"ให้ตายสิ ตัวหนักชะมัด"
ผมวางตัวสตีลลงบนเตียง โชคดีที่อแมนดาช่วยขับรถพาเรามาส่งถึงโรงแรม แถมยังช่วยพยุงสตีลมาถึงห้องด้วย แต่ก่อนจะไปอแมนดาเตือนผมให้ระวังตัวไว้ คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ถ้าผมจะโดนตามฆ่าเข้าสักวันจากเรื่องที่เกิดขึ้น
"อีธาน…"
สตีลยังตัวสั่นและสะอื้นถึงชื่อนั้นตั้งแต่ที่เธอโดนวางยา คอยแต่เพ้อถึงคนรักที่จากไป 'อีธาน เจมส์' ชายหนุ่มที่หน้าเหมือนผมยังกับฝาแฝด เธอยอมช่วยฉันเพราะเหตุผลนี้สินะ ผมนั่งลงบนเตียง คอยดูไม่ให้สตีลเผลออ้วกอีกรอบ
"อุบ!"
ผมรีบหันไปเมื่อได้ยินเสียงแบบนั้น สตีลเริ่มจะออกอาการอยากอาเจียนอีกครั้ง ผมรีบคว้าถังขยะไว้ทันก่อนที่สตีลจะอ้วกเป็นรอบที่สอง ผมมองภาพน้ำย่อยในกระเพาะอาหารตรงก้นถังที่ปนเลือดเล็กน้อยเนื่องจากในตัวเธอไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมาแล้ว และสตีลก็กลับไปนอนสะลึมสะลือเหมือนเดิม คราบอาเจียนที่ติดอยู่ตามชุดของเธอบ่งบอกว่าผมควรทำอะไรซักอย่าง
ผมพยายามหาทางติดต่อคาร์ลอยู่หลายรอบ ทั้งลองโทรเข้าเบอร์ที่ส่งข้อความ ลองขอความช่วยเหลือกับพนักงานที่อยู่ชั้นล่างแต่โดนพวกเขาปฏิเสธ และในที่สุดผมก็ถอดใจยอมจัดการทุกอย่างเองโดยการแบกสตีลไปล้างตัวในอ่างน้ำ
สตีลเป็นผู้หญิงที่มีหุ่นแบบสาวทั่วไปก็จริง แต่กล้ามเนื้อที่ผมสัมผัสได้ทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงล้มผู้ชายน้ำหนักสองปอนด์ได้สบายๆ ผมอุ้มเธอมาที่อ่างแช่ซึ่งเตรียมน้ำไว้เรียบร้อยแล้ว ถอดชุดเดรสสีดำที่เธอใส่ออกจนเหลือเพียงชั้นในลูกไม้สีดำ และซองรัดปืนที่ต้นขา…คงจะเป็นอย่างที่ผมคิดว่าสตีลเข้าไปล้างแค้นคนพวกนั้น
คราบอาเจียนถูกล้างออกจนหมด ผมได้เห็นร่างกายที่บอบช้ำขนาดนี้เป็นครั้งแรก จากที่ดูแล้วแผลช้ำพวกนี้เกิดขึ้นไม่ถึงเดือน ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเธอต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ไม่เอาน่า…เธอเป็นนักฆ่า เรื่องนั้นผมรู้ดี สตีลอาจจะโกหกเรื่องทั้งหมดก็ได้เพื่อให้ผมเห็นใจเธอ
ผ่านไปสิบห้านาที ผมพาสตีลกลับมานอนที่เตียงอีกครั้งโดยไม่ได้ถอดชั้นในให้เธอ ถ้าทำผมคงโดนฆ่าแน่ๆ
"อืม…อีธาน…"
ผมหันกลับมาด้วยความตกใจก่อนจะรีบคว้าผ้าห่มคลุมตัวเธอไว้ ใช่…เธอพยายามจะถอดสิ่งเดียวที่ปกปิดหน้าอกเธอออก
ด้วยความอยากรู้เรื่องของเธอผมจึงเริ่มสำรวจข้าวของภายในห้อง ผมเริ่มที่กระเป๋าสัมภาระเธอเป็นที่แรก ไม่มีอะไร…อย่างน้อยก็มีแค่ปืนกล็อกสองกระบอก ผมจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยเหมือนเดิมและไปที่ส่วนอื่น ในห้องน้ำผมยังเจอมีดพับอีกหนึ่งซ่อนอยู่หลังประตู ยัยนี่อันตรายเป็นบ้า…และผมก็เดินกลับมาที่เตียงนอนของเธอ คราวนี้สตีลไม่ได้นอนอยู่บนเตียง
"แกร๊กๆ!"
ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นเพื่อให้เธอแน่ใจว่าผมจะไม่ทำอะไรเธอ สตีลถือปืนลูกซองจ่ออยู่หลังประตู เธอพร้อมจะระเบิดหัวผมได้ทุกเมื่อ
"นายทำบ้าอะไร?"
"ใจเย็น แค่จะหาอะไรเช็ดตัวให้…แค่นั้น"
สตีลขมวดคิ้ว เธอลดปืนลงและเดินไปหยิบเสื้อคลุมปกปิดแผลตามตัวและเก็บปืนลูกซองไว้ที่หัวเตียง ผมเคยเห็นเตียงแบบนี้ในโฆษณาทีวีว่ามันสามารถส่งปืนมาถึงมือเราได้แค่เพียงกดปุ่ม ทุกห้องในโรงแรมนี้คงจะมีเตียงแบบนี้ทั้งหมด ดวงตาสีเทาหม่นนั้นมองผมด้วยความอ่อนแรง และสตีลก็ล้มลงบนเตียง
"เดี๋ยวไปหยิบน้ำให้"
"ไม่ต้อง..."
สตีลพูดเท่านั้นและเดินออกไป เธอกลับมาพร้อมว๊อดก้าที่เหลืออยู่ครึ่งขวด แก้วทรงเหลี่ยมมู่ทู่สองแก้ว เธอวางแก้วไว้ข้างตัวผมและรินว๊อดก้าลงไป แต่เลือกที่จะไม่นั่งด้วยและนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดของเธอ
"ดื่มสิ" เธอยกแก้วดื่ม คว้าเอาซองบุหรี่ที่อยู่ข้างตัวมาเริ่มสูบ จากนั้นเธอก็หยิบซองบุหรี่มาจ้องตาไม่กะพริบและหัวเราะ
"ให้ตายสิ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอแกอีกรอบนะ" เธอวางซองบุหรี่ลงและหันมาพูดกับผม "อีธานเขาก็เคยขอให้ฉันเลิกนะ แต่มันเลิกไม่ได้ซักที"
เธอหัวเราะและสูดควันเข้าอีกฟอดใหญ่ ผมจิบว๊อดก้าไปเล็กน้อย สตีลดูเศร้า เป็นความเศร้าที่ผมสามารถรับรู้ได้โดยที่เธอไม่พยายามจะปิดบัง ผมไม่เคยเดาใจเธอออกเลยเว้นแต่เรื่องที่เธอชอบมองผมเหมือนคนรักเก่านั่นแหละ เรื่องเดียวจริงๆ
"รู้มั้ย? ฉันไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อน"
"แย่แบบไหนล่ะ?"
