้แล้วจะเล่าให้ฟัง"
ฉันปล่อยให้ตัวเองล้มลงในอ้อมแขนของคาร์ล เขาพยุงฉันได้ด้วยมือซ้ายข้างเดียวโดยที่ไม่เซล้มลงไปพร้อมกับฉัน จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง
ผมบิดขี้เกียจเป็นครั้งที่สามตั้งแต่กลับมาถึงห้อง บนโต๊ะมีแต่แฟ้มสำนวนคดีเก่าๆ ที่น่าจะเป็นฝีมือของพวกองค์กรพวกนั้น… ผมมองดูนาฬิกาซึ่งเข็มสั้นหมุนมาบรรจบที่เลขห้าอีกครั้ง ตอนนี้ห้าโมง อันที่จริงผมจะอยู่ต่อก็ได้ แต่ปวดหัวชะมัดตั้งแต่เรื่องเมื่อเช้าที่สตีลจูบผม…เรื่องนั้นช่างมันเถอะ หลังจากจัดการเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ไม่รอช้าเก็บกระเป๋าเดินออกจากสถานี ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆจำนวนหนึ่งทำให้เวลานี้ดูน่ากลัวขึ้นหลายเท่า
"เฮ่"
ผมเริ่มหัวเสีย แท็กซี่ที่นี่ไม่ต่างจากในนิวยอร์กเท่าไหร่ อันที่จริงผมก็เคยใช้วิธีชูตราตำรวจขึ้นมาขู่พวกเขานะ คนขับแทบจะปูพรมให้ผมขึ้นรถเลยหลังจากที่พวกเขาขับผ่านไปในตอนแรก และระหว่างที่ผมกำลังเริ่มหงุดหงิดก็มีรถแท๊กซี่สีเหลืองสะอาดตามาจอดตรงหน้า ผมจึงรีบขึ้นไปด้วยความรีบร้อน
"โรงแรมควอซ์ครับ"
และรถก็ขับออกไป ผมมองนอกทางไปเรื่อยและหันกลับมามองที่กระจกมองหลังอีกครั้ง และผมก็เพิ่งจะเอะใจเมื่อได้เห็นหน้าตาจิ้มลิ้มของคนขับ หญิงสาวที่ผมเจอในหอศิลป์…นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
"ไงคะคุณนักสืบ"
ผมยักคิ้วเอะใจ สาวน้อยคนนั้นหันมองผมด้วยสายตาพอใจก่อนที่ประตูทั้งสองฝั่งจะถูกล็อก กระจกกั้นถูกเธอยกขึ้น ผมทุบกระจกเหมือนคนบ้าเมื่อรู้ว่าตนเองติดกับของเธอ
"เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ" ผมเคาะกระจกกั้น "บอกให้เปิดประตูไง!"
ควันกลุ่มหนึ่งเริ่มกระจายไปทั่วที่นั่งด้านหลัง และเริ่มรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด หายใจไม่ออก…ก่อนจะทันได้สลบผมคงตายเพราะขาดอากาศหายใจมากกว่า ผมพยายามเคาะกระจกจนรู้ว่ามันคงจะไม่ช่วยอะไรและคิดว่ามีสิ่งที่พอจะช่วยได้ โทรศัพท์...นายมันสมองตื้นชะมัด ผมก่นด่าตัวเองและรีบหยิบโทรศัพท์ พิมพ์ข้อความส่งหาคาร์ลอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหมดสติ อย่างน้อยหมอนั่นก็คงจะยอมเปิดอ่านข้อความของผม...มั้งนะ ผมกดส่งก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มมืดลง จนทุกอย่างดับวูบในที่สุด
ฉันล้มลงในศูนย์ฝึกในองค์กรเป็นครั้งที่สามหลังจากที่ข้อเท้าพลิก อีกหนึ่งความทรงจำในอดีต...ฉันมองครูฝึกที่วางกระบองไม้ไว้และย่อตัวลงมาดูอาการฉัน ยอน ปาร์คเกอร์เป็นมือหนึ่งเรื่องการฝึกอาวุธระยะประชิด แต่ฉันไม่ค่อยจะถูกกับเขานักหรอก เขาชอบทำเหมือนว่าฉันเป็นเด็กตลอด ฉันอายุสิบเก้าแล้วนะ...แต่เพราะฉันและเขาอายุห่างกันไม่มากฉันจึงชอบเรียกยอนเหมือนเพื่อนซะมากกว่า
"ฝีมือตกนะสตีล" เขาพูดเยาะเย้ย
"ก็ฉันไม่ได้บ้าพลังเหมือนนายนี่" ฉันพูดประชดก่อนจะพยายามลุกขึ้นและยืนกะเผลกอยู่ตรงนั้น แต่ยอนไม่ได้ใจร้ายขนาดจะปล่อยให้ฉันเจ็บหนัก อาจเพราะเขาไม่อยากโดนวิกโก้ลงโทษมากกว่า
"ถือว่าฉันให้พักละกัน อยากจะเล่าอะไรให้ฟังมั้ย?"
"อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?"
"อะไรก็ได้ เรื่องตอนก่อนเธอจะมาอยู่ที่นี่ก็ได้ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่...เธอไม่เคยบอกพวกเราเรื่องนั้นเลย"
"ฉันก็เคยเป็นเด็กปกติทั่วไปนั่นแหละ พออายุสิบเอ็ด พ่อตายในสงครามอิรัก แล้วแม่ก็พาสามีใหม่มาที่บ้านเรา ให้ฉันเรียกเขาว่าพ่อเลี้ยง ฉันรู้ตลอดว่าหมอนั่นแอบขโมยเอาของๆ พ่อไปขาย และเขาเคยพยายามจะข่มขืนฉัน..."
"เป็นเหตุผลที่เธอหนีออกมา"
"ใช่" ฉันตอบสั้นๆ มันเป็นเรื่องที่ฉันไม่อยากจะจำนัก ภาพที่แม่เมินเฉยต่อเรื่องเลวร้ายที่เขาทำ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายรึยังตอนที่ฉันใช้แจกันฟาดหัวเต็มแรงก่อนจะหนีออกมา เขาจะข่มขืนฉัน และฉันก็หนีออกจากเรื่องบ้าๆ ในบ้านหลังนั้น สาบานกับพระเจ้าว่าฉันจะไม่ขอกลับไปเจอแม่อีก…ให้ตายก็ไม่มีวัน
"ฉันขอพูดอะไรอย่างสิ คิดว่าเป็นคำแนะนำในฐานะเพื่อนร่วมงาน" ฉันหันไปหายอนที่ยื่นมือแตะไหล่ "ชีวิตนักฆ่าแบบเราจะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข มันเป็นคำสาป และทุกๆ คนที่เธอรัก…ที่อยู่ใกล้ๆ เธอ พวกเขาจะตายเพราะเธอ จำคำฉันไว้ให้ดีนะสตีล เธอเลือกทางนี้แล้ว"
ฉันร้องเพราะความเจ็บ และสุดท้ายก็ตื่นเต็มตาจริงๆ ฉันมองผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดกองอยู่บนถังขยะจนแทบจะล้น คาร์ลมองมาและกลับไปสนใจแผลตรงหน้าท้องของฉันที่มีเศษเหล็กฝังอยู่
"เจอศึกหนักล่ะสิ?" คาร์ลถามลอยๆ "เธอไม่ตายก็ดีแล้วรู้มั้ย"
"แต่ก็เกือบไป" ฉันถอนหายใจและปล่อยให้คาร์ลจัดการแผลโดยการดึงเอาเศษเหล็กออกมาและเย็บแผลให้ติดกัน
่ "เธอจะเอายังไงต่อล่ะ? รู้ใช่มั้ยว่าลูคัสไม่ยอมแพ้ง่ายๆ น่ะ"
"ฉันว่าเราหยุดถามอะไรที่มันน่าปวดหัวเถอะนะ"
ฉันมองเจ้าแมวทอยเกอร์ที่กำลังคลอเคลียและดมโทรศัพท์ของคาร์ลที่วางอยู่บนโซฟาอย่างสนอกสนใจ คาร์ลเห็นเช่นนั้นส่ายหน้าและอุ้มมันออกมา เขาเปิดเช็กดูโทรศัพท์ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไป
"ฉันว่าเรามีเรื่องน่าปวดหัวเรื่องใหม่ให้จัดการแล้วล่ะ"
คาร์ลยื่นโทรศัพท์ให้ฉัน ข้อความที่นีโอส่งมาไม่ครบถ้วนทำฉันตกใจเช่นกัน
'ช่วยด้วย ยัยเด็กหน้าม้าคนนั้นจะลักพาตัว...'
"บ้าเอ้ย"
ฉันคว้าชุดที่กองอยู่บนพื้นมาใส่อย่างรีบร้อน คาร์ลที่พอรู้ว่าฉันจะทำอะไรต่อรีบเดินเข้ามาหาฉัน
"ฝีมือยูกะหรอ?"
