เทพธิดาซือเหลียนเป็นนางบำเรอ NC 3P
ตอนที่ 1 เทพธิดาซือเหลียน
“อึก ปล่อยข้านะ!”
ซือเหลียนพยายามดิ้นรนจากบุรุษที่อุ้มนางอยู่แม้จะพยายามใช้พลังที่มีอยู่น้อยนิดขัดขืนแต่ก็ไร้ประโยชน์ นางถูกปิดตาและพันธนาการไว้พร้อมถูกส่งให้บุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพมาร โดยที่นางนั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ดูน่าเกรงขามชวนอึดอัดจนนางอยากจะหนีห่าง เมื่อนึกถึงจิ้งจอกน้อยที่อยู่กับนางก่อนหน้านี้นั้นก็หายไป มันคงถูกสังหารแล้วสินะ
ตูม!
ร่างเล็กถูกเขาโยนลงไปในสระของตำหนักอย่างไร้ความปรานีส่งผลให้นางนั้นพยายามตะเกียกตะกายอาภรณ์สีขาวยามเมื่อเปียกปอนกลับแนบเนื้อจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของนางอย่างชัดเจน มือเล็กที่ถูกพันธนาการด้วยบ่วงมารนั้นถูกปลดปล่อย เว้นเพียงผ้าที่ใช้ปิดตานาง
“มะ ไม่นะ ฮึก ข้าว่ายน้ำไม่เป็น!”
ซือเหลียนตะโกนขอความช่วยเหลือ นางถูกปิดตาจึงไม่อาจเห็นว่ายามนี้มีบุรุษสองคนกำลังยืนมองร่างเล็กที่ตะเกียกตะกายอยู่ในสระน้ำอยู่
“ท่านพี่ ข้าย่อมให้ท่านได้กินนางก่อน แต่ได้โปรดอย่าฆ่านางเลย”
บุรุษใบหน้าหวานสวมชุดขนจิ้งจอกสีแดงเอ่ยเมื่อมองพระเชษฐาที่เป็นคนอุ้มนางมายังโลกปีศาจแห่งนี้ก่อนส่งสายตาร้องขอให้เขา แต่กลับรู้สึกว่าลมหายใจของตนนั้นขาดห้วงเพราะร่างเล็กที่เคยโอบอุ้มตนนั้นช่างงดงาม ในรอบพันปีที่ผ่านมาเขานั้นต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะแม้จะเป็นผู้รักษาราชการแทนเทพมารแต่ด้วยข้อตกลงที่แสนจะเอารัดเอาเปรียบของแดนสวรรค์
“นางเป็นของข้า และเจ้า”
เสียงหนักแน่นที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ของผู้เป็นพี่ชายเอ่ยก่อนมองร่างของเทพธิดาบุปผาที่ถูกสระน้ำดูดกลืนพลังเทพไปจนหมดแล้ว ร่างเล็กที่ตะเกียกตะกายรู้สึกหมดแรงนางปล่อยให้ตัวเองนั้นจมลงไปโดยไม่พยายามอีก
เมื่อพี่ชายพูดดังนั้นเขาจึงกระโดดลงไปหาร่างเล็กที่กำลังจมดิ่งลงไปก้นสระ ร่างของซือเหลียนถูกอุ้มขึ้นมาจากน้ำทันท่วงทีก่อนจะถูกสระน้ำดูดกลืนไปเช่นเหล่าเทพคนอื่น ๆ
“ปล่อยข้านะ!”
ซือเหลียนเมื่อรู้สึกว่าถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ นางกำลังหวาดกลัวเมื่อรู้สึกว่าพลังเทพของนางนั้นหายไป แม้บุรุษที่กำลังอุ้มนางอยู่นั้นไม่มีกลิ่นอายของเทพมารเลยแต่นางกลับรู้สึกว่าเขานั้นน่ากลัวเช่นกัน
“อย่าดิ้น ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเจ็บ”
เขากระซิบบอกร่างเล็กที่เขากำลังอุ้มอยู่ มือเล็ก ๆ ของนางนั้นทุบตีเขาแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกเจ็บแม้เพียงนิด
ในตำหนักของเทพมารที่ตอนนี้ถูกนางกำนัลจัดเตรียมห้องให้เทพธิดาผู้เป็นเครื่องสังเวยตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย หรือจักรพรรดิมาร จักรพรรดิแดนปีศาจที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว และเรื่องนั้นก็ทำให้เหล่ามารในแดนปีศาจล้วนดีใจในการกลับมาของเขา
ร่างเล็กของนางถูกพระอนุชาวางก่อนเดินออกไป เหล่านางกำนัํจลจึงมองนางด้วยความสงสารและรีบปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เปียกน้ำออกไป
“จะทำอะไร ไม่ อย่าแตะต้องข้านะ!”
