"ไม่คิดว่าจะมาเจอเธอเลยนะสตีล"
"เดี๋ยวนะ...เธอรู้จักกันด้วยหรอ?"
ฉันพยักหน้าตอบนีโอ มองที่เฮนรี่และถอนหายใจ เกลียดทุกครั้งที่นึกถึงหน้าตากวนประสาทของเขา และใช่ เขาอาจจะเกลียดฉันด้วยเหมือนกัน เพราะการพบกันครั้งสุดท้ายของเราฉันเป็นคนยัดกระสุนใส่ขาเขาด้วยความตั้งใจ แน่นอนว่าเขาไม่มาให้ฉันเห็นหน้าอีกเลยหลังจากเหตุการณ์นั้น
"...ใจร้ายจัง ไม่คิดจะทักทายเพื่อนเก่าหน่อยหรอ?"
"นายมาทำบ้าอะไรที่นี่?" ฉันเข้าคำถาม เฮนรี่ปิดประตูก่อนจะกวาดสายตาไปหานีโอ
"หมอนี่เรียกฉันมา ตอนแรกแค่จะชวนฉันไปหามื้อเที่ยงกินแล้วปรึกษาปัญหานิดหน่อย แต่นีโอไม่มาซักทีเลยต้องมาตามที่นี่"
"โลกกลมดีนะ"
"ใช่ ว่าแต่เราเข้าเรื่องกันได้รึยัง?"
เฮนรี่เดินไปปิดม่านเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแอบดู ใครก็ตามที่อาจจะเป็นของเอฟบีไอหรือพวกนักฆ่า เขาอิงตัวบนโต๊ะ ฉันกับนีโอยืนตัวติดกัน มองหน้าเฮนรี่ด้วยความไม่ไว้ใจ
"นายเป็นหน่วยบุกเข้าอู่เรือสองวันก่อนรึเปล่า?"
"ไม่ แต่ก็พอรู้อยู่ว่าเกิดเรื่องอะไร พวกคนที่จับมาได้ไม่ยอมปริปากพูดเลยสักนิด ก็พอรู้อยู่หรอกว่าใครเป็นคนสั่งไม่ให้พวกเขาพูด"
"นายกันเธอออกจากเรื่องนี้ได้มั้ย?" ฉันหันไปที่นีโอ สีหน้าเขาอ้อนวอนเฮนรี่เหมือนหาทางออกไม่ได้ "กฏของพวกเจ้าหน้าที่"
"...แปลกใจจังว่านายรู้กฎพวกนี้ด้วย สตีลคงบอกนายเหมือนที่เคยบอกฉันสินะ"
และ...ถ้าถามว่าเขารู้ได้ยังไง ฉันจะเล่าแบบเข้าใจง่ายและกระชับละกัน เฮนรี่มาตีสนิทจนทำให้ฉันรักเขาหัวปักหัวปำ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะได้เจออีธาน เขาตีสนิทเพื่อข้อมูล ตารางงาน คำสั่งฆ่าพวกนั้น พอฉันและบางคนในองค์กรรู้เป้าหมายที่แท้จริงของเฮนรี่พวกเขาก็สั่งให้ฉันจัดการเฮนรี่ แต่ฉันไม่ได้ทำตามที่พวกเขาสั่ง อย่างน้อยฉันก็ยิงขาเฮนรี่จนเขาเดี้ยงไปหลายเดือนเหมือนกัน ก็เขาเลือกที่จะหลอกฉันเอง
"แล้วเธอไปก่อเรื่องอะไรเข้าล่ะถึงโดนตามตื้อขนาดนี้"
"พวกเขาใส่ร้ายว่าสตีลเป็นคนแจ้งเอฟบีไอให้ไปที่นั่น เรื่องก็เลยบานปลายมาขนาดนี้"
"เข้าใจได้...ก่อปัญหาเป็นงานถนัดของเธอเลยล่ะ" เฮนรี่พูดแซะ แต่ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง
เราสามคนมองหน้ากันโดยมีเพียงความเงียบภายในห้อง ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะทำบ้าอะไรอยู่ จนเฮนรี่เดินเข้าและหยุดมองนีโอ
"ฉันขอคุยกับหน่อยสิ แค่สองคน" เฮนรี่หันมาหาฉัน "ได้รึเปล่าสตีล?"