"ไม่รู้สิ" สตีลวางก้นบุหรี่บนที่เขี่ยบุหรี่และจิบว๊อดก้าไปอีกอึก "มันน่าตลกดีนะ ฉันอยากฆ่าพวกมัน แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นไปทำไม"
"เธอยังถอยกลับได้นะสตีล"
ผมพูดให้เธอคล้อยตาม สตีลเงยหน้ามองผมอยู่ครู่หนึ่งหลังจากผมตอบไปแบบนั้น เธอหัวเราะแห้งๆ และกระดกว๊อดก้าในแก้วจนเกลี้ยง เธอเดินมาหาผม ดูก็รู้ว่าเธอยังคงมึนจากฤทธิ์ยา ดวงตาคู่นั้นมองผมด้วยความถวิลหา
"จ้องแบบนี้คงไม่ได้คิดจะ--"
สตีลโน้มตัวลงมาและเริ่มจูบผม ก่อนที่เธอจะเริ่มขึ้นคร่อมบนตัว สตีลคงเมาและคิดว่าผมคืออีธานแน่ ตอนนี้ในตัวผมสับสนไปหมดโดยที่ในใจนึกอยากจะผลักเธอออกให้พ้นตัว จูบนั้นบดขยี้ผมเหมือนต้องมนต์สะกด และผมก็ตอบสนองกับความต้องการที่สตีลให้มาอย่างรวดเร็ว
ผมพลิกตัวเธอเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายรุก แต่สตีลไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ผมเคยเจอ...เธอกลับเป็นฝ่ายพลิกตัวผมกลับมาและเริ่มใช้ลิ้นเข้าหาผมอย่างชำนาญ เราสองคนจูบกันอย่างดูดดื่มก่อนที่เธอจะกระชากกระดุมเสื้อเชิ้ตผมออก ผมพรมจูบบนต้นคอและไล่ไปจนถึงเนินหน้าอกซึ่งมีเพียงชั้นในลูกไม้ปกปิดไว้ สตีลถอนจูบนั้น มองผมที่กำลังนอนนิ่งทำตัวไม่ถูก เธอคงจะได้สติแล้ว
"นายออกไปก่อนเถอะ" สตีลก็พูดตัดบทและถอยห่างจากผม "ขอบคุณนะที่ช่วย"
"ให้ฉันอยู่ต่อก็ได้นะ"
"ออกไป!"
เธอตะคอกด้วยความโมโหและเดินตรงไปที่ห้องน้ำ ไม่มีการเหลียวกลับมามองผมที่กำลังนั่งทำหน้าเซ่อสับสนอยู่ ผมจึงเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่ถึงเสี้ยววินาทีปลายแหลมของมีดอเนกประสงค์ก็แทงทะลุมาด้านนอกเฉียดหัวผมไปนิดเดียว เหมือนเธอรู้ว่าผมตั้งใจจะเข้ามา
"ครั้งต่อไปฉันไม่พลาดแน่"
เสียงสตีลสั่นเครือ ผมจึงตัดสินใจถอยห่างจากประตู ให้เวลาเธอได้มีสติ ก่อนผมจะออกไปผมเขียนกระดาษโน้ตส่งให้เธอผ่านช่องประตู คว้าสูทนอกและจัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง และผมไม่รอช้าที่จะออกไปทันที...
ฉันลองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เขาไปรึยังนะ? ความสงส้ยนั้นหายไปเมื่อฉันเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งสอดผ่านช่องประตูเข้ามา ลายมือหวัดๆ ของนีโอที่ทำฉันหยุดร้องไห้ได้
"เธอยังมีฉันอยู่นะสตีล ฉันไม่คิดมากเรื่องจูบนั้นหรอก"
ฉันถอนหายใจและทรุดตัวลงกับประตูห้องน้ำ นั่งคิดกับตัวเองอยู่นานว่าทำไมถึงทำแบบนั้นลงไป ฉันไม่ได้เมาจนควบคุมสติไม่ได้ แต่ฉันแค่...อยากรู้สึกแบบเดียวกับที่เคยรู้สึกตอนได้อยู่ใกล้ๆ อีธาน แต่ไม่มีใครแทนที่เขาได้ ฉันลุกขึ้นและเดินไปหยุดหน้ากระจก มองดูแผลและรอยช้ำบนตัวฉันที่ยังไม่เลือนหาย เช่นเดียวกับฝันร้ายเหล่านั้น...