ซือเหลียนร้องขอเมื่อถูกนางกำนัลประคองร่างที่เปลือยเปล่าให้ลุกขึ้น เช็ดน้ำที่เกาะบนกายนาง ก่อนสวมชุดนอนที่บางเบาที่แทบปิดร่างกายอันเย้ายวนชวนให้หลงใหลไม่มิด เหล่านางกำนัลที่เป็นปีศาจแม้จะเป็นสตรีด้วยกันก็มิอาจละสายตาจากความงามของเทพธิดาบุปผาผู้นี้ไปได้ ร่างของนางถูกวางลงบนที่นอนนุ่มก่อนถูกผ้าแพรนุ่มลื่นรัดที่ข้อมือนาง แล้วนางกำนัลก็รีบออกจากห้องไปทันที
“อึก ช่วยด้วย ท่านพี่เทียนเสวี่ย”
ซือเหลียนนึกถึงผู้เปรียบเสมือนพี่ชายของตนในแดนสวรรค์แต่ก็รู้อยู่แก่ใจตนดีว่านางไม่มีพลังเทพหลงเหลืออยู่แล้ว
“อย่าพยายามเลย พลังของเจ้าใช้ไม่ได้กับที่นี่หรอก”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยก่อนเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้างามออกไป เขาจับร่างนางที่กำลังดิ้นรนให้เผชิญหน้ากับเขา ร่างเล็กใช้มือที่ถูกมัดผลักอกเขาออกเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจ้องมองนางมากกว่าหนึ่งคู่! มือเรียวบีบแก้มนางเข้าหากันก่อนสูดดมกลิ่นกายที่หอมหวานราวมีหมู่ผกาอยู่รายล้อม
“ซือเหลียน มหาเทพผู้นั้นไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าเจ้าจะถูกส่งมาให้เป็นนางบำเรอแก่ข้าและน้องชาย”
ทันทีที่เขาพูดจบน้ำตาของเทพธิดาบุปผาก็ไหลอาบแก้ม นางเป็นเทพธิดาที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ แม้จะถูกปิดตาไว้แต่ก็ไม่อาจซ่อนความงดงามของนางได้
“ทะ ท่านจอมมารได้โปรดอย่ากินข้าเลยนะ”
ซือเหลียนอ้อนวอน พวกเขาอาจเข้าใจผิดเรื่องนางบำเรอก็เป็นได้
“หึ เจ้าช่างไร้เดียงสา”
เสียงทุ้มจากทางด้านหลังว่าก่อนแตะริมฝีปากลงบนต้นคองามจนร่างเล็กสะดุ้ง
นางถูกพี่เทียนเสวี่ยหลอกเช่นนั้นหรือ
ส่วนบุรุษที่นังอยู่ด้านหน้าก็โน้มลงสัมผัสริมฝีปากงามเคล้าคลึงและกัดด้วยความรุนแรงจนนางรู้สึกได้ถึงเลือดบนริมฝีปาก แม้ร่างเล็กจะขบปากแน่นแต่กลับถูกมือหนาจับท้ายทอยให้นางยินยอมตอบรับรสจุมพิตของเขาจนนางยอมให้เขาเข้าไปฉกชิมความหวานภายในโพรงปาก
“อึ่ก ท่านจะไม่กินข้าใช่ไหม”
ซือเหลียนร้องท้วงเมื่อปากถูกปลดปล่อยให้กลายเป็นอิสระ บุรุษผู้เป็นพระอนุชาจึงเผลอยกยิ้มให้ผู้เป็นเชษฐาที่เพิ่งลิ้มรสหวานจากปากของนางเขาไม่ได้ยิ้มเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว และเขาก็แปลกใจที่พระเชษฐายอมฟังคำทัดทาน
“พวกข้าไม่กินเจ้าหรอกวางใจได้ แต่เจ้าต้องรองรับความต้องการของพวกข้า”
ผู้เป็นพระเชษฐาพูดก่อนมือหยาบกระด้างของเขาฉีกกระชากชุดนอนที่เบาบางแล้วสัมผัสกับปทุมถันที่งดงามของเทพธิดา ความนุ่มหยุ่นทำให้นางนั้นกัดริมฝีปากไว้แน่นยามถูกเขาสัมผัสและบีบบี้ยอดอกนั้นนางรู้สึกร้อนไปทั่วร่าง มือเล็กที่ถูกพันธนาการไว้ถูกพระอนุชาจับจ้วงแล้วยกร่างเล็กขึ้นมานั่งลงบนตักของเขาก่อนสัมผัสหลังเล็กไล้ลงมาจนถึงหน้าท้องที่แบนราบก่อนวกกลับมาจับบั้นท้ายงามที่นุ่มนิ่ม ปากหยักขบเม้มซอกคองามจนเกิดเป็นร่องรอยสีแดงช้ำ ก่อนที่นางจะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ซอกคอยามคมเขี้ยวถูกฝังลงไป ร่างเล็กรู้สึกราวถูกสูบพลังไปจนหมดสิ้น
มือของบุรุษอีกคนแตะลงบนจุดอ่อนไหวบนกายงามของนางที่นางพยายามหนีบหาเพื่อหลบเลี่ยงการสัมผัสของเขา ก่อนซุกไซร้ปทุมถันคู่งามที่ชูช่อยอดท้าทายให้เขาก้มลงไปลิ้มรส
“อ๊ะ…”
ซือเหลียนร้องครางอย่างตกใจยามยอดอกของตนถูกปากหนาครอบครองราวหิวกระหาย เนินอกงามถูกเขากัดจมเขี้ยวพร้อมดูดกลืนโลหิตรสชาติหอมหวานอย่างเอร็ดอร่อย สายตาแดงก่ำจ้องมองร่างเล็กที่ทำได้แค่ส่งเสียงคราง
นางรู้สึกว่าร่างกายของตนนั้นหมดเรี่ยวแรง ความรู้สึกแปลกใหม่กระจายไปทั่วช่องท้อง ซือเหลียนไม่รู้ว่ายามนี้เสียงครางของตนกำลังเชื้อเชิญให้จอมมารทั้งสองเริ่มกลืนกินนางอย่างช้า ๆ ร่างกายของบุรุษทั้งสองนั้นร้อนผ่าว เมื่อพระอนุชาจับร่างงามให้นอนลงหลังเล็กสัมผัสกับเตียงนุ่มก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งยังเก้าอี้ขนแกะนุ่มมองผู้เป็นเชษฐาลงไปทาบทับบนกายนางพร้อมจับขาเรียวงามให้แยกออกจากกันจนกว้างพอที่จะแทรกตัวตนเข้าไป
“มะ ไม่นะ ได้โปรด..”