"ตามสบาย"
ฉันตอบก่อนจะออกจากห้อง ในใจนึกกลัวว่าเฮนรี่จะพยายามหาคำตอบหรือต้องการอะไรกับนีโอหรือเปล่า เฮนรี่มักจะอ่านความคิดคนทะลุอยู่เสมอ...ตั้งแต่ที่ฉันเจอเขา และฉันก็ประทับใจที่เขาฉลาดและดูดี แถมยังสุภาพบุรุษสุดๆ ตอนนั้นฉันยอมตายเพื่อเขาเลยล่ะ แต่ตอนนี้ฉันอาจจะยอมทำทุกอย่างให้ได้หักคอเขาหากเฮนรี่คิดจะหักหลังฉันอีก
เฮนรี่รออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าสตีลจะไม่ได้มาแอบดูหรือแอบฟังเรื่องที่เราจะคุยกันต่อจากนี้ เขาถอนหายใจ ถอดแว่นออกและนวดขมับทั้งสองข้าง สิ่งที่อยากคุยคงจะเป็นเรื่องเครียดของผมและเขาแล้วล่ะ
"สตีลเปลี่ยนไปเยอะนะ" ผมส่งสายตาสงสัย "ดูอ่อนไหวกว่าตอนที่เคยเป็นแฟนฉัน"
"ถ้าเธออารมณ์ร้อนตอนยังอยู่กับนายฉันคงไม่แปลกใจเท่าไหร่"
"ยังกวนประสาทเหมือนเดิม" เฮนรี่พูดพร้อมแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ "โลกกลมจริงนะที่นายเป็นแฟนเธอ"
ผมก็คิดแบบนั้น เฮนรี่และผมเคยเป็นมิตรที่ดีต่อกันตอนที่ยังอยู่โรงเรียนตำรวจ เขาเก่งและมีเสน่ห์ขี้เล่น แต่หากเทียบเรื่องความสามารถนั้นผมค่อนข้างจะเหนือกว่าเขา ผมไม่ได้กำลังอวดตัวเองว่าเก่งกว่า เฮนรี่มีความสามารถในเรื่องการอ่านพฤติกรรมมนุษย์ เก่งมากเสียจนเอฟบีไอขอให้เขาไปเข้าหลักสูตรอบรมพิเศษต่อ เราแยกย้ายกันด้วยดี ไปสังสรรค์กันบ้างช่วงคริสต์มาส การที่เราสองคนดูไม่ถูกกันนั้นเป็นเรื่องปกติของผมและเฮนรี่ไปเสียแล้ว
"ฉันอยากให้นายดึงเธอออกจากเรื่องพวกเอฟบีไอ เท่านั้นเอง"
"มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน นีโอ อีกอย่างนั่นมันก็ปัญหาของเธอ นายรู้ดีใช่มั้ยว่าเธอเป็นใคร"
"เคยเป็นใคร และนายรู้ดีใช่มั้ยว่าเธอโดนใส่ร้าย แค่จัดการกับคนในองค์กรก็น่าปวดหัวตายอยู่แล้ว"
"ฉันไม่รู้หรอก" เฮนรี่สวมแว่นและถอนหายใจ "ว่าแต่นายไปเจอเธอได้ไงน่ะ? แชทสุ่มหรือว่าเจอกันในบาร์"
"ที่โรงแรมน่ะ...เธอช่วยฉันไว้ เอาจริงฉันก็บอกอะไรได้ไม่มากหรอก"
"ฉันรู้ อย่างน้อยถึงนายอยากจะบอกเธอคงไม่ให้นายปริปากอยู่ดี"
เฮนรี่ลุกขึ้นและเลือกที่จะจบธุระเท่านี้ แต่ก่อนจะเปิดประตูออกไปเฮนรี่ก็หันมาหา
"พรุ่งนี้สองทุ่มฉันจะไปหาที่โรงแรม"
เฮนรี่ทิ้งคำพูดนั้นไว้และเปิดประตู เขายังยืนอยู่ตรงนั้นก่อนจะหันมาบอกลาผม "ยินดีที่ได้เจอนายอีกนะ"
เขาเดินออกไป สตีลเดินกลับเข้ามาด้วยความสงสัยและถามผม
"เรียบร้อยดีมั้ย?"
ผมพยักหน้า นึกถึงเหตุผลที่ทำไมไม่ยอมบอกสตีลเรื่องที่จะมาเจอเฮนรี่ กลัวว่าเธอจะโกรธและผิดหวังในตัวผม แต่สตีลไม่ได้แสดงอาการแบบนั้น เธอกุมมือผมไว้ ลูบปลอบอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
"ฉันไม่ได้โกรธที่นายไม่ยอมบอกฉันหรอกนะ ฉันแค่...รู้สึกว่าตัวเองดูไม่น่าเชื่อใจพอสำหรับนาย คราวหน้ามีอะไรต้องบอกกัน โอเคมั้ย?"
ผมพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่สตีลจะส่งรอยยิ้มปลอบใจ
"ไปหาอะไรกินกันเถอะ" สตีลดึงมือผมออกจากห้อง แต่ผมยั้งตัวไว้ก่อน
"ไปช่วยฉันทำมื้อเย็นดีกว่า ถือว่าเป็นคำขอโทษกับเรื่องวันนี้นะ"
"...ก็ได้"
ผมฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบและพบาว่าตัวเองอยู่ในห้องเดิม ต่างตรงที่คราวนี้ผมถูกตรึงอยู่กับเก้าอี้เหล็กทรงโบราณสำหรับการประหารนักโทษด้วยไฟฟ้า ดูจากรสนิยมของวิกโก้ เขาไม่ใช่คนที่จะทรมานใครง่ายๆ ถ้าไม่จำเป็น คิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ถ้าไม่ใช่ความคิดของยูกะก็คงจะเป็นคีปเปอร์ซะมากกว่า
"นายหลับไปนานเลยนะรู้มั้ย"
"เธอจะทำอะไรฉัน?"
ผมหันไปหายูกะที่เดินเข้ามาในห้องได้ไม่นานและพยายามขยับตัว รู้สึกเจ็บใจ เสียท่าให้คนพวกนี้และทำอะไรไม่ได้ ความรู้สึกจนตรอกกับทุกอย่าง มันเป็นสิ่งที่สตีลรู้สึกตอนที่เธอถูกกระทำแบบนั้นรึเปล่านะ?
"วิกโก้สั่งมาว่าอย่าเพิ่งฆ่านาย ฉันก็เลยคิดว่านายคงจะช่วยทำให้...อะไรมันง่ายขึ้น"
"ทรมานฉันงั้นหรอ? เป็นเกียรติชะมัดเลย"
"ฉันก็ไม่ได้ปลื้มนายนักหรอกคาร์ล และฉันจะเก็บสิ่งที่ฉันอยากทำไปลงกับสตีลเอง" ยูกะพูดประชด ผมก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน "...ฉันหวังว่าวิกโก้จะทำอะไรคุ้มค่ากับยานี่นะ"
"ยา? ยาอะไร?"
ผมหันไปมอง ยุกะหยิบกล่องเงินขนาดเท่ากระเป๋าเงินวางไว้บนโต๊ะและเปิดออก ด้านในมีเข็มฉีดยาและขวดขนาดเล็กซึ่งคงจะเป็นยาที่เธอพูดถึง เธอใช้เข็มจิ้มลงไปก่อนจะดูดน้ำยาสีเขียวมาเกือบครึ่งเข็ม ยูกะเดินมาพร้อมเข็มฉีดยา ผมมองเธอด้วยความกลัว เป็นความกลัวที่ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะทำอะไรกับผม
"ฉันจะรักษาแผลใจให้นายเอง"
ยูกะเอียงคอผมและแทงเข็มเข้าที่ต้นคอขวา จนของเหลวนั้นซึมเข้าทั่วร่าง ผมเริ่มไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ว่ามันเป็นยาอะไร อาจจะเป็นยากล่อมประสาท ผมพยายามมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า มีเครื่องมือบางอย่างถูกยกเข้ามาในห้อง คนชุดดำสองคนที่เข้ามาและเริ่มทำอะไรบางอย่างกับตัวผม
ผมถูกสายหนังรัดหัวไว้แน่นจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยสมบูรณ์ หนึ่งในนั้นใช้กรรไกรตัดเสื้อเชิ้ตผมออก แปะสายบางอย่างลงบนหน้าอกทั้งสองข้างและต้นคอ ตอนนี้ผมอยากให้ตัวเองหลับใจจะขาดเมื่อพวกเขาครอบเหล็กรูปร่างครึ่งวงกลมบนหัวผม ไม่ต่างจากนักโทษประหารบนเก้าอี้ไฟฟ้า
"พวกแกจะทำอะไร…"
กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เริ่มทำงานหลังจากนั้นไม่นานและค่อยๆ เพิ่มระดับ ผมตัวแข็งเกร็ง...อยู่กับความหวาดกลัวนั้น ภาวนากับพระเจ้าให้ขาดใจตายไปซะตอนนี้ ผมเริ่มรู้สึกทรมานเมื่อกระแสไฟฟ้าถูกปล่อยออกมากขึ้น กัดฟันและดิ้นพล่าน และทุกอย่างรอบตัวก็เคลื่อนไหวช้าลง...ผมตัดสินใจที่จะไม่ฝืนและหลับตายอมรับชะตากรรม
"นายจะซื้อมาเลี้ยงคนทั้งโรงแรมรึไง?"