พ่อเคยบอกว่าน้ำแข็งจะช่วยให้แผลฟกซ้ำหายได้เร็วขึ้น ฉันเลือกที่จะทำอย่างที่เขาสอนโดยการนำน้ำแข็งที่เอามาจากทางเดินเกือบสิบถังเทลงอ่างอาบน้ำ จากนั้นจึงเปิดน้ำลงในอ่างเพื่อให้ตัวเองลงไปแช่ได้ ค่อยๆ หย่อนขาขวาที่กำลังสั่นเพราะความกลัวลงไปจนไม่นานทั้งร่างกายก็ลงไปอยู่ใต้น้ำอย่างง่ายดาย ฉันแปลกใจที่ตัวเองกลัวมากเกินไปกับเรื่องแค่นี้ ฉันกลั้นหายใจและนอนราบไปในอ่าง พยายามให้ตัวเองใจเย็นลงและหยุดฟุ้งซ่าน
'พ่อรักหนูนะสตีล'
'ผมรักคุณนะ...สตีล'
ฉันสะดุ้งตัวขึ้นจากอ่างน้ำเพราะเสียงเรียกของเจ้าแมวทอยเกอร์ที่ร้องเรียกจากหน้าต่างห้องน้ำ ฉันฝากคาร์ลเลี้ยงไว้ที่ห้องของเขา…สงสัยเขาคงจะไม่ได้กลับมาหลายวันแล้วจนมันหิวล่ะมั้ง ฉันจึงรีบเปิดประตูห้องน้ำและโบกมือไล่มันออกไป
หลังจากขึ้นมาจากอ่างฉันก็จัดการกับคราบอาเจียนบนเตียงและใส่ชั้นในลูกไม้มาใส่อีกครั้ง หาอาหารให้ทอยเกอร์และมองแสงจากพระอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา เช้าแล้วงั้นหรอ? ฉันถอนหายใจเบาๆ และเดินไปเปิดกระเป๋าเดินทาง สวมชุดเดรสสายเดี่ยวและแจ๊กเก็ตยีนทับอีกชั้น พร้อมกับรองเท้าบู้ตหนัง แต่ก่อนจะออกไปฉันก็เกิดสังหรณ์ใจแปลกๆ จนสายตาฉันหันไปเจอเกราะกันกระสุนแบบบาง มันบางมากจนฉันเองยังกลัวเลยว่ากระสุนจะเจาะทะลุเข้ามาได้รึเปล่า ฉันจึงเลือกจะเสียเวลาถอดชุดเดรสและสวมเกราะกันกระสุนไว้ก่อนจะออกไปด้านนอก
ฉันขับรถไปถึงอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ติดทะเลฝั่งตะวันออก ตอนใต้ของไมอามี่ที่ฉันได้จ้างนักสืบในองค์กรสืบหาที่อยู่ของลูคัส ฉันทิ้งรถไว้ห่างออกไปสองช่วงตึก หามุมเหมาะที่จะสอดแนมเขาจนเจอกับม้านั่งตัวหนึ่งที่มีชุ้มขายของชำบังอยู่ด้านหน้า หวังว่าคงพอจะช่วยหลบไม่ให้พวกนั้นเห็นได้ จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ คริสออกมาจากตึกก่อนจะตามมาด้วยลูคัสและคนของเขา ทั้งหมดขับรถออกไปจนอาคารนั้นดูเงียบไป ไม่รอช้าฉันรีบลุกจากม้านั่งและกำลังจะข้ามถนน
"นังหนู"
ฉันหันกลับไป ชายแก่ไร้บ้านที่นั่งอยู่ข้างร้านไม่พูดอะไรก่อนจะยื่นบางอย่างมาให้ฉัน มันเป็นกุญแจดอกหนึ่งที่ไม่มีอะไรพิเศษ จนเมื่อเขาชี้ไปที่อาคารตรงหน้า ฉันรับมาโดยไม่ลังเล กล่าวขอบคุณชายคนนั้นก่อนจะข้ามถนนไปหยุดอยู่ด้านหน้าประตูเหล็กบานใหญ่
ฉันมองซ้ายมองขวาก่อนจะเสียบกุญแจเข้าไป เงี่ยหูฟังเสียงปลดล็อกจนในที่สุดประตูก็เปิดออก ฉันหยิบปืนพกเก็บเสียงถือติดตัวไว้เพื่อแน่ใจว่าฉันจะไม่เป็นฝ่ายถูกเก็บไปซะก่อน ฉันแปลกใจที่ด้านในสภาพเหมือนตึกร้าง เฟอร์นิเจอร์ของใช้ส่วนใหญ่ถูกห่อด้วยพลาสติกเหมือนกำลังจะเก็บออกไป ฉันเดินสำรวจจนมาถึงห้องโถงขนาดใหญ่และเจอหลุมขนาดใหญ่ ฉันก้มลงไปดูและเห็นตัวอักษรพ่นสีสเปรย์ไว้สั้นๆ ว่า
‘ที่ตายของเธอ มาร์ตินี่’
"ปัง!"
