ใกล้ยามโฉ่ว (ราวยามหัวค่ำ) ท้องฟ้าสีครามเริ่มคลี่ม่วงเข้ม แสงตะเกียงน้ำมันสว่างไสวตามถนนสายหิน หนิงซินสาวเท้าเร็วออกจากจวนราวกับเงา เธอใช้ความเงียบเชียบและว่องไวยิ่งกว่าลมวสันต์พัดผ่าน ใครจะไปคิดว่าอดีตสาวเทควันโดสายดำจากโลกอนาคตอย่างเธอจะหนีหลุดจากสายตาสาวใช้โบราณได้อย่างง่ายดาย
“เฮ้อ โล่งไปทีออกมาพ้นจวนแล้ว”
หนิงซินหอบเบา ๆ พลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก สายตากวาดไปทั่วเมืองโบราณที่คึกคักด้วยร้านแผงลอย เสียงพ่อค้าเร่ดังแข่งกัน
“เร่เข้ามาบัวลอยร้อน ๆไว้กินยามค่ำ!”
เธอชะงัก หันซ้ายทีขวาที ถนนทอดยาว มีทั้งโรงน้ำชา ร้านขายผ้า โรงหมี่ควันโขมงแต่…
“หอนางโลมอยู่แถวไหนกันนะ…”
หนิงซินยืนงงท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยคนสวมชุดผ้าแพรตัวยาว ทุกสายตาหันมามองหญิงสาวผู้แต่งกายทะมัดทะแมงราวบุรุษหนุ่มน้อยรูปงาม เธอเกาศีรษะพลางบ่นเบา ๆ เป็นภาษาสมัยใหม่
“โอ๊ย! นี่มันไม่ใช่กูเกิ้ลแมป จะให้เดินหายังไงล่ะเนี่ย!”
เด็กขายข่าวคนหนึ่งที่นั่งตีกลองไม้เล็ก ๆ อยู่ริมทาง เงยหน้าขึ้นมามองหนิงซินพลางหัวเราะคิก
“คุณชาย…ท่าทางเหมือนคนหลงทาง หาหอนางโลมอยู่รึ?”
หนิงซินชะงัก ก่อนรีบยิ้มเจื่อน ๆ
“เอ่อ…ใช่สิ ๆ! เจ้าเด็กนี่ ฉลาดใช้ได้ พาข้าไปที!”
เด็กขายข่าวหรี่ตา ยกคิ้วสูง
“ข้าไม่พาไปเปล่า ๆ หรอกนะ อย่างน้อยก็…”“โอเค ๆ เดี๋ยวซื้อบัวลอยให้สองถ้วย เอาไหม!”
เด็กหัวเราะเสียงใส ลุกขึ้นทันที
“ตกลง! ตามข้ามาเถอะคุณชาย หอนางโลมของเมืองหลวง อยู่ตรงตรอกถัดไปนั่นเอง สวรรค์เร้นจันทร์!”
“สวรรค์เร้นจันทร์…คือชื่อหรือ” หนิงซินทวนพลางย่นคิ้ว“ฟังแล้วชวนคิดแปลก ๆ แฮะ ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะสดใสของนางดังแทรกกลางยามราตรี แต่ไม่ทันไร เหล่าคุณชายสามคนในชุดแพรหรูหราก็ก้าวเข้ามาพอดิบพอดี ร่างตรงหน้ายามมองใกล้ ๆ ล้วนเป็นคุณชายบุตรตระกูลผู้ดี มาดสูงส่ง หัวเราะเจื้อยแจ้วคล้ายเมามายเล็กน้อย
“เจอแล้ว…” หนิงซินเบิกตากว้าง แอบสะกดรอยตามไปโดยไม่คิดชีวิต
ประตูหอเร้นจันทร์สูงใหญ่ประดับโคมแดงห้อยระย้า กลิ่นกำยานหอมหวานโชยมาแตะจมูก เสียงดนตรีขลุ่ยและพิณดังคลอราวหมู่เมฆโอบล้อม ทันทีที่คุณชายทั้งสามก้าวเข้าไป บรรยากาศก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักและกลิ่นสุรา
หนิงซินก้มมองตัวเองในชุดบุรุษ ใบหน้าสะท้อนบนกระจกเงาที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้า…“แต่สภาพแบบนี้ เราจะไปอยู่ในห้องกับหลิวเซียนได้อย่างไร” เธอบ่นกับตัวเองเสียงเบา
ความคิดพลันแล่นขึ้นมาในสมอง‘ต้องเป็นสตรีในหอนางโลมเท่านั้นสิ! ไม่งั้นหลิวเซียนจะตื่นมาข้างเราได้ยังไงเล่า…’
หนิงซินกัดริมฝีปากแน่น พึมพำต่อ
“งั้นก็ต้อง…หาป๋ามู่สินะ เคยเห็นในละครบ่อย ๆ นี่นา ป๋ามู่จะต้องมีหน้าที่จัดสรรสาวงามให้บรรดาคุณชาย”
สายตาของเธอกวาดไปรอบ ๆ เห็นสตรีวัยกลางคนร่างอวบอิ่ม ใบหน้าตกแต่งด้วยแป้งหนา ริมฝีปากแดงสด ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตูด้วยรอยยิ้มเย้ายวน สตรีนั้นกำลังหัวเราะคิกคักกับเหล่าคุณชายราวกับนกน้อยนับพันกำลังร้องประสานเสียง
หนิงซินเบิกตากว้าง ลมหายใจพลันติดขัด
“คนนั้นแน่ ใช่แล้ว นั่นแหละ”
นางยกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกเตรียมเดินตรงไปหาป๋ามู่ในทันที เพื่อเจรจาตกลงให้เธอได้ปรนนิบัติหลิวเซียนที่ตอนนี้น่าจะรออยู่ห้องใดสักห้อง
ไม่กี่เค่อต่อมา
ป๋ามู่เบิกตากว้าง พลันหัวเราะลั่นราวเสียงกลองในงานมงคล“อะไรนะ…เจ้าจะขอมาเป็น นางคณิกา หรือ!”
หนิงซินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาส่องประกาย“ใช่ คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น! แต่ข้ามีข้อแม้…ข้าจะขอเลือก ลูกค้าด้วยตนเอง”
สิ้นเสียง นางล้วงมือจากอกเสื้อ หยิบถุงผ้าเล็ก ๆ โยนลงบนโต๊ะเบื้องหน้า กริ๊งงง! เสียงทองกระทบกันดังใสสะท้อนในห้องโถง กลิ่นโลภลอยขึ้นมาทันที
ป๋ามู่เบิกตากว้าง ปากเผยอยิ้มกว้างกว่าเดิม ดวงตาแทบถลนออกมา“นี่…นี่มันตำลึงทองแท้! เจ้ามีอันใดกล้าหยิบมาโปรยเล่นเช่นนี้!”
หนิงซินยักคิ้ว ยกมุมปากขึ้นราวกับนักเลงสาวยุคใหม่“อย่าถามมาก ที่เหลือ…ท่านก็แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
ป๋ามู่อ้าปากค้าง ใบหน้ากึ่งประหลาดใจ กึ่งตื่นเต้น ราวกับเจอสมบัติล้ำค่าที่เดินมาหาเองถึงที่“โอ๊ย ! นางน้อยผู้นี้ช่าง…มีเสน่ห์น่าพิศวงแท้ หากคืนนี้เจ้าได้ขึ้นห้อง ข้ารับรองว่าสวรรค์เร้นจันทร์ต้องสั่นสะเทือนเป็นแน่!”
หนิงซินหัวเราะเบา ๆ พลางกระซิบกับตัวเอง“สั่นสะเทือนก็ดีสิ…เพราะคืนนี้ข้าจะเปลี่ยนชะตาของพระรองเสียใหม่ให้สำเร็จ”
หลังจากตกลงกันได้แล้ว หนิงซินก็ถูกบ่าวไพร่ในหอสวรรค์เร้นจันทร์พาไปแต่งองค์ทรงเครื่องเสียใหม่ ขับเน้นโฉมงามให้เปล่งประกายยิ่งกว่านางคณิกาผู้ใดในหอ แม้แต่นางป๋ามู่เองยังต้องตะลึง
ชำเลืองมองพลางหัวเราะเบา ๆ
“ที่แท้เจ้าก็งามถึงเพียงนี้ ดอกเหมยแรกแย้มยังมิอาจเทียบได้ คงมิแคล้วตกหลุมรักคุณชายท่านนั้นเป็นแน่… เช่นนั้นก็ขอให้เจ้าสมหวังเถิด”
หนิงซินยกยิ้มเก้อ ๆ ก่อนเอียงหน้าเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว“ขอผ้าปิดบังใบหน้าให้ข้า…ข้าอาย ไม่อาจให้ใครจ้องมองตรง ๆ ได้”
ป๋ามู่เลิกคิ้ว ก่อนส่ายศีรษะหัวเราะเบา ๆ แล้วสั่งบ่าวหยิบผ้าปิดหน้าผืนบางเนื้อดีมาส่งให้ หนิงซินรับมาด้วยมือสั่นน้อย ๆ ค่อย ๆ คลี่ผูกปิดบังใบหน้าตนเองให้เหลือเพียงดวงตา เมื่อสะท้อนเงาในกระจกทองเหลือง ริมฝีปากของนางเผลอยกยิ้มขึ้นมา
“อืม… อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับโป๊นัก พอจะผ่านด่านไปได้” เธอบ่นพึมพำด้วยถ้อยคำแปลกหูจนบ่าวไพร่แถวนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่ไม่มีใครกล้าถาม
ป๋ามู่มองนางจากศีรษะจรดปลายเท้า พลันปรบมือเสียงดัง
เพี๊ยะ!“ดีแล้ว คืนนี้เจ้าจะได้อยู่ในห้องพิเศษชั้นสอง รอรับคุณชายที่เจ้าหมายปอง หากโชคชะตาเมตตา…ทุกสิ่งย่อมเป็นไปดั่งเจ้าปรารถนา”
หัวใจหนิงซินเต้นแรงราวกลองศึก พยายามตั้งสติหายใจเข้าออกลึก ๆ พลางกำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อ“ใช่แล้ว…คืนนี้ชะตาของข้าต้องเปลี่ยน ต้องเป็นข้าต่างหากที่จะได้อยู่เคียงข้างหลิวเซียน ไม่ใช่หญิงต่ำต้อยที่คนเขียนแต่งไว้”
ดวงตาของนางส่องประกายมุ่งมั่น ราวกับสายน้ำที่กลายเป็นเพลิง แม้ขาจะสั่นนิด ๆ แต่หัวใจก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