ซือเหลียนบอกน้ำเสียงสะอื้นแต่กลับฟังดูแล้วคล้ายเชิญชวน นางรู้สึกถึงบางอย่างของบุรุษที่ทาบทับกายนาง นางจึงรีบกระถดกายหนี ความแข็งขึงจดจ่อเข้ากับกลีบบุปผารอคอยภมรเข้ามาเชยชม ซือเหลียนดิ้นรนจนผ้าที่มัดไว้เสียดสีกับข้อมือจนเจ็บ
“อื้อ จะ เจ็บ..”
ร่างเล็กกัดริมฝีปากแน่นเมื่อสิ่งแปลกปลอมกำลังรุกล้ำเข้ามาในกายนาง ร่างแกร่งร้อนผ่าวกำลังดุนดันเข้าไปในช่องทางคับแน่น
“อย่าดิ้น!”
เสียงอันดุดันพร้อมกับเสียงขบกรามและเสียงหอบกระชั้นบ่งบอกถึงความอดทนของเขา ซือเหลียนน้ำตานองหน้าแม้จะเป็นเทพธิดาแต่ใช่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดกับตนนั้นคืออะไร ความรู้สึกเจ็บ จุก และเสียวปะปนกันไปหมด เยื่อพรหมจรรย์ฉีกขาดพร้อมเลือดสาวที่ไหลออกมา
“อึก อ๊ะ อ๊ะ..”
ซือเหลียนรู้สึกว่าร่างกายตนนั้นเริ่มปรับตัวกับกายแกร่งของเขายามครวญครางเสียงเบา นางจึงรีบดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นจากความทรมานนี้ แต่ไม่เป็นผลเมื่อเขาจับสะโพกนางเอาไว้และกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรงและหนักหน่วง ซือเหลียนรู้สึกว่าร่างกายราวจะฉีกขาด แต่เขากลับรู้สึกถึงอกถึงใจในการเสพสมกับนางในครั้งนี้ ร่างสูงกระแทกกระทั้นนางอยู่พักใหญ่ก่อนปลดปล่อยบางอย่างที่ร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ร่างของเขาจึงซบลงบนอกงาม
“อึก อ๊ะ อ๊ะ..”
ซือเหลียนรู้สึกว่าร่างกายตนนั้นเริ่มปรับตัวกับกายแกร่งของเขายามครวญครางเสียงเบา นางจึงรีบดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นจากความทรมานนี้ แต่ไม่เป็นผลเมื่อเขาจับสะโพกนางเอาไว้และกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรงและหนักหน่วง ซือเหลียนรู้สึกว่าร่างกายราวจะฉีกขาด แต่เขากลับรู้สึกถึงอกถึงใจในการเสพสมกับนางในครั้งนี้ ร่างสูงกระแทกกระทั้นนางอยู่พักใหญ่ก่อนปลดปล่อยบางอย่างที่ร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ร่างของเขาจึงซบลงบนอกงาม
ซือเหลียนนึกว่ามันจะสิ้นสุดลงตรงนี้แต่ร่างสูงที่ซบลงบนอกนางกลับจับนางให้นั่งลงบนตักปลดผ้าซึ่งผูกข้อมมือนางออก นางรู้สึกถึงความแข็งขึงของตัวตนเขาที่ยังคงขยายใหญ่อยู่ เรือนผมงามของนางยังแผ่กระจายไปทั่วแผ่นหลังที่งดงาม ก่อนที่จะถูกบุรุษอีกคนสัมผัสพร้อมดอมดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายนาง มือเล็กจึงทุบลงบนอกกว้างของเขาและพยายามใช้พลัง
“อื้มม ร่างกายของนางช่วยข้าได้ดีจริง ๆ …”
พระเชษฐาว่า ยามสัมผัสร่างนุ่มไม่แปลกใจที่มหาเทพจะหวงแหนนางถึงเพียงนี้ รูปร่างของนางชวนให้พวกเขาอยากจะกลืนกินนางให้หมดทั้งตัว
“เข้ามาสิ กงสือ”
เขาเอ่ยบอกผู้เป็นอนุชาที่ยังคงสูดดมผมหอมของนาง พระอนุชายิ้มให้ก่อนใช้มือหนาตะปบบลงบั้นท้ายนุ่มกลมกลึงที่ด้านหน้ายังคงถูกครอบครองอยู่ คนตัวโตบังคับให้นางแอ่นสะโพกขึ้นก่อนบดเบียดแก่นกายเข้าไปยังช่องทางรักด้านหลัง
“ขะ ข้าเจ็บ อึก อ๊ะ”
นางน้ำตาไหลเมื่อรู้ว่าช่องทางรักอีกด้านก็ถูกรุกรานเข้ามา ความรู้สึกเจ็บแปลบส่งผลให้นางบีบรัดร่างของเขาเอาไว้ ซือเหลียนพยายามกลั้นเสียงครางนางเจ็บปวดที่ถูกกระทำจากทั้งสองด้าน
“อ๊ะ อ๊ะ..”
