ในห้องโถงกว้าง ผู้คนทั้งญาติผู้ใหญ่และแขกเหรื่อรวมตัวกันเต็มไปหมด เสียงซุบซิบนินทา ดังก้องดั่งคลื่นเล็ก ๆ อ๋องเย่หมิงหยวนก้าวเข้ามา ร่างสูงสง่างามยืนอยู่กลางห้อง ดวงตาคมคายจ้องไปยังหนิงซิน ดั่งหยาดน้ำค้างที่เย็นเยียบ
“เจ้าจงบอกข้าสักครั้งเถิด…เหตุใดเจ้ากับหลิวเซียนถึงได้ตื่นมาบนเตียงเดียวกัน”เย่หมิงหยวนเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่กระนั้นทุกท่วงท่าก็เต็มไปด้วยความสง่าน่าเกรงขามแฝงความหนักแน่นดุจภูเขาดั่งผู้มีอำนาจเหนือกว่าผู้ใด
หนิงซินก้าวออกมาช้า ๆ ยืนตรงกลางห้องโถง
“เป็นจริงอย่างที่เขาร่ำลือกันเจ้าค่ะ”
“อวี้เฟย…เจ้า!”เสียงท่านเสนาบดีดังก้องกลางห้องโถง ราวฟ้าผ่าครืน ดวงตาคมเข้มสะท้อนทั้งความตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว ผู้คนทั้งญาติผู้ใหญ่และข้ารับใช้ต่างผงะไปตาม ๆ กัน
“ข้า…ข้าเป็นสตรีที่สูญสิ้นพรหมจรรย์แล้ว เรื่องระหว่างข้ากับท่านอ๋องนั้นย่อมถือเป็นโมฆะ!”เพียะ!เสียงเพียะแผ่วดังขึ้น หนิงซินในร่างหลินอวี้เฟยทรุดกายลงกับพื้น มือเกาะชายเสื้อแน่น ทว่า ยังคงเชิดใบหน้าขึ้นอย่างคนที่กล้าเผชิญ
อ๋องเย่หมิงหยวนลุกพรวดขึ้น ดวงตาคมปราบเปล่งประกายดั่งดวงดาวสะท้อนผืนน้ำ ถึงแม้สายตาและอากัปกิริยาของเขาจะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ในห้วงลึกของหัวใจนั้นยังคงมีใจให้นางเอกไม่น้อย
ทว่า…ข้างกายอ๋องเย่หมิงหยวนยังมีชายารองยืนเคียง ยกสองมือเกาะแขนเขาไว้แน่นราวเกรงว่า หากปล่อยเพียงเสี้ยวลมหายใจ ชายผู้เป็นสามีจะก้าวไปปกป้องสตรีผู้อื่นทันทีดวงหน้าของนางแสร้งฉาบด้วยน้ำตา ริมฝีปากสั่นระริก เอื้อนเอ่ยถ้อยคำอ่อนหวาน หากแฝงพิษร้ายไว้ทุกพยางค์
“ท่านพี่…อย่าได้ไปช่วยหญิงชั่วร้ายผู้นี้เลยเจ้าค่ะ นางมิรู้จักต่ำสูง มิรู้จักรักนวลสงวนตัว ทำให้เสื่อมเกียรติทั้งตระกูล สมควรหรือที่ท่านจะเอ็นดูนางอีก”
หนิงซินมองไปยังสายตาของทุกคนในห้อง สายตาทุกคู่ที่มองมาเต็มไปด้วยความหยามหยัน“ใครก็ตามห้ามแตะต้องนาง!”
เสียงเข้มกังวานดังก้องสะท้อนทั่วโถง ทุกผู้คนชะงักงันหันขวับไปยังต้นเสียงร่างสูงสง่าของ หลิวเซียน ก้าวเข้ามาช้า ๆ มาดมั่นดุจอัศวินขี่ลม พานบรรจุ สินสอดทองหยอง เครื่องหยก และผ้าไหมล้ำค่า พร้อมบ่าวผู้ติดตามทยอยยกเข้ามาเรียงรายจนเต็มสองฟากโถง
ทุกสายตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ทั้งเพราะของกำนัลอันโอฬารตระการตา และทั้งเพราะถ้อยคำประกาศิตที่เขาเปล่งออกมาเมื่อครู่
“หลิวเซียน…”เสียงเรียกขานนั้นหลุดจากริมฝีปากของผู้คนแทบพร้อมกัน ทั้งด้วยความแปลกใจและไม่อาจคาดเดา
เขาก้าวตรงไปยังร่างที่ทรุดหมอบอยู่บนพื้น เงาสูงสง่ารีบรุดเข้ามาประคองร่างของหลินอวี้เฟยหรือหนิงซินให้ลุกขึ้นอย่างอ่อนโยนสองแขนมั่นคงดังขุนเขา หากแต่สัมผัสที่มอบให้นั้นเปี่ยมด้วยความถนอมราวกลัวว่านางจะแตกสลายไปในพริบตา
เมื่อได้พบนัยน์ตาคู่งามที่ยังคลอไปด้วยหยาดน้ำตา หลิวเซียนพลันก้มกายเล็กน้อย ดวงหน้าคมคายทอดต่ำจนแทบประชิด เอ่ยวาจาเสียงหนักแน่นก้องกังวานก้องไปทั้งโถง
“โทษล้วนอยู่ที่ข้า มาชักช้าเพียงครู่เดียว จึงปล่อยให้เจ้าต้องถูกเหยียดหยามและเจ็บช้ำต่อหน้าผู้คน อวี้เฟย… ต่อแต่นี้ไป ข้าหลิวเซียนจะไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องเจ้าอีกแม้เพียงปลายก้อย”
เสียงถ้อยคำดังชัดเจน พานบรรจุสินสอดทองหยองและของกำนัลซึ่งเรียงรายอยู่สองฟาก ยิ่งขับให้คำประกาศนั้นหนักแน่นดุจหินผา ทุกผู้คนในโถงต่างอึ้งงันไปชั่วขณะ
“หลิวเซียน…เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ตรงหน้าผู้คนนับร้อยนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรแล้ว”สุรเสียงทุ้มต่ำของอ๋องเย่หมิงหยวนดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ ทุกถ้อยคำแฝงทั้งโทสะและศักดิ์ศรีอันสูงส่ง
เขาก้าวออกมาจากที่ประทับ เพียงย่างก้าวก็ราวขุนเขาเคลื่อน พลังอำนาจแผ่ซ่านจนบรรยากาศหนักอึ้ง ดวงตาคมลึกจับจ้องหลิวเซียนประหนึ่งคมดาบที่พร้อมเฉือนฟัน
“เจ้าคือทายาทตระกูลเสนาบดี ผู้คนเรียกขานไท่จื้อตระกูลหลิว หากแต่วันนี้กลับกล้าเหิมเกริม แย่งชิงคู่หมั้นผู้อื่นต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่เกรงฟ้าดิน เจ้ามิได้หวั่นเกรงความอัปยศที่จะตกแก่ตระกูลหรืออย่างไรเล่า!”
