เช้าวันรุ่งขึ้น
แสงแดดอ่อนจากริมหน้าต่างสาดทาบลงบนเตียงนอนอย่างแผ่วเบา สวีสิฮันที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเงียบ ๆ
เธอหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มองดูชายหนุ่มที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าผ่อนคลาย เสี้ยววินาทีนั้น...เธอยิ้มบาง ๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
มือเรียวค่อย ๆ เอื้อมไปแตะแก้มของเขาเบา ๆ
ก่อนจะโน้มตัวลง จุมพิตบนใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างแผ่วเบา
โม่โฉวรู้สึกตัวทันทีที่สัมผัสอ่อนโยนนั้นแตะลง เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมคลี่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวไปมหาวิทยาลัยด้วยกันนะครับ” เสียงของเขายังพร่าเล็กน้อยจากความง่วง
สวีสิฮันยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่แฝงด้วยน้ำหนัก
“ตื่นขึ้นไปอาบน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวฉันมีเรื่องจะบอก...”
โม่โฉวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เขารู้ว่า...น้ำเสียงแบบนั้นของเธอแปลว่า “เรื่องนั้น” อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เขาก็พร้อมจะฟัง เพราะไม่ว่าเรื่องนั้นจะคืออะไร...เธอก็ยังเป็น “คนที่เขาเลือกจะอยู่เคียงข้าง” เสมอ
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโม่โฉวก็นั่งลงที่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ กลางห้อง
เขาหันมามองใบหน้าของสวีสิฮัน พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน“เมื่อเช้า...ฮันฮันบอกว่าจะพูดอะไรกับผมงั้นเหรอครับ?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง...แม้จะกลบไว้อย่างแนบเนียน
สวีสิฮันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้า แล้วพูดออกมาเสียงเรียบ
“จริง ๆ แล้ว...ฉันกับเติ้งหนิงเฉิงเป็นคู่หมั้นกัน”
...เสียงของโลกภายนอกพลันเงียบลงในหูโม่โฉวทันทีที่ได้ยินคำนั้น
มือที่กำลังจะตักข้าวหยุดชะงักช้อนหล่นกระทบกับจานเบา ๆ แต่เสียงนั้นกลับดังก้องในใจเขา
เธอมองสีหน้าเขา ก่อนจะรีบอธิบายต่อ
“แต่เราสองคนไม่ได้รักกันนะ...มันเป็นการคลุมถุงชนจากผู้ใหญ่ แล้ว...ถ้าหนิงเฉิงเขาไปบอกพ่อทุกอย่าง เพื่อจบสัญญาหมั่นหมายกัน นายก็รู้ ว่าถ้าพ่อฉันรู้...ฉันจะเจอกับอะไรบ้าง”
เธอเอื้อมมือไปแตะแขนเขาเบา ๆ
“ฉันแค่อยากขอ...ให้เรื่องของเราเป็นความลับ ได้ไหม?”
โม่โฉวเงยหน้าขึ้นสบตาเธอแต่รอยยิ้มที่เคยมีกลับเลือนหาย เหลือเพียงแววตาเจ็บลึก
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผมแต่แรก?” เขาถามด้วยเสียงต่ำ
“ก็...ถ้าฉันบอก...นายอาจจะ...”
“คุณควรจะบอกผม...ก่อนที่เราจะมีอะไรเกินเลยกัน” น้ำเสียงของเขาขาดความอ่อนโยนไปในวินาทีนั้น
เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แม้จะไม่ได้ตะคอกหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมามากนักแต่ความเงียบของเขา...กลับทำให้ห้องทั้งห้องเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
เขาหยิบกระเป๋า หันหลังให้เธอก่อนจะพูดทิ้งท้ายโดยไม่หันกลับมา
“ผมจะไปมหา’ลัยก่อนนะครับ”
ประตูห้องเปิดออก...แล้วก็ปิดลงอย่างแผ่วเบา
เหลือเพียงสวีสิฮัน ที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารมองจานข้าวที่ไม่มีใครแตะต้องก่อนจะหลุบตาลงช้า ๆ
เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ...เพราะรู้ดีว่าคำใด ๆ ก็ไม่สามารถลบความผิดหวังในดวงตาของเขาได้อีกแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
โม่โฉว...ยังคงทำตัวห่างเหินเขาไม่พูด ไม่สบตา และไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้กลุ่มเพื่อนเหมือนเคยแม้ว่าเพื่อนจะถาม ก็ได้เพียงคำตอบสั้น ๆ ตัดบท