ความเจ็บนั้นเลือนหายก่อนมือของบุรุษทั้งสองเอื้อมมาบีบเคล้นอกอวบที่สั่นสะท้อนตามแรกกระแทกจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซือเหลียนทั้งสั่นสะท้านราวเหน็บหนาวแม้ดวงตาคู่งามจะถูกพวกเขาปิดไว้ แต่นางกลับรู้สึกอับอายที่ต้องตกเป็นของจอมมารทั้งสองในคราวเดียวกัน ริมฝีปากขบเม้มซอกคอและใบหู สองพี่น้องจอมมารเร่งเร้าจังหวะยามนางบีบรัดตัวตนของพวกเขาให้แรงขึ้น
“อ่าห์…”
เสียงครางของทั้งสองทำให้ร่างเล็กขนลุก กายของสองบุรุษที่ร้อนผ่าวแนบชิดกับนาง ยิ่งยามขยับนางก็ยิ่งรู้สึกเสียวซ่าน นางรู้สึกว่าร่างกายนั้นมีบางสิ่งกำลังจะปะทุออกมา แม้จะอึดอัดและจุกเสียดแต่กลับทำให้สุขสม
“อ๊า”
ซือเหลียนนั้นกรีดร้องยามพวกเขาเร่งจังหวะสมองของนางนั้นขาวโพลน ร่างงามนั้นเหนื่อยหอบ แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังไม่ยอมปล่อยร่างเล็กให้ได้พัก นางถูกเคี่ยวกรำทั้งคืน เทพธิดาบุปผาไม่รู้เลยว่าจอมมารทั้งสองจะมีความต้องการมากถึงขนาดนี้
หนึ่งวันก่อนหน้า…
แดนสวรรค์
เสียงกัมปนาทกึกก้องคล้ายกำลังเกรี้ยวโกรธ เรือนหมู่ตำหนักที่ประทับของเทพ แม้กระทั่งระฆังสวรรค์นั้นสั่นคลอน ทวยเทพที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ต่างแปลกใจ นี่ไม่ใช่เสียงของการกำเนิดใหม่แต่คล้ายมีผู้บุกรุกที่ไม่ใช่ชาวสวรรค์
“เจ้าจิ้งจอกน้อยอย่าได้ไปวิ่งเพ่นพ่าน”
เสียงหวานกระซิบเตือนจิ้งจอกน้อยตัวสีแดงก่อนรีบเข้าไปอุ้มมาไว้แนบอกแล้วมองรอบ ๆ ราวกลัวจะมีผู้ใดพบเจอในอุทยานสวรรค์แห่งนี้มีเพียงเทพเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามาเดินได้ นางเพิ่งเป็นเทพได้เพียงสองร้อยปีเท่านั้นแต่กลับปล่อยให้จิ้งจอกน้อยที่เก็บได้ระหว่างทางขึ้นแดนสวรรค์ได้เข้ามาในอุทยานได้ แต่น่าแปลกนางจำได้ว่าตัวมันนั้นบาดเจ็บไม่น้อยแต่ทันทีที่เท้าแตะอุทยานบาดแผลนั้นกลับเลือนหายพร้อมทั้งความสั่นสะเทือนของแดนสวรรค์อีกครั้ง
“เจ้า! เทพธิดาบุปผากล้าดีเช่นไรถึงเอาจิ้งจอกปีศาจเข้ามาในแดนสวรรค์”
เสียงกึกก้องของเทพผู้เป็นแม่ทัพสวรรค์เอ่ย มองร่างเล็กที่พยายามซ่อนจิ้งจอกไว้แนบอกทหารของสวรรค์ตรงเข้ากระชากร่างเล็กจนนางเซล้ม เสียงเอะอะของแม่ทัพสวรรค์ทำให้เหล่าเทพที่พำนักอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นเริ่มให้ความสนใจ
“โปรดละเว้นชีวิตมันด้วยเถอะเพคะ ข้าเห็นมันบาดเจ็บเลยจะเก็บมารักษา ข้าจะนำมันกลับไปยังโลกมนุษย์ด้วยเพคะ”
เทพธิดาบุปผา นาม ซือเหยียน พยายามปกป้องจิ้งจอกก่อนสั่นกลัวอาญาของสวรรค์นางคงต้องถูกลงทัณฑ์แต่หากช่วยชีวิตเจ้าจิ้งจอกตัวนี้ได้คงไม่เป็นอะไรหรอก
“แดนสวรรค์ห้ามปีศาจขึ้น แต่เจ้ากลับพามันเข้ามาถึงที่แถมสร้างความวุ่นวายเช่นนี้อีกเจ้าจะต้องถูกทำโทษให้ไปเกิดที่โลกมนุษย์และต้องเจอวิบากกรรมเก้าร้อยชาติ!”
