Chapter 4
ส่วนตุลย์เองก็ยังคงจับต้นชนปลายไม่ได้ แม้ความทรงจำจะขาดหายไปบางส่วนแต่เรื่องบางเรื่องมันก็หยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกว่าเขานั้นมีรสนิยมเรื่องความรักแบบไหน ถ้าสิ่งที่ได้รู้จากปริญญ์คือคำโกหก ทำไมเขาต้องมาโกหกเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ เพราะคงไม่มีผู้ชายสติดีๆ ที่ไหนบอกว่ารักอยู่กับผู้ชายด้วยกันแบบนี้แน่
“โอ้ย...ทำไมถึงปวดหัวขนาดนี้” ตุลย์กุมศีรษะของตัวเอง เพราะจู่ๆ ความเจ็บก็พุ่งเข้าหา นอกจากที่หัวแล้วก็ยังมีแผลที่ถูกยิงตรงท้องนั่นอีก ทำไมเขาถึงถูกยิงแล้วใครกันที่ยิงเขา คำถามมากมายพวกนี้ใครจะมาเฉลยให้เขาหายสงสัยกันแน่
แม้ความทรงจำในช่วงสองปีหลังจะขาดหายไป ทว่านอกนั้นกลับยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง แม้จะไม่เต็มร้อยแต่ก็ยังดีที่เขายังคงจำหน้าพ่อและแม่ได้ รวมถึงตอนที่ท่านทั้งสองพากันจูงมือขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เขาจำได้ว่าบ้านอยู่ที่ไหนรวมถึงเรียนจบจากที่ไหนมา เคยทำงานอะไรมาก่อน ชอบหรือไม่ชอบอะไรและเคยมีเพื่อนชื่อว่าอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้มีมากมายนักและเพื่อนสนิทของเขาก็มีเพียงคนเดียวจนถึงตอนนี้น่าจะยังทำงานที่อยู่ต่างประเทศ เขาจำได้เพียงแค่นั้นจริงๆ
ดูเหมือนว่าตอนนี้ในสมองของตุลย์เหลือเพียงความว่างเปล่ามากกว่าความทรงจำในอดีต แม้จะเครียดที่ตัวเองต้องเป็นแบบนี้ เหมือนคนไม่มีที่มาที่ไปอย่างบอกไม่ถูกถึงอย่างนั้นตุลย์กลับรู้สึกอุ่นใจที่มีปริญญ์ ก่อนที่จะได้ยินเสียงประตูเปิดออกและคนที่ก้าวเข้ามาคือคนที่บอกว่าเป็นคนรัก
“เกิดอะไรขึ้นกับผม” ตุลย์เอ่ยถามขึ้น
“นายกับฉันมาพักผ่อนที่นี่แล้ววันที่เกิดเหตุนายขอไปขับรถแล่น ส่วนฉันติดงานด่วนจึงตามไปด้วยไม่ได้ นายหายไปพักใหญ่จนมืดค่ำก็ยังไม่กลับ ฉันจึงขับรถออกตามหาจนทั่วแต่จู่ๆ นายก็ออกมาจากข้างถนนพุ่งตัวมาใส่รถฉัน ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันเหยียบเบรกได้ทัน ตำรวจสันนิษฐานว่านายอาจถูกโจรแถวนั้นดักปล้น เพราะรถหายไปรวมถึงของใช้ส่วนตัวของนาย” อันที่จริงปริญญ์ยังไม่ได้แจ้งตำรวจ ส่วนเรื่องที่เขาพูดนั้นมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงผสมกันอยู่
“ฉันเสียใจที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับนาย ถ้าวันนั้นฉันไม่มัวแต่ทำงานแล้วไปกับนายด้วย เรื่องเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้นกับคนที่ฉันรัก” คำว่ารักที่ได้ยินทำให้ตุลย์รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ไหนจะสายตาที่ปริญญ์ส่งมาให้นั่นอีก
“แต่ที่ฉันเสียใจที่สุดคือตอนนี้ ตอนที่นายลืมไปแล้วเราเคยรักกันมากแค่ไหน”
“ลืมได้ยังไงในเมื่อผมจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” คนบนเตียงที่ยังเจ็บไปทั้งตัวบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ใครมันจะไปตั้งสติได้ทัน ถูกดักปล้นจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดก็ว่าร้ายแรงแล้ว พอรู้สึกตัวยังต้องมารับรู้ว่าตัวเองความจำหายไปบางส่วน ไหนจะเรื่องที่ผู้ชายตรงหน้าบอกว่าคือคนรักของเขาอีก แม้จะรู้ว่าตัวเองมีรสนิยมความรักแบบไหนแต่มันเกินจะตั้งรับได้ทันจริงๆ
“เอาเป็นว่านายเชื่อคำพูดของฉันได้ ถ้าไม่เชื่อก็ดูรูปพวกนี้สิ” เอ่ยจบปริญญ์ก็ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้ตุลย์ได้ดูรูปที่ผ่านการตัดต่อมาอย่างมืออาชีพแล้ว เรียกได้ว่าเนียนกริบยันเส้นขนจนเขายังอดที่จะทึ่งไม่ได้
