โม่โฉวนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง ขณะที่ความทรงจำจากวันเก่าค่อย ๆ ไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว...
...ย้อนกลับไปเมื่อตอนเขาอายุราว สิบสองขวบ
ในตอนนั้น เขา, เติ้งหนิงเฉิง และสวีสิฮัน ยังเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกัน ต่างคนต่างเติบโตในย่านเดียวกัน แต่ไม่นานนัก ครอบครัวของแต่ละคนก็ย้ายไปคนละทิศละทาง ทิ้งไว้เพียงความทรงจำบางช่วงที่ไม่เคยเลือนหาย
ภาพในวันนั้นยังชัดเจนในหัวเขา
วันที่เขาเห็นสวีสิฮันนั่งร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ใต้เครื่องเล่นเก่า ๆ ในสวนสาธารณะ
“ฮือ...ฮือออ…” เสียงสะอื้นแผ่วเบาของเด็กหญิงดังก้องในหัวเขา
เด็กผู้หญิงที่ปกติชอบตีเขา ดึงแขน ดึงหู พูดจาข่มใส่เขาตลอด วันนี้กลับนั่งร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว
...เธอหายจากโรงเรียนไปหลายวัน และวันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเธออีกครั้ง
โม่โฉวเดินเข้าไปใกล้ ในมือของเขามีอมยิ้มอันเล็กที่ซื้อมาเพราะอยากกินเอง แต่เมื่อเห็นเธอร้องไห้แบบนั้น เขาก็ยื่นมันให้แทน
“เป็นอะไร ยัยนางมาร...” เสียงเขาเบาเหมือนกลัวทำลายความเปราะบางตรงหน้า
เธอไม่ตอบ
ไม่แม้แต่จะมองเขา
เพียงแค่ก้มหน้าร้องไห้ เสียงสะอื้นสั่นระริก
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงร้องไห้
แต่สิ่งที่เขารู้แน่ชัด คือเขารู้สึก “สงสาร” เธอขึ้นมาจับใจ
เหมือนว่า...เธอแบกบางสิ่งที่เด็กอายุเท่านี้ไม่ควรแบกไว้เลย
เขาจึงนั่งลงข้าง ๆ
ไม่พูดอะไร
ไม่ถามสักคำ
แค่นั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้นกับเธอ
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...
เสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งเฮือก
“สิฮัน!!” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกฟากสวน คำตะโกนแฝงด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด และแววตาเธอก็เปลี่ยนทันที...จากความเศร้า เป็นความหวาดกลัว
เขามองตามสายตาเธอ แล้วก็เห็นชายร่างใหญ่ในชุดบ้านธรรมดา เดินก้าวกระชับเข้ามา พร้อมกับถือ ไม้เรียว ยาวไว้ในมือ
เด็กชายอย่างเขาตอนนั้น ไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
...จนกระทั่งเธอลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ และเผลอทำเสื้อลนขึ้นนิดเดียว
และนั่นเอง
เขาก็เห็น...รอยแผลยาวสีแดงสดที่ยังไม่แห้งดี บนแผ่นหลังเล็ก ๆ ของเธอ
“ฮันฮัน…”
เขาเรียกชื่อเธออย่างเบาหวิว ก่อนจะคว้ามือเธอโดยไม่ลังเล
“วิ่ง!” เขากระชากเธอแล้ววิ่งสุดแรงกลับไปบ้านของตัวเอง โดยไม่หันกลับไปมองว่าเขากำลังพาเธอหนีจากอะไร
...แต่ในใจตอนนั้น เขารู้แล้วว่า
เด็กผู้หญิงที่ชื่อ สวีสิฮัน ไม่ใช่แค่นางมารที่เอาแต่แกล้งเขา แต่เธอคือคนที่มี “บางสิ่ง” ที่เจ็บลึกอยู่ในใจ และไม่มีใครรับฟัง
เมื่อโม่โฉวพาสวีสิฮันกลับมาถึงบ้าน เขารีบพาเธอวิ่งขึ้นไปยังห้องของตัวเองโดยไม่ลังเล ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก
ไม่นานนัก เสียงตะโกนลั่นของพ่อสวีสิฮันก็ดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน ดังพอจะทำให้พ่อแม่ของโม่โฉวที่อยู่ชั้นล่างรีบเดินออกไปดูด้วยความตกใจ
เสียงสนทนาของผู้ใหญ่เริ่มดังขึ้นที่ชั้นล่าง บางคำพูดแหลมคม บางคำถามดุเด็ดขาด
ทั้งเขาและสิฮันนั่งเงียบอยู่ในห้อง รออยู่ด้วยใจระทึก
จนกระทั่ง...