ฉันชะงักไป รู้สึกถึงความร้อนจากหัวกระสุนที่ส่งผ่านมาทั่วแผ่นหลัง เหมือนถูกกระสุนอัดลมยิงใส่ผิวแต่รุนแรงกว่านั้น ฉันล้มไปนอนในหลุมเพราะความรู้สึกชาทั้งตัว คิดถูกจริงๆ ที่ใส่เกราะกันกระสุนมาด้วย แต่เพราะมันบางเกินไปจึงรู้สึกเจ็บกว่าครั้งไหนๆ ฉันใช้โอกาสนี้ขึ้นลำกล้องรอและถือปืนเล็งเป้าหมาย
ฉันเล็งขึ้นจนนักฆ่าคนแรกเดินมา ปุ! เขาล้มลงตรงหน้าหลุม ฉันหยิบปืนของเขาและดึงแม็กกาซีนออก ทุกอย่างยังเงียบสงบ ฉันลองหยิบเศษอิฐโยนขึ้นไป มีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด ฉันยกร่างของชายผิวดำที่เพิ่งโดนยิงบังไม่ให้ตัวเองโดนวิถีกระสุนพร้อมกับพยายามปีนขึ้นจากหลุม และฉันก็นอนอยู่ข้างๆ ศพทำให้เลือดเปื้อนเต็มตัวไปหมด
เสียงฝีเท้าดังสนั่นไปทั่งโถง ฉันลองนับ…ไม่ต่ำกว่าสิบคน ฉันดึงแม็กกาซีนออกมาดูจำนวนกระสุนอีกครั้งและใส่มันกลับเข้าไป กระสุนสิบสามนัดคงจะพอให้วิ่งไปหลบที่อื่นได้ทัน ฉันไม่รอช้า ใช้จังหวะเหมาะลุกขึ้นและวิ่งไปยังมุมกำแพงด้านหน้าโดยการยิงหลีกทาง กระสุนหนึ่งแม็กกาซีนหมดลงอย่างไร้ประโยชน์
"ใครจัดการเธอได้ ตามข้อตกลงวิกโก้ ห้าล้าน!"