ตุลย์ค่อยๆ ไล่เปิดดูรูปแต่ละรูปอย่างช้าๆ ทุกรูปบ่งบอกถึงความรักรวมถึงความใกล้ชิดเป็นอย่างดี แววตาสีหน้าของเขารวมถึงของอีกฝ่ายก็ต่างมีความสุขจนเกินเบอร์เสียด้วยซ้ำ ไหนจะรูปฉลองวันครบรอบ หนึ่งปีที่ตอกย้ำจนตุลย์เริ่มเชื่อว่าเขาคือคนรักของตัวเอง
“คราวนี้จะเชื่อฉันได้หรือยัง”
“ยังครับ” คำพูดของตุลย์ทำเอาปริญญ์เสียวสันหลังแปลกๆ แต่ก็ยังวางฟอร์มให้นิ่งเข้าไว้
“งั้นก็ถามมาสิ”
“คุณเคยเจอพ่อกับแม่ผมไหม”
“ไม่เคย ที่ไม่เคยเพราะนายยังไม่ได้พาฉันไปเปิดตัวกับท่านทั้งสอง” คำตอบของปริญญ์มีความเป็นไปได้ เพราะเท่าที่ความทรงจำของตุลย์ยังมี เขาจะไม่พาใครเข้าบ้านจนกว่าจะคบได้สองปี แต่ตอนนี้ต่อให้อยากพาไปพบพ่อกับแม่ของเขาก็ไม่อยู่บนโลกแล้ว
“พ่อกับแม่ผม ท่านเสียชีวิตแล้วทั้งคู่”
“ฉันเสียใจด้วย ที่ผ่านมาฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนจริงๆ”
“ผมคงไม่ได้บอกคุณเอง อีกคำถามผมมีพี่น้องไหม”
“ไม่มี นายบอกฉันว่าเป็นลูกคนเดียว” ใช่ตุลย์เป็นลูกคนเดียวของที่บ้าน ส่วนปริญญ์ที่ตอบคำถามแบบวัดดวงก็ลุ้นตัวโก่งเช่นกันว่าเขาตอบถูกหรือตอบผิดกันแน่
“ครับ...ผมเป็นลูกคนเดียว” คำตอบของตุลย์ทำให้ปริญญ์ลอบเป่าลมออกปากหนักๆ “แล้วเอ่อเพื่อนผมละครับ”
“มีอยู่สองสามคน แต่พี่ก็ไม่ได้สนิทด้วยมาก” ปริญญ์ออกตัวไว้ก่อน
“แล้วผมจะติดต่อพวกนั้นได้ยังไง” ตุลย์เอ่ยถามเพราะจนถึงตอนนี้เขาก็ยังจำใครไม่ได้จริงๆ ปริญญ์รับรู้ได้ถึงความกังวลนั้น เขาตัดสินใจเข้าไปหาใกล้ๆ แล้วถามไถ่เรื่องอาการบาดเจ็บเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ส่วนเรื่องตอนที่พวกเขาคบหากันนั้น หากตุลย์ต้องการจะรู้เขาก็พร้อมจะเล่าให้ฟัง แต่เพราะอยากพักผ่อนทำให้ตุลย์ไม่ได้ถามอะไรกับปริญญ์อีก
หลังตุลย์นอนพัก ปริญญ์ก็กลับมาที่รีสอร์ตของวริชเพื่อเก็บของใช้ส่วนตัว อีกใจคือต้องการกลับมาเตรียมการกับเพื่อนสนิทให้เข้าใจตรงกัน วริชถึงบางอ้อในจุดประสงค์ของปริญญ์ แต่งานหนักคือเขาต้องมานั่งจำเรื่องความรักแบบมโนของเพื่อนด้วยนี่สิ
“นายจะทำแบบนี้จริงๆ นะเหรอ” วริชเอ่ยถาม
“อืม” ปริญญ์พยักหน้ารับ
“ไม่อยากแต่งก็บอกที่บ้านไปว่าไม่แต่ง ทำไมต้องลากคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย แถมเป็นคนที่ความจำหายไปแบบนั้นอีก”
“เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ที่บ้านก็คงหาเรื่องให้เราแต่งงานกับใครไม่รู้อีกอยู่ดี เอาให้มันจบๆ เราเหนื่อยที่จะต้องมานั่งปิดเรื่องพวกนี้แล้วเหมือนกัน อีกอย่างเด็กนั่นก็ไม่มีใครให้พึ่ง” อันที่จริงปริญญ์เองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่เหตุการณ์หลายๆ อย่างมันพาไปจนถอนตัวไม่ได้
ที่สำคัญคือเขารู้สึกดีกับตุลย์ รู้สึกดีตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า บวกกับความสงสารที่ต้องเจ็บตัวปางตายแบบนั้นและเขาก็ตั้งใจจะตามสืบหาตัวคนร้ายให้ไม่ปล่อยลอยนวลไปอย่างเด็ดขาด
“ส่วนเรื่องคนร้ายจะเอายังไง จะปล่อยไปแบบนี้เหรอ”
“ไม่...รออะไรๆ ลงตัวเราจะสะสางเอง ยังไงตุลย์ก็ไม่ควรเจ็บตัวจนเกือบตายแบบนั้น ความเจ็บ ความทรงจำที่มันหายไป ต้องมีคนรับผิดชอบ”
“เอาไงก็เอากัน เพราะตอนนี้เราก็ให้คนในพื้นที่ตามสืบข่าวอยู่ ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะรีบแจ้ง”
“ขอบใจมากวิช” ปริญญ์ตบบ่าของวริชหนักๆ แล้วหิ้วกระเป๋าตรงไปยังรถสปอร์ตที่จอดอยู่ จากนั้นก็ขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าตุลย์ ส่วนคนเจ็บเมื่อเห็นปริญญ์ก็เผลอส่งยิ้มให้อย่างลืมตัว แต่นั่นกลับเป็นรอยยิ้มที่กระแทกหัวใจของคนรับอย่างจัง