แม่ทัพสวรรค์เอ่ยอย่างไร้ปรานี เหล่าทวยเทพต่างมองหน้ากันเพราะพูดกันตามตรงเทพธิดาบุปผานั้นอายุยังน้อยนัก นางไร้เดียงสาแต่ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนเทียบน้ำหนักกับแม่ทัพสวรรค์ที่ชอบทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตในรอบพันปีที่ผ่านนั้นความผิดของนางดูจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเขาเพียงเล็กน้อย
“ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าการลงโทษเช่นนี้ดูจะหนักหนาเกินไป..”
เสียงทุ้มนุ่มนวลชวนเคลิบเคลิ้ม พร้อมกับกลิ่นอายที่สูงศักดิ์เดินเข้ามา มู่หรงเทียนเสวี่ย มหาเทพผู้มีบารมีสูงสุด เหล่าทวยเทพต่างยิ้มรับให้กับเขา
“มหาเทพมู่หรง นางทำผิดจะปกป้องนางเช่นนี้ไม่ได้”
แม่ทัพสวรรค์พูดเสียงดัง มหาเทพเช่นมู่หรงเทียนเสวี่ยทำได้แค่แค่นยิ้ม เขากำลังเดินหมากล้อมกับตาแก่เทพแห่งชะตาแต่กลับมีแรงสั่นสะเทือนและทำให้ตำหนักของเขาเสียงหายถึงหนึ่งหลังได้นั้นผู้ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา
“ท่านกำลังเข้าใจเทพธิดาซือเหลียนผิดไป นางกำลังช่วยชีวิตเจ้าจิ้งจอกตัวนี้ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุของแรงสั่นสะเทือนหรอกนะ ยามนี้เทพมารเว่ยหยางกงจวิ้นได้ตื่นขึ้นมาแล้ว”
มหาเทพมู่หรงเทียนเสวี่ยว่า แม่ทัพสวรรค์ถึงกลับทำหน้าเคร่งเครียดและเทพทั้งหลายก็ต่างเริ่มหวาดกลัวกัน
“พันปีที่ตัวเขานั้นหลับใหลเพราะสัญญาที่ให้ไว้กับแดนสวรรค์ เกรงว่าเขาคงกำลังตรงมาที่นี่”
“ท่านมหาเทพหากเขาตรงมาที่นี่ไม่ใช่จ้องจะทำลายแดนสวรรค์ของพวกเราหรอกหรือ เราต้องเตรียมรับมือ”
แม่ทัพสวรรค์เอ่ยเสียงสั่นเครือ เทพมารผู้นี้นั้นขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหด หนึ่งพันปีก่อนเขารบกับสวรรค์เพราะเทพผู้หนึ่งสังหารพี่น้องของเขาเพราะเรื่องเข้าใจผิด แดนสวรรค์นั้นลุกเป็นไฟเพราะถูกเผาทำลายเทพบรรพชนถูกสังหารจนสิ้น เหลือเพียงมหาเทพมู่หรงเทียนเสวี่ยเท่านั้น แต่เพราะข้อตกลงที่พวกเขายอมประหารเทพผู้นั้นแลกกับการหลับใหลของเขาหนึ่งพันปีทำให้แดนสวรรค์นั้นสงบสุขเรื่อยมา
“เราต้องส่งเทพไปยังแดนปีศาจ”
ทันทีที่มหาเทพกล่าวจบเหล่าเทพที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งพันปีกลับเริ่มหวาดกลัว ผู้ใดกันอยากถูกส่งไปสังเวยให้แก่เทพมารที่ขึ้นชื่อเรื่องความวิปริต
“นางอย่างไรล่ะ เทพธิดาซือเหลียนนางทำผิดกฎสวรรค์”
เทพองค์หนึ่งชี้ไปยังซือเหลียนที่ทำหน้าตกใจ ทุกคนต่างเห็นด้วยที่จะส่งนางไปเป็นเครื่องสังเวยให้แก่เทพมารเว่ยหยางกงจวิ้น
“เทพธิดาซือเหลียนอย่าได้กังวล หากเจ้าเต็มใจไปข้ายินดีจะรีบไปรับเจ้าทันที ขอเพียงเจ้ารอข้า”
มหาเทพมู่หรงเทียนเสวี่ยบอกก่อนโปรยยิ้มให้ซือเหลียนเทพธิดาตัวน้อยที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูตั้งแต่นางกำเนิดจากต้นเหมยสวรรค์ หน้าตาของนางนั้นงดงามแต่กลับซุกซนเขาหมายปองนางตั้งแต่คราแรกที่ได้พบและมั่นใจว่าเทพมารเช่นเว่ยหยางกงจวิ้นย่อมไม่สนใจเทพธิดาน้อยนางนี้เป็นแน่
“จริงหรือเจ้าคะพี่เทียนเสวี่ย เช่นนั้นท่านรีบมาช่วยข้านะ”
นางกล่าว ก่อนยินยอมไปเป็นเครื่องสังเวยให้แก่เทพมาร และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เทพธิดาซือเหลียนถูกจับมัดมือและเท้าพร้อมทั้งปิดตาแล้วถูกส่งมายังโลกปีศาจทันที ร่างเล็กถูกมอบให้เว่ยหยางกงจวิ้นที่มองเทพพวกนี้อย่างรำคาญตา ก่อนรีบกลับไปยังโลกปีศาจ