"จะมีใครล่ะนอกจากยัยบ้าจิตหลุดนั่นน่ะ" ฉันรัดซองปืนที่ต้นขา หยิบปืนกล๊อกยี่สิบหกที่วางอยู่ในชั้นเก็บปืนของคาร์ลมาหนึ่งกระบอก แต่แน่นอนว่าคาร์ลไม่ยอมปล่อยให้ฉันไปเผชิญหน้ากับยูกะเพียงลำพัง เพราะฉันกับเขารู้ดีว่าเธอจะทำอะไรบ้างถ้าฉันพลาดท่าให้เธอ สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
"ฉันไม่ปล่อยเธอไปแน่"
"แต่ฉันต้องไปช่วยนีโอ"
"ช่างเขาเถอะน่ะ เธอจะไปห่วงเขาทำไม?"
"เพราะเขาทำให้ฉันคิดถึงอีธานน่ะสิ" ฉันเงยหน้ามองคาร์ล ขอความเห็นใจจากเขา "ฉันไม่อยากเห็นใครต้องตายเพราะฉันอีก"
"...โอเค ฉันเข้าใจนะ แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ปล่อยเธอไปคนเดียวแน่"
"แล้ววิกโก้ได้รู้น่ะหรอว่านายทรยศมาอยู่ฝั่งฉัน คงได้ลากนายลงหลุมไปด้วยอีกคน" ฉันพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพื่อเตือนไม่ให้คาร์ลเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ การทรยศวิกโก้แบบนั้นคงเจอสิ่งที่แย่กว่าความตายเสียอีก
"แล้วเธอมีแผนอะไรล่ะ? จะบุกเดี่ยวเข้าไปงั้นหรอ"
"นายก็รู้ว่าฉันเก่งเรื่องนี้คาร์ล"
ฉันยิ้มมั่นใจ แต่ยังคิดหาทางพาตัวนีโอออกมาไม่ได้ กระทั่งส่วนหนึ่งในความทรงจำได้ค้นเจอกฎข้อหนึ่งขององค์กร สิ่งที่จะทำให้ฉันถึงไพ่เหนือกว่าพวกนั้น ถึงแม้จะไม่ใช่กฎทางการแต่ก็เป็นสิ่งที่คนในนี้พยายามหลีกเลี่ยงโดยตลอด เพราะมันสามารถใช้เล่นงานพวกเขาได้หากเกิดอะไรที่บานปลายไปมากกว่านั้น
"คาร์ล นายยังจำข้อตกลงเรื่องเจ้าหน้าที่ได้รึเปล่า ที่เคยประชุมกัน ตอนนี้ที่นี่ยังใช้กฎนั้นอยู่มั้ย?"
"...ใช่ เธอนี่บ้ามากเลยรู้มั้ย? คิดว่ายูกะจะยอมฟังงั้นหรอ?"
"ก็ต้องลองดู ฉันรบกวนนายติดต่อเนิร์ดคนนั้นให้ที"
"ซอมบี้สินะ" คาร์ลเหมือนจะรู้ว่าควรขอความช่วยเหลือจากใคร ฉันพยักหน้าตอบ และเราสองคนก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเองเหมือนตอนที่ฉันทำงานเป็นคู่หูกับคาร์ล บางทีคราวนี้แผนอาจจะไปได้ราบรื่นมากกว่าที่คิดไว้ก็ได้
ผมสะดุ้งตื่นและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เริ่มรู้สึกว่าการถูกล่ามหรือมัดให้อยู่กับที่แทบจะตลอดนั้นมันให้ผมอารมณ์เสียมากขนาดไหน ครั้งแรกผมถูกสตีลมัดไว้บนเตียง ครั้งที่สองผมฟื้นในห้องขององค์กร ตกใจนิดหน่อยและเผลอสวนหมัดใส่ใครก็ไม่รู้จนได้แผล...มีครั้งที่สองก็ต้องมีครั้งที่สามเป็นธรรมดาสินะ
"ข้างนอกมีใครอยู่มั้ย?! ผมฟื้นแล้ว!" ผมตะโกนออกไป แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครได้ยิน จนเมื่อสัมผัสจากฝ่ามือของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังทำให้ผมต้องเงียบปาก
"กำลังอยากสนุกกับนายเลยล่ะ..."