สิ้นถ้อยคำ เสียงฮือฮาก็ระงมไปทั่วโถง บ้างก็ครหาว่าหลิวเซียนอาจลบหลู่เกียรติยศราชวงศ์ บ้างก็แอบชื่นชมความกล้าหาญของเขา
“ข้าไม่สน! ข้าสนเพียงนางเท่านั้น!”
เสียงประกาศก้องของหลิวเซียนสะท้อนกังวานทั่วโถง ราวกับจะตัดขาดสายลมและเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนให้เงียบสงัดลงชั่วขณะในทันที เขาก้าวออกไปยืนกายสูงสง่าโอบคุ้มดั่งกำแพงเหล็ก ปกป้องสตรีเบื้องหลังจากสายตาอันแหลมคมทั้งหลาย
“ถ้าเช่นนั้น ก็จงพาลูกเนรคุณของข้าออกไปจากจวน! ตั้งแต่นี้ไป เจ้ากับข้าไม่ใช่พ่อลูกกันอีก อวี้เฟย! อย่าได้เหยียบย่างกลับเข้าตระกูลหลินอีกเป็นอันขาด!”
เสียงท่านเสนาบดี หลินเจิ้งหาว ดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ ถ้อยคำหนักแน่นประดุจค้อนเหล็กตอกลงกลางอกผู้ฟัง สายตาเขาคมกริบ แฝงไปด้วยทั้งความโกรธเกรี้ยวและความอับอายที่มิอาจจะแบกรับ
“ท่านพ่อ!”
หนิงซินเบิกตากว้าง หัวใจพลันไหวสะท้าน ไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงเพียงนี้
ทันใดนั้น เสียงอ๋อง เย่หมิงหยวน ดังขึ้นอย่างองอาจ“ข้าไม่เห็นด้วย! นางอาจถูกหลิวเซียนใช้เล่ห์เพทุบายล่อลวง ข่าวลือที่ว่าข้ามิได้ถือโทษถือสา ข้าพูดจริงมิใช่เพียงคำลม อดีตจนถึงบัดนี้ ข้ามั่นใจว่านางมีใจให้แก่ข้า ดังนั้น…ควรปล่อยให้นางได้เอ่ยปากเลือกด้วยตนเอง ว่านางจะยืนอยู่ข้างผู้ใด!”
พลันโถงกลางเงียบสงบ สายตาทุกคู่หันมาจับจ้องยังร่างบางที่ยืนอยู่กลางวงล้อม
เสนาบดีหลินเจิ้งหาวกำมือแน่น ก่อนตวาดด้วยเสียงเย็นเยียบ“ว่าอย่างไรเล่า เจ้าลูกไม่รักดี! เจ้าจะเลือกผู้ใดกันแน่!”
“ข้า…”
หนิงซินมิได้ลังเล หากแต่เพียงใช้เวลาไตร่ตรอง ว่าหากตนเอ่ยนามหลิวเซียนออกไป เขาจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้างดังนั้นต้องหาเหตุผลมาหักล้างให้เขาดูเป็นคนดีขึ้นบ้างในสายตาของบิดา
“เจ้ามิต้องหวาดหวั่น”เสียงเย่หมิงหยวนดังกังวาน นัยน์ตาฉายชัดถึงความมั่นใจประหนึ่งว่านางจะต้องเลือกตนเป็นแน่
หนิงซินในร่างหลินอวี้เฟยพลันหมอบคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าบิดา หลินเจิ้งหาว น้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความสั่นสะท้านแห่งความจริงใจ
“ท่านพ่อ! แต่เดิมลูกเคยเทิดทูนบุรุษผู้หนึ่ง ว่ามีเพียงรักเดียวมอบให้ลูก ทว่ากาลเวลาผันผ่าน ความจริงก็กระจ่างชัดในใจข้าแล้ว… ว่ามีเพียง หลิวเซียน ผู้เดียว ที่รักและภักดีต่อลูกโดยมิแปรผัน”