ซือเหลียนไม่รู้ว่ายามนี้คือเวลาใด เปลือกตาบางขยับเปิดขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าผ้าที่ใช้ปิดตาของนางนั้นถูกแกะออกแล้ว นางค่อย ๆ ดันกายขึ้นมานั่ง ความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งร่างโดยเฉพาะส่วนนั้นทำให้นางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เทพธิดาบุปผาถูกจอมมารสองพี่น้องย่ำยี น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งาม ร่างของนางนั้นแปดเปื้อนราคีแล้ว
นางจะกลับสวรรค์ได้อย่างไร
เมื่อร่างเล็กลุกขึ้นมองเรือนกายของตัวเอง ก็พบร่องรอยสีแดงช้ำทั่วทั้งตัว
“อึก เหตุใดต้องเป็นข้าด้วย”
น้ำเสียงสั่นพร่าของหญิงสาวที่พยายามประคองร่างตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้นน้ำอุ่นคาวในกายนางก็ไหลย้อยลงมาจากช่องทางรักที่แดงช้ำ มือเรียวงามคว้าผ้ามาพันรอบกาย สายตาสำรวจรอบ ๆ ห้องที่ดูเล็กคับแคบและดูทึบ ร่างเล็กสั่นเทาจากไอเย็นที่อยู่ภายในห้อง กวาดตามองสภาพห้องที่ดูเก่า ข้างเตียงมีไม้ที่ตัดเป็นท่อนนางเดาว่าที่นี่น่าจะเป็นห้องเก็บฟืนมากกว่าจะเป็นห้องพัก
“ฟื้นแล้วหรือ”
น้ำเสียงของสตรีวัยกลางคนดังมาจากหน้าห้อง ซือเหลียนรีบถอยหลังไปทันทีด้วยความหวาดกลัว จนร่างของนางล้มลงบนพื้น แม้จะเจ็บแต่ก็ไม่อยากส่งเสียงออกมานางจึงนิ่วหน้าและกัดปากตัวเองเอาไว้
“หึ เป็นเทพที่อ่อนแอเสียจริง จะทนได้สักกี่วันกัน”
นางกำนัลที่ทำหน้าเป็นหัวหน้าดูแลตำหนักวัยกลางคนเปิดประตูเข้ามาก่อนก้มมองร่างของหญิงสาวที่มีฐานะเป็นนางบำเรอของผู้เป็นนายด้วยสายตาพิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าหวานที่ดูขาวซีด เรือนร่างล้วนมีแต่ร่องรอยสีแดงช้ำที่ถูกเจ้านายของตนนั้นประทับลงไปทั้งสิ้น
“ข้าเป็นหัวหน้านางกำนัลที่นี่ และต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องทำงานเฉกเช่นนางกำนัลคนอื่น ๆ และยามค่ำคืนเจ้าต้องพร้อมปรนนิบัตินายท่านทั้งสองให้ดี เอาล่ะ นี่คือ อันอัน นางจะมาเป็นคู่หูของเจ้าในการทำงานช่วงเช้า เจ้าต้องรับผิดชอบดูแลสวนวสันต์ให้ดี ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ และสระน้ำจะต้องสะอาดและไร้ซึ่งข้อผิดพลาด ส่วนงานอื่น ๆ ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง รีบพานางไปแต่งตัวแล้วไปทำงานได้แล้ว”
หัวหน้านางกำนัลเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงอันอันที่รีบเข้ามาประคองร่างของซือเหลียนให้ลุกขึ้น
“ข้าชื่ออันอัน ท่านน่าจะอายุเยอะกว่าข้า เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่สาวนะเจ้าคะ”
อันอันแนะนำตัวเองแล้วรีบไปหยิบชุดนางกำนัลยื่นให้ซือเหลียน นางรับชุดมาก่อนรีบเปลี่ยนชุดทันที นางยืนยิ้มให้พี่สาวเทพธิดา แม้ใบหน้านางจะดูอิดโรย แต่ก็ไม่สามารถทำลายความงดงามของนางได้ ก่อนที่จะรีบเข้ามาช่วยหญิงสาวจัดแต่งทรงผมโดยเกล้าเป็นมวยและปักปิ่นไม้ให้
“ข้าชื่อซือเหลียนนะ ยินดีที่ได้รู้จัก และก็ขอบใจเจ้ามากที่มาช่วยข้า”
ซือเหลียนพูดก่อน ลุกขึ้นมองนางกำนัลที่อายุน้อยกว่าตัวเอง
“พี่สาวเรารีบไปทำงานกันเถอะก่อนที่ท่านป้าหงจิ่นจะมาดุ”