ฉันและนีโอกลับมาที่โรงแรมควอซ์อีกครั้ง นีโอวางเสบียงที่ซื้อจากร้านของสดไว้บนโต๊ะ มันเยอะจนขนาดฉันที่เคยยกน้ำหนักทุกวันยังต้องเหนื่อยกับการขนของพวกนี้ขึ้นมาเลย ฉันยกมาดูทีละอย่าง ซอส...เนื้อวัว...ขนมปังวงกลมหนึ่งแถว ที่เหลือก็เป็นวัตถุดิบธรรมดาที่เขาคงจะซื้อมาเพื่อทำสตูว์หรือซุป ฉันนึกถึงเรื่องที่ฉันช่วยบาทหลวงทั้งสองทำอาหารในโบสถ์ และอยากขอโทษหลวงพ่อออสก้าที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเขาซะที
"พรุ่งนี้พาฉันไปหาหลวงพ่อออสก้าหน่อยสิ ฉันกลัวเขาจะจะรับไม่ได้เรื่องที่..."
"บาทหลวงอีกคนนึงตายไปแล้ว?" นีโอช่วยเติมคำในช่องว่าง
"ใช่..."
"ได้สิ เราอาจจะทำให้คนในองค์กรหัวร้อนได้นิดหน่อยล่ะถ้าเรื่องนี้เข้าหูเอฟบีไอ"
นีโอเดินไปที่ครัวพร้อมกับวัตถุดิบบางส่วน เขาแกะเนื้อวัวบดออกจากห่อใส่ลงในชามสแตนเลส จากนั้นก็เริ่มใส่เครื่องปรุงลงไปและใช้มือคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมด ฉันที่จัดการเก็บวัตถุดิบที่เหลือแล้วเดินไปโอบเอวนีโอจากด้านหลัง ถามเขาด้วยความสงสัย
"นายใส่อะไรลงไปบ้างน่ะ?"
"ก็...กระเทียมสับ ซอสบาร์บิคิว พริกไทยดำ แล้วก็ผสมนมลงไปนิดหน่อย"
"นมเนี่ยนะ?" นีโอที่เปิดกระทะไว้ก่อนหน้านี้ปั้นเนื้อเป็นทรงกระบอกและวางบนกระทะ
"สูตรลับของพ่อน่ะ"
ฉันพยักหน้า เรารอจนเนื้อที่นีโอใช้กระทะทอดไว้สุกเรียบร้อย ฉันจัดผักและมะเขือเทศที่หั่นเรียบร้อยวางไว้รอ ยืนดูนีโอฮัมเพลงเต้นอยู่ที่ครัว ทำให้ฉันคิดถึงอีธานตอนที่เขาเป็นคนทำอาหาร ก่อนที่เสียงตะกุยตรงระเบียงจะเรียกความสนใจของฉันให้หันไปเจอแมวทอยเกอร์ที่กำลังใช้เล็บส่งเสียงเรียก
"เฮ่ มาอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย"
เจ้าทอยเกอร์รีบเข้ามาด้านในหลังจากฉันเปิดประตูให้และเข้ามาคลอเคลียฉัน ไหนคาร์ลบอกว่าจะดูแลมันให้นี่นา นีโอปิดเตาและเดินมาพร้อมกับจานเนื้อ
"พันธุ์อะไรน่ะ?"
"ทอยเกอร์ เหมือนเสือใช่มั้ยล่ะ?" มันกระโดดขึ้นโต๊ะแทบจะทันทีหลังจากนีโอวางจานเนื้อลงบนโต๊ะ ฉันรีบยกมันลงมา
"มีชื่อรึเปล่า?" นีโอก้มและให้มันดมสำรวจและคลอเคลีย
"ไม่มี...หมายถึงว่าฉันก็ไม่ได้เรียกชื่อมันหรอก ฉันชอบเรียกทอยเกอร์มากกว่า"
"ให้ฉันตั้งให้มั้ย?" ตานีโอเป็นประกาย ดูเหมือนเขาคงจะชอบมันมาก และเจ้าทอยเกอร์ก็คงจะชอบเขาเหมือนกัน ฉันพยักหน้า เจ้าทอยเกอร์เลียอุ้งเท้าก่อนจะมองนีโอที่กำลังจ้องมันเพื่อจะตั้งชื่อ
"ซิมบา" ฉันขมวดคิ้ว
"นั่นมันสิงโตในไลออนคิงส์ไม่ใช่รึไง?"