ก็อก ก็อก
เสียงฝีเท้าของแม่โม่โฉวดังขึ้นใกล้ประตูห้อง พร้อมเสียงเรียก
“อาโฉว... ลูก เปิดประตูให้แม่หน่อยจ้ะ”
โม่โฉวลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้แม่
ทันทีที่ประตูเปิดออก
สายตาของแม่เขาก็สะดุดเข้ากับเด็กหญิงที่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนเตียง
ใบหน้าเธอเปื้อนน้ำตา ดวงตาบวมแดง เสื้อยับยุ่งและเปื้อนดิน
เป็นภาพที่แม่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“อาโฉว... ลูกพาเพื่อนกลับมาบ้านเฉย ๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะลูก”
แม่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่จริงจัง
“พาเพื่อนไปหาพ่อแม่เขาเถอะนะ”
โม่โฉวส่ายหน้าแรง
“ไม่ครับแม่... ผมไม่ให้เพื่อนผมไปเจอกับ พญามาร หรอกครับ”
เขาหันกลับไปหาสวีสิฮัน คุกเข่าลง แล้วค่อย ๆ ดึงชายเสื้อของเธอขึ้น แผ่นหลังเล็กเผยรอยแดงชัดเจนที่ยังไม่ทันจาง
“แม่ดูนี่สิ... นี่มันไม่ใช่การอบรมสั่งสอนแล้วนะครับ” เสียงเขาสั่นเล็กน้อยแต่แน่วแน่
แม่เบิกตากว้าง
“หา...” เธอนิ่งไปชั่ววินาที ก่อนรีบหันหลังเดินลงไปชั้นล่างทันที เสียงสนทนาที่ยังดำเนินอยู่เบื้องล่างเริ่มเปลี่ยนโทน คราวนี้เป็นแม่ของโม่โฉวที่พูดขึ้นอย่างหนักแน่น
“คุณคะ ถ้าคุณจะตีเด็กจนบาดเจ็บขนาดนี้ คุณควรจะใจเย็นลงก่อน แล้วค่อยมาเอาตัวเด็กกลับนะคะ”
เสียงพ่อของสิฮันตะคอกกลับมาทันที
“ลูกของผม คุณไม่ต้องมายุ่ง อยู่ข้างบนใช่ไหม? ได้! ผมจะขึ้นไปเอาตัวเอง!”
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เริ่มดังขึ้นบนบันได แต่ยังไม่ทันถึงขั้นสุดท้าย เสียงพ่อของโม่โฉวก็ดังขึ้นดักหน้า
“ไม่ให้ไปครับ!” น้ำเสียงของเขานิ่ง เรียบ แต่ทรงอำนาจ
“ถ้าคุณตีเด็กขนาดนี้ เรามีสิทธิ์แจ้งความได้ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก”
“เอาสิ!” เสียงพ่อสิฮันตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว
“ผมแค่ สั่งสอน ลูกผม พวกคุณอย่ามาแส่! ถ้าพวกคุณไม่ให้ผมพาลูกกลับ ผมจะฟ้องกลับข้อหาลักพาตัว ดูสิว่าใครจะโดนหนักกว่ากัน!” เสียงโต้เถียงระหว่างทั้งสามคน พ่อของสวีสิฮัน และพ่อแม่ของโม่โฉว ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถตกลงกันได้ในบ้าน
สุดท้าย เรื่องราวก็จบลงที่... สถานีตำรวจ
ทว่า ความหวังจะพึ่งกฎหมายกลับพังทลายลงแทบจะในทันทีที่ก้าวเข้าไป
...เพราะพ่อของสวีสิฮัน ดันมี “แบ็ก” เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสถานีแห่งนั้น
เจ้าหน้าที่ที่ควรจะเป็นกลาง กลับแสดงท่าทีเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความลังเล ไม่กล้าตัดสินใจใด ๆ
ไม่มีการบันทึกคำให้การอย่างเป็นรูปธรรม ไม่มีท่าทีจะสอบสวนร่องรอยการกระทำผิดอย่างจริงจัง
กฎหมาย...กลายเป็นเพียงฉากหลังที่ไร้ความหมาย
สุดท้าย
พ่อแม่ของโม่โฉวไม่อาจทำอะไรได้ นอกจาก ยอมความ และ ถอนคำฟ้อง
และยิ่งกว่านั้น...
พวกเขายังถูกปรับฐาน “แจ้งความเท็จ” และ “กักตัวเด็กโดยไม่มีหลักฐานว่าถูกทำร้ายร่างกาย”
เหมือนถูกตบหน้ากลางสาธารณชน แม้พวกเขาจะพูดด้วยความหวังดี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ “บทลงโทษ” หลังจากเหตุการณ์วันนั้น
โม่โฉวก็ดูจะเปลี่ยนไป...โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น นอกจากหัวใจของเขาเอง ทุกวัน เขาจะพก ยาทาแผล ติดกระเป๋าไปโรงเรียนเสมอ
ไม่ใช่เพราะเขาตัวซน
แต่เพราะเขาตั้งใจจะเอาไว้...ทาให้เธอ
เขาไม่ได้พูดอะไร
ไม่เคยถาม
ไม่เคยบังคับ
แค่เดินเข้าไปใกล้เธอในช่วงพัก
แล้วก้มลงแตะแผ่นหลังของเธอเบา ๆ พร้อมทายาเงียบ ๆ โดยไม่พูดสักคำ
บางครั้ง เธอก็ผลักเขาออก
บางครั้ง เธอก็นั่งนิ่ง ไม่พูดอะไร
แต่เขาก็ยังทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันคือสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำให้ได้
ในวันที่เธอไม่ได้มาโรงเรียน
เขาก็จะเดินไปยืนรออยู่หน้าบ้านของเธอ ไม่พูด ไม่เคาะ ไม่เรียก
แค่ยืน...จนกระทั่งเธอปรากฏตัวขึ้น หรือจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด แม้เขาจะโดนพ่อแม่ตัวเองดุว่า "ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นมากเกินไป"
แต่เขาไม่เคยอธิบาย
ไม่เคยโต้เถียง
และไม่เคยเปลี่ยนใจ
เขายังคงช่วยเธอ
อยู่ตรงนั้น...เสมอ