เสียงแหลมเล็กอันน่าขนลุกกระซิบอยู่ข้างหู แค่นั้นก็พอจะทำให้สติผมกระเจิงไปได้ระดับหนึ่ง ผมมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่มีสายหนังรัดติดกับที่พิงแขน ส่วนข้อเท้าถูกยึดไว้ด้วยสายหนังแบบเดียวกัน และในที่สุดก็ได้เห็นหน้าเธอแบบชัดๆ เป็นครั้งแรก สาวลูกครึ่งเอเชียคนนี้มีผมสีดำสนิทที่ยาวไปจนถึงสะโพก หน้าม้าที่ทำให้โครงหน้ารูปไข่ดูดีขึ้นไปอีก และดวงตาสีดำที่เหมือนจะกลืนกินผมเข้าไป
"เธอเป็นใคร? แล้วทำไมถึงจับฉันมา?"
"ขอโทษที ฉันนี่เสียมารยาทชะมัด" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าฟังขึ้นก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าผม "ฉันยูกะ หลิ ส่วนเรื่องที่จับนายมาขอยังไม่บอกละกันนะ"
เธอยิ้มกว้าง ไม่รู้เลยว่าเด็กสาวเจ้าของรอยยิ้มอันสดใสจะทำอะไรกับผมได้บ้าง ยูกะมองผมด้วยสายตายั่วยวน เธอเชิดคางผมให้มองหน้าเธอชัดๆ ผมกลืนน้ำลายด้วยความกลัว
"ฉันสงสัยจัง ทำไมเธอถึงปฏิเสธนายได้ลงนะ? ทั้งๆ ที่นายออกจะดูดี...แถมหุ่นยังล่ำขนาดนี้" เธอพูดพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผม มันน่าขนลุกมากกว่าน่ามีอารมณ์ร่วมนะรู้มั้ย? ผมไม่กล้าพูดออกไปอย่างนั้น ได้แต่ฝืนยิ้มกับคำชมที่ผิดสถานการณ์นี้
"ขอบใจที่ชม แต่ฉันไม่ชอบอะไรที่ยากเกินไปน่ะ"
"หืม? จริงหรอ งั้นสตีลก็ไม่ใช่สเปคนายน่ะสิ"
"ไม่เชิงหรอก...เธอออกจะเป็นคนซับซ้อนน่ะ"
"นั่นแหละสตีล"
ยูกะพูดเท่านั้นก่อนจะถอยห่างจากผม เธอหยิบบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อของเธอ เป็นเครื่องช็อตไฟฟ้าขนาดพกพา แปลกใจว่าพวกนักฆ่าพกของแบบนี้ติดตัวกันด้วย ไม่ถึงตายแต่ให้เจ็บปวด...ผมลองเดานิสัยเธอเล่นๆ และลองเปรียบเทียบกับสตีล ยูกะชอบจะเห็นใครซักคนเจ็บปวด ทรมานและสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่สตีล เธอทำให้มั่นใจว่าใครก็ตามที่ต้องการจะทำร้ายเธอนั้นไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ซึ่งการพกปืนไปไหนมาไหนตลอดของเธอก็พอให้ผมเดาได้ สตีลรอบคอบและระวังทุกฝีก้าว
"ฉันไม่ฆ่านายหรอก ไม่ใช่ตอนนี้ แค่อยากจะสนุกเฉยๆ และฉันก็คาดหวัง...ว่านายจะชอบเหมือนกัน"
เสื้อกล้ามที่ผมสวมทับอีกชั้นถูกฉีกออก ยูกะเปิดเครื่องช็อตไฟฟ้าเพื่อขู่ ผมเริ่มคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มันจะเจ็บรึเปล่า? ผมจะตายมั้ยนะ? เพราะตั้งแต่ที่ผมเคยเอาส้อมแหย่เข้าไปในเครื่องปิ้งขนมปังแล้วโดนไฟช็อตเมื่อตอนเจ็ดขวบ มันเป็นอะไรที่แย่สุดๆ ภาวนากับอะไรก็ตามว่าขออย่าให้เจอความรู้สึกนั้นอีกเลย
"ไม่ต้องกลัวหรอก" ยูกะพูดย้ำ "ถือซะว่าเป็นของขวัญจากฉันละกันนะ คุณนักสืบ"
ผมหายใจแรงขึ้นเมื่อเธอค่อยๆ จ่อปลายโลหะเข้าใกล้ กระแสไฟฟ้าทำให้ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ขัดกับรอยยิ้มของยูกะที่กำลังมีความสุข
[End of chapter 12]