เสียงปืนกระหน่ำมากกว่าเดิมจนฉันแทบจะไม่มีโอกาสสวนกลับ
"เข้ามาสิวะไอ้สารเลว"
ฉันโผล่ออกจากที่กำบังโดยการก้มต่ำและจัดการนักฆ่าที่พยายามจะวิ่งเข้ามา ไม่ได้แม่นขนาดเข้ากลางหน้าผากแต่อย่างน้อยเขาก็ล้มลงไป นักฆ่าคนอื่นๆ เริ่มไม่กล้ายิงใส่หลังจากฉันคว้าปืนกลของเขาได้ ฉันก้มตัวลง มองเงานักฆ่าพวกนั้นผ่านกระจกที่แตกบนพื้น ทริกในการจัดการพวกนักฆ่าคือการพยายามยิงที่หัว ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ให้อัดกระสุนเข้ากลางลำตัวและเล็งซ้ำที่หัวอีกรอบ
นักฆ่าอีกสองคนล้มลง ฉันเริ่มแปลกใจที่พวกที่เหลือไม่ทำอะไรซักอย่างทั้งๆ ที่มีอาวุธครบมือ ฉันเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่เพิ่งผ่านมา และก็มีพวกมืออาชีพคนหนึ่งดักรออยู่พร้อมมีดในมือ ฉันเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ถูกสะกัดขาจนล้มลง
"ไม่ใช้ปืน…กล้าดีนี่จิน"
"มันจะไปสนุกตรงไหนล่ะ อีกอย่าง…ยูกะบอกว่าถ้าควักลูกตาเธอกลับไปได้จะตอบแทนฉันอย่างงาม"
เขากดฉันไว้ มือซ้ายข้างถนัดของเขาคว้าหมับที่คางของฉัน เขาหมุนเพื่อดูว่าควรจะปักมีดที่ตรงไหนโดยไม่ได้ระวังฉันที่กำลังคว้าเอามีดพับที่ซ่อนไว้ตรงต้นขาออกมา ฉันหยิบมีดก่อนที่เขาจะรู้ตัวและแทงที่ตาข้างขวาของจิน ด้วยสัญชาตญาณเขาทิ้งมีดและปล่อยฉันออกมา
"นังบ้า!"
"ไปตายซะ"
จินเดินสะบักสะบอมออกไป ฉันพักหายใจและวางปืนกลหลังจากที่รู้ว่ามันไม่มีกระสุนเหลืออยู่แล้ว ตอนนี้ฉันมีแค่มีดและปืนพกที่มีกระสุนสิบสามนัดสุดท้าย ใช้ปะทะกับนักฆ่าที่ยังรออยู่ด้านนอกคงสู้ไม่ไหว ฉันจึงเลือกที่จะรอด้านในโดยเพิ่มความระวังให้ตัวเองเป็นสองเท่า และนักฆ่าหนุ่มผมบลอนด์ก็เข้ามาให้ฉันเสียบมีดใส่ง่ายๆ แต่เพราะมันโดนแค่ไหล่เขาจึงผลักฉันจนกระเด็นไปชนกำแพงและดึงมีดออกมา ก่อนที่เขาจะได้ทันเล็งปืนฉันก็คว้าท่อเหล็กที่หล่นอยู่ปาใส่เขาเต็มแรง และฉันก็รีบไปหยิบปืนกลที่หล่นบนพื้น
"อ-อย่า!"
"ปัง!"
มันออกจะใจร้าย ฉันรู้ แต่ถ้าไม่ฆ่าเขาฉันก็คงจะโดนฆ่าซะเอง ฉันเดินออกจากห้องเงียบๆ ก่อนจะถูกเล่นงานอีกครั้งหลังจากหมัดกระแทกเข้าที่กรามอย่างจัง ฉันมึนไปครู่นึงก่อนจะหันไปเตะผ่าหมากตานั่น เขาร้องโอดโอยและโดนฉันเป่าหัวไปตามระเบียบ