อันอันรีบจับมือซือเหลียนให้เดินตามนางออกไป สวนวสันต์ที่หัวหน้านางกำนัลนามหงจิ่นเอ่ยนั้นค่อนข้างอยู่ไกลจากเรือนที่พักของนางมาก เพราะต้องเดินผ่านหมู่ตำหนักหลายหลังที่มีทางเดินซับซ้อนยิ่ง กว่าจะมาถึงที่สวนแห่งนี้
ซือเหลียนมองดูสภาพของสวนที่โอบล้อมสระน้ำไว้แล้วหนักใจ เพราะสภาพที่เรียกว่าสวนวสันต์นั้นไร้ซึ่งต้นไม้ ดอกไม้ที่มีสีสันด้วยมันนั้นแห้งเหี่ยว และตายหมด หรือแม้กระทั่งน้ำในสระยังแห้งขอด ตัวศาลากลางสระนั้นก็ดูทรุดโทรม
“เอ่อ พี่สาวสวนวสันต์ถูกทิ้งร้างไว้นานกว่าสองร้อยปีแล้วล่ะเจ้าค่ะ ตั้งแต่นายหญิง เอ๊ย คนดูแลสวนหายไป”
อันอันบอก
นางเกือบเผลอบอกเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว
“อันอัน ขะ ข้าอยากถามว่าทางออกของโลกปีศาจอยู่ตรงไหนหรือ”
ซือเหลียนรีบถามอันอันทันที
“พี่สาวข้าบอกท่านไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ ท่านก็อย่าคิดจะหนีดีกว่าเจ้าค่ะ เรามาช่วยกันปรับปรุงสวนแห่งนี้ดีไหมเจ้าคะ ข้าจำได้ว่าตอนข้าเข้ามาเป็นนางกำนัลใหม่ ๆ สวนนี้สวยงามมาก มีดอกไม้นานาชนิด แถมในสระยังมีเจ้าพวกงูสารพัดพิษอีกด้วย”
อันอันรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะนางจะไม่ยอมบอกทางหนีให้เทพที่เป็นเครื่องสังเวยเด็ดขาด ซือเหลียนที่ถูกปฏิเสธได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ
นางไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่ คงต้องค่อย ๆ เก็บข้อมูลและหาทางหนีออกไปจากโลกปีศาจเอง
“อันอัน ทำไมข้าถึงไม่ถูกกินล่ะ แล้วนางบำเรอผู้ใดเป็นที่โปรดปรานของท่านจอมมารกัน”
ซือเหลียนเอ่ยถาม ก่อนนั่งลงแล้วจ้องมองสระน้ำที่แห้งเหือด มันดูไร้ชีวิตชีวาคล้ายคลึงกับชีวิตของนางตอนนี้เสียจริง
“พี่สาวซือเหลียน ในตำหนักเทพแห่งนี้มีเพียงท่านเป็นนางบำเรอ เอ่อ ท่านคนเดียวที่ได้ปรนนิบัติท่านจอมมารเจ้าค่ะ”
อันอันตอบก่อนนั่งลงข้าง ๆ
“แสดงว่าพวกเขามีนางบำเรออยู่ก่อนแล้วหรือ”
“ไม่เชิงหรอกเจ้าค่ะ พวกนางล้วนถูกส่งมาเป็นของบรรณาการ ยิ่งพอท่านเว่ยหยางกงจวิ้นฟื้นจากการหลับใหล สตรีปีศาจก็ถูกส่งมานับร้อย แต่ถูกส่งกลับไปให้เหล่าขุนนางคนสนิท ไม่ก็เป็นนางกำนัล หรือหากยังเข้ามาพยายามที่จะยั่วยวนท่านจอมมารก็ถูกฆ่า…”
อันอันบอก
นางยินดีหากพี่สาวซือเหลียนจะครอบครองตำแหน่งจักรพรรดินีในโลกปีศาจ เพราะนางสัมผัสได้ถึงความจริงใจของพี่สาวท่านนี้
ซือเหลียนรู้สึกหนักใจเมื่อรู้ว่าไม่มีสตรีอื่นคอยรองรับอารมณ์กระหายของพวกเขา มิเท่ากับว่านางต้องคอยรองรับอารมณ์เหล่านั้นเพียงผู้เดียวหรอกหรือ
“สาวซือเหลียน ท่านคอยอยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ ข้าลืมนึกไปว่าท่านคงจะหิวมากข้าจะรีบไปนำอาหารมาให้ท่าน วันนี้เรานั่งชมสวนกันไปก่อนวันหลังเราค่อยทำงานก็ได้เจ้าคะ”
อันอันพูดก่อนลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที พอนางกำนัลตัวน้อยลับตาไป ซือเหลียนก็ลุกขึ้นเดินสำรวจรอบ ๆ สวนวสันต์
“จอมมารพวกนั้นจะสนใจสวนดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวพวกนี้หรือ”