"ไม่ใช่เสือหรอ?" นีโอมองฉัน และฉันก็เผลอขำออกมาก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
"ไม่เป็นไรหรอก นายอยากเรียกแบบนั้นก็ได้ ฉันไม่ถืออยู่แล้ว แกก็ไม่ถือใช่มั้ย?"
เจ้าทอยเกอร์มองฉันและส่งเสียงร้องเป็นการเห็นด้วย ฉันเกาคางให้มันก่อนจะปล่อยให้นีโอจัดการทำสตูว์ต่อ ทอยเกอร์ไม่ได้ยุ่งกับเราหลังจากเข้ามาแล้ว มันนอนเลียขนอยู่บนโซฟา ฉันวางเนื้อลงบนผักกาดขาวก่อนจะวางมะเขือเทศไว้อีกชั้น
"ต้องราดอะไรมั้ยนีโอ?"
"เกือบลืมเลย"
ฉันมองนีโอที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบครัว หยิบนู่นหยิบนี่ใส่ลงชาม ใช้เวลาพักนึงกว่าเขาจะเดินกลับมาได้ นีโอตักซอสที่ผสมเครื่องปรุงเพิ่มเติมลงไป เขายิ้มและจัดการคนสตูว์ต่อ จนเมื่อฉันจัดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วและพยายามจะโทรหาคาร์ล แต่เขาไม่รับสาย เสียงของเจ้าแมวที่ขู่บางอย่างทำให้ฉันหันไปมองเจ้าทอยเกอร์ที่ตาเป็นวาว มันตั้งท่าเหมือนจะโจมตีอะไรบางอย่างก่อนจะวิ่งหายไปในห้องนอน ฉันเป็นคนสอนมันให้ทำแบบนั้น...หากเกิดอันตรายขึ้น ฉันจึงรีบหันไปที่ครัว มีเลเซอร์สีแดงกำลังเล็งอยู่ที่หัวนีโออยู่ตอนนี้
"นีโอ!"
เขาสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระสุนพุ่งเข้ามาในห้อง แต่โชคดีที่ว่ากระสุนนัดนั้นเฉียดหัวเขาไปนิดเดียวเมื่อเขากำลังหันมาหาฉัน นีโอรีบก้มหลบและรีบหาที่กำบัง ฉันยังยืนอยู่ตรงห้องนั่งเล่น มองหาปืนหรืออะไรก็ตามที่พอจะใช้ประโยชน์ได้ในเวลานี้และตัดสินใจวิ่งไปที่ห้องนอน คว้าเอาปืนพกมาทันก่อนที่กระสุนนัดหนึ่งจะพุ่งใส่โคมไฟหัวเตียง ฉันหลบอยู่ตรงตู้เสื้อผ้าและพยายามเอื้อมมือไปปิดม่านไว้
"นีโอ! ทางนี้"
ฉันหาประตูเข้าลับที่อยู่ในห้องนอนก่อนจะใช้แรงดันตู้เสื้อผ้าออก นีโอที่เห็นว่าทางสะดวกรีบวิ่งมาก่อนที่ฉันจะรีบปิดประตู เราวิ่งมาตามทางเดินยาว มุ่งหน้าไปที่ลิฟท์เพื่อติดต่อลิซ ฉันวิ่ง...จนสายตาไปสะดุดเข้ากับเงาใครบางคนที่อยู่ด้านหน้าเรา ใช้เวลาพิจรณาอยู่ครู่หนึ่งถึงรู้ว่าเขาเป็นใคร
"คาร์ล?"
ถึงจะมองไม่ชัดนัก แต่ผมสีน้ำตาลแบบนั้นใช่เขาแน่ คาร์ลไม่พูดอะไรก่อนจะหันปากกระบอกปืนมาที่ฉัน แล้วเขาก็เหนี่ยวไกทันทีโดยไม่ลังเล ก่อนที่ฉันจะได้ทันทำอะไรนีโอก็พุ่งมารับกระสุนและล้มลง ฉันรีบแตะหน้าอกขวาของ เลือดซึมออกจากแผลกระสุน ภาพที่ทำให้ฉันนึกถึงอีธานอีกครั้ง
"นีโอ!"
[End of Chapter 16]