ฉันเดินต่อไปและโดนนักฆ่าพุ่งอัดกำแพงจนทะลุไปยังอีกห้อง เขาเป็นชายร่างท้วมที่ดูหนักกว่าเกือบสามเท่า ฉันที่ถูกยกตัวขึ้นพยายามใช้มือจิกตาเขา แต่ไม่เป็นผล ฉันถูกเขาโยนไปที่อีกห้องหนึ่ง แต่นั้นก็เป็นจังหวะเหมาะให้ฉันหยิบปืนพกออกมาและยิงใส่เขาทันควัน กระสุนนัดแรกเอาไม่อยู่ ฉันต้องเพิ่มกระสุนไปในหัวเขาอีกสองสามนัดจนเขาล้มลง พอรวมกับการที่ฉันยิงสกัดพวกนักฆ่าเพื่อพาตัวเองกลับเข้าที่กำบังกระสุนในปืนฉันก็หมดเกลี้ยง
"ยอมแพ้เถอะสตีล"
"ไม่มีทาง" ฉันโยนปืนทิ้งไปและกำมีดพกในมือไว้แน่น "จนกว่าฉันจะลากลูคัสลงนรก"
ฉันรีบก้มลงและใช้มีดพกเสียบที่หัวเข่าของนักฆ่าคนหนึ่งที่พยายามย่องเข้ามาตอนที่เรากำลังเจรจา ฉันเสียบมีดซ้ำเข้าที่คอของเขาและกรีดให้ยาวมากพอจนหลอดลมขาด อีกสองคนยิงห่ากระสุนใส่โดยที่ฉันก็ใช้ร่างของนักฆ่าคนที่เพิ่งถูกกรีดคอไปบังกระสุนไว้และใช้ปืนกลของเขายิงขาอีกสองคนให้ล้มลง หนุ่มผมดำสนิทที่ยังรอดพยายามจะยิงใส่ฉัน แน่นอนว่าฉันไม่ปล่อยให้เขาทำแบบนั้น ฉันโยนร่างนักฆ่าที่เพิ่งจะใช้เป็นเกราะกันกระสุนไปอีกทางเพื่อให้เล็งเป้าได้สะดวก เขาโดนกระสุนเข้าที่คอเต็มๆ ฉันปัดปืนออกจากมือของเขา
"ฝีมือไม่เบานี่สตีล..."
"แย่หน่อยที่ดวงฉันดีน่ะ" ฉันพูดตามจริง "บอกทีได้มั้ยว่าลูคัสอยู่ที่ไหน แล้วฉันจะจบความทรมานให้นาย"
"เธอก็รู้...ฉันไม่ทรยศนายจ้างตัวเอง" เขาแสยะยิ้มโดยที่เลือดจากคอยังพุ่งกระฉูด "กฎของฉัน"
ฉันมองแสงโทรศัพท์ที่ลอดผ่านจากชุดหนังสำหรับทำงานภาคสนาม ฉันจึงกระชากโทรศัพท์ออกจากมือเขาอย่างไม่ใยดีและกดรับอย่างไม่ลังเล
'ทางนั้นเป็นไงบ้างสมิธ?'
"แปลกใจล่ะสิที่ฉันยังไม่ตาย" ฉันพูดพลางมองที่นักฆ่าคนนั้นที่ลงไปนั่งพิงเสาคอนกรีต "โชว์ของนายมันห่วยลูคัส คิดว่านายจะลงทุนมากกว่านี้ซะอีก"
'ก็แค่อยากทำให้ตื่นเต้นน่ะ ฉันได้ 'เอา' เธอก็รู้สึกดีขนาดไหนแล้ว รู้มั้ยว่าเขาขออะไรก่อนฉันจะยิงเขา? 'อย่าทำร้ายเธอนะ' 'ปล่อยเธอไปเถอะ' แต่ฉันไม่สนหรอก มันรู้สึกดีนะที่ได้เหยียบใครบางคนให้จมลงไป และฉันก็สนุกกับเธอมากซะด้วย สตีล'
และลูคัสก็วางสายไป ฉันกำโทรศัพท์แน่นก่อนจะโยนอัดกำแพงและยิงซ้ำด้วยความโกรธ หวังว่ากระสุนนัดนั้นจะอยู่ในกะโหลกของลูคัสสักวันหนึ่ง
"...เธอคงไม่ทิ้งฉันไว้อย่างนี้ใช่มั้ย?" นักฆ่าหนุ่มที่นั่งหน้าซีดพูดกับฉัน เหมือนเขาพร้อมจะหลุดลอยได้ตลอดเวลา ฉันจึงเล็งปลายกระบอกปืนจ่อหน้าผากเขาและลั่นไก
[End of Chapter 11]