หญิงสาวบ่น ในใจไม่ได้คิดอยากจะดูแลสวนเลยสักนิด มือเรียวงามแตะลงบนพุ่มดอกมู่ตาน [1] พุ่มไม้ที่แห้งเหี่ยวกลับค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใส ดอกมู่ตานสีชมพูชูช่อเบ่งบานรับแดดทันที ซือเหลียนยิ้มให้พวกมัน พลังของนางไม่ได้หายไปหรอกหรือ นางรีบพิสูจน์ความคิดเมื่อนางแตะลงบนพื้นหญ้าที่กายเป็นสีน้ำตาลมันกลับกลายฟื้นคืนมาสดใส ส่งผลให้พุ่มดอกมู่ตาน และต้นไม้ในบริเวณนั้นฟื้นคืนชีพกลับมาอวดโฉมความงดงามอีกครั้ง
“แสดงว่าข้ายังคงมีพลังอยู่”
ซือเหลียนดีใจเป็นอย่างมาก รีบวิ่งตรงไปยังศาลากลางสระน้ำแล้วปล่อยพลังออกมาทันที แสงสีขาวนวลฟุ้งกระจายพร้อมกลีบดอกไม้นานาพันธุ์แปรเปลี่ยนสถานที่ทรุดโทรมให้กลับมาดูเหมือนใหม่อีกครั้ง น้ำในสระถูกเติมเต็ม เหล่าปลาน้อยใหญ่แหกว่ายในน้ำสีมรกต เหลียนฮวา [2] หลากสีลอยบนผิวน้ำ ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบนั้นดูสงบร่มรื่น
นัยน์ตากลมโตกระจ่างใสรีบใช้พลังตรวจหาประตูทางออกแต่กลับไม่พบอะไร ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อนางพบเจอบางสิ่งที่คุ้นตา ร่างเล็กรีบตรงไปยังกำแพงของตำหนักแห่งหนึ่งที่อยู่ชิดกับสวนแห่งนี้
“จิ้งจอกน้อย เจ้ายังไม่ตาย”
หญิงสาวรีบโอบอุ้มร่างของจิ้งจอกตัวน้อยขนสีแดงอย่างเบามือ มันอยู่ในสภาพที่เหมือนไร้เรี่ยวแรง ซือเหลียนรีบพามันออกจากตรงนี้แล้วตรงมายังอันอันที่ถือปิ่นโต และกำลังมองรอบ ๆ สวนวสันต์อย่างดีใจ แต่ทันทีที่นางพบว่าพี่สาวนางฟ้ากำลังอุ้มจิ้งจอกสีแดงอยู่ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็แปรเปลี่ยนเป็นแปลกใจแทน
“อันอัน จิ้งจอกตัวนี้ข้าเคยพบมันมาก่อน เจ้ารู้จักมันหรือไม่”
นางรีบถาม โดยไม่ทันสังเกตว่าอันอันนั้นรู้สึกอยากจะร้องไห้เมื่อพบจิ้งจอกสีแดงที่พี่สาวเทพธิดาอุ้มแนบอก
“พี่สาวพามันกลับไปที่ห้องดีหรือไม่”
อันอันว่าก่อนเดินนำร่างเล็กให้เดินตาม ซือเหลียนทั้งอุ้มจิ้งจอกและรีบวิ่งตามนางที่มีกิริยาแปลกไป เมื่อถึงห้องนางกำนัลตัวเล็กจึงกล่าวลาและบอกว่าให้นางรีบกินอาหารเสีย
“แปลกจัง เมื่อครู่ยังดูชอบสวนที่ข้าเสกขึ้นมาอยู่เลย”
หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนมองจิ้งจอกตัวน้อยที่จ้องมายังนาง ซือเหลียนทิ้งตัวลงนอนแล้วลูบหัวเจ้าจิ้งจอกน้อย มันขยับตัวเข้ามาใกล้ร่างนางแต่ยามนี้ดูเหมือนมันจะไม่ได้ดูไร้เรี่ยวแรงเหมือนครั้งแรกที่นางเจอ
“ข้าดีใจที่ได้เจอกับเจ้า ข้าสัญญาว่าจะปกป้องเจ้านะ อืม ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม โหย่วอี้ [3] ชื่อนี้ความหมายดีนะ”
มือเล็กช้อนจิ้งจอกน้อยขึ้นมามอง นางมองไม่ออกจริง ๆ ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย หน้าตาของมันเมื่อถูกเรียกชื่อก็คล้ายจะดีใจ
“เสี่ยวโหย่วอี้ เจ้าคงหิว ในนี้มีอะไรบ้างนะ มาเถอะข้าจะแบ่งให้เจ้า”
ซือเหลียนพูดก่อนลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก นางวางจิ้งจอกน้อยลงบนตักก่อนเปิดปิ่นโตที่อันอันนำมาให้ ในนี้มีเนื้อย่าง หมั่นโถว และน้ำแกง หญิงสาวยิ้มก่อนวางส่วนเนื้อแล้วป้อนเจ้าจิ้งจอก มันกินอย่างอร่อย มืออีกข้างของนางก็หยิบหมั่นโถวขึ้นมากิน แม้จะเป็นเทพธิดาแต่พอมาอยู่โลกปีศาจนางกลับรู้สึกอยากอาหาร จึงเลือกกินหมั่นโถวลูกอวบอ้วน
เมื่อจัดการอาหารจนอิ่มท้อง นางก็รู้สึกง่วงทันที ร่างเล็กเผลอหลับไป แต่รู้สึกตัวคล้ายตกในห้วงความฝันว่ามีคนอุ้มนางวางลงบนเตียงนุ่ม
“อืม หนักจังเสี่ยวโหย่วอี้เจ้า!"