“ไม่มีอะไร”
แต่น้ำเสียงนั้นบอกได้ชัดเจนว่า...เขากำลังพยายามหลบเลี่ยงบางสิ่ง...หรือบางคน
วันธรรมดาวันหนึ่ง ในห้องเรียน
โม่โฉวมาถึงก่อนใครนั่งอยู่มุมเดิมริมหน้าต่าง ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างบานเล็กแต่ใจเขากลับร้อนราวกับถูกขังอยู่ในเตาไฟ
เขากำลังเปิดหนังสือ แต่สายตาไม่เคยจับจ้องที่ตัวอักษร...จนกระทั่งเสียงประตูห้องเปิดออก
เธอมาแล้ว
ร่างบางในชุดนักศึกษาก้าวเข้ามาช้า ๆในวินาทีนั้น...โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนสำหรับเขา
...ความคิดถึงที่อัดแน่นมาตลอดสัปดาห์ทำให้ดวงตาของโม่โฉวทอแววรุนแรง ราวกับจ้องจะกลืนกินเธอทั้งร่าง
สวีสิฮันรับรู้ได้ถึงสายตานั้นทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องเธอชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะพยายามทำเป็นไม่สนใจหันหน้าหลบไปทางอื่น แล้วก้าวไปหาที่นั่งด้านหลัง
แต่นั่นไม่ช่วยอะไรเลยเพราะเธอรู้...ว่าเขายังคงจ้องอยู่...จ้องแบบที่ไม่เคยจ้องเธอด้วยแววตานั้นมาก่อน
แววตาอัดแน่นไปด้วยคำถาม ความคิดถึง และ...ความเจ็บปวด
ตลอดทั้งคาบเรียนเธอไม่กล้าหันหลังกลับไปแต่กลับรู้สึกได้ชัดเจน...ถึงแรงสายตาของเขาที่จับจ้องอยู่ไม่วาง
และคนที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนอีกคนก็คือ...เติ้งหนิงเฉิง
เขานั่งไขว้ขาอยู่ตรงกลางห้องพยายามอ่านอารมณ์ของทั้งสองฝ่ายจากบรรยากาศรอบตัว
เขาไม่ได้พูดอะไร...แต่แววตาคมกริบของเขานั้นแสดงชัดเจนว่าเขา "รู้"
รู้ว่ามีบางอย่าง...ได้เปลี่ยนไปแล้ว
เวลาเที่ยง ณ หน้าห้องน้ำมหาลัย
โม่โฉวเพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่ทันได้หยิบมือถือขึ้นมาดู ก็ถูกกลุ่มเพื่อนล้อมไว้ทันที
“เฮ้ย! จับมัน!”
“อะไรวะ?! เฮ้ย...เฮ้ย! เดี๋ยว!” เขายังไม่ทันตั้งตัว ร่างก็ถูกล็อกแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะมีใครบางคนเอาผ้าดำมาคลุมหัว
เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ดังระงมล้อมรอบตัว
“ให้มันรู้ซะบ้าง ว่าทิ้งเพื่อนไปหลายวัน...มันมีผลยังไง!”
ณ ห้องดนตรีมหาวิทยาลัย
เสียงประตูปิดดัง “ปัง!”แสงไฟเหนือศีรษะสว่างจ้า ผ้าดำบนหัวโม่โฉวถูกดึงออกในพริบตา
“อึ่ก...” เขาหลี่ตาลงจากแสงจ้า ก่อนจะรู้สึกถึงเทปที่พันปิดปากอยู่
“อ่า ๆ...เงียบแบบนี้คงยอมสารภาพแล้วสินะ ” เพื่อนคนหนึ่งแกล้งเอาหูแนบลงไปใกล้ปาก
“...อือ อือออ!” โม่โฉวส่งเสียงอู้อี้พยายามร้อง
“เห้ย มันพูดไม่ได้ว่ะ! มึงลืมเหรอว่าปิดปากมันอยู่!” อีกคนรีบเข้ามาแกะเทปกาวออกอย่างลวก ๆ
“โอ๊ยย...เบาหน่อยสิวะ!” เขาสบถทันทีที่ปากเป็นอิสระ
“อะ ขอโทษ ๆ ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะของเพื่อนดังขึ้นอีกรอบ
โม่โฉวมองไปรอบห้องเพื่อนทั้งกลุ่มยืนล้อมเขาเหมือนกำลังทำพิธีจับผิด
“นี่พวกมึงลักพาตัวกูมาทำไมวะ!?” เขาพูดพลางขมวดคิ้ว ใจยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ก็เพราะมึงแม่งหายไปเป็นอาทิตย์!”
“ไม่ตอบแชท ไม่มาเล่นเกม ไม่มากินข้าว!”
“แล้วก็ชอบทำหน้าเครียดใส่พวกกูอีก!” เสียงโวยวายของแต่ละคนประสานกันวุ่นวาย
คนหนึ่งกอดอก ทำหน้าจริงจัง
“ตกลง...มึงเป็นอะไร?”
โม่โฉวเงียบไปชั่วครู่ สบตาเพื่อนทีละคนแววตาจากความหงุดหงิดของพวกเขา...กลายเป็นความเป็นห่วงแบบเพื่อนจริง ๆ
เขาถอนหายใจเบา ๆก่อนจะพูดออกมาเสียงแผ่ว
“...กูแค่มีเรื่องในใจนิดหน่อย”
“กับใครวะ? …อย่าบอกนะว่า…” เพื่อนอีกคนหรี่ตามอง
“สวีสิฮัน” เสียงหนึ่งพูดขึ้นเบา ๆ อย่างจงใจแทงใจดำ
โม่โฉวเงียบไม่มีคำแก้ตัว ไม่มีคำอธิบาย
“เห้ยจริงดิ…”
“ไอ้โม่...นี่มึงชอบน้องเขาจริง ๆ ใช่ไหมวะ”
เขาเงยหน้าขึ้น
“ไม่ใช่แค่ชอบ...กูรักเธอ”
ทั้งห้องเงียบลงทันทีก่อนเสียงโห่ร้องของเพื่อน ๆ จะระเบิดขึ้น
“เชี่ยเอ๊ยยยย!”
“ไอ้โม่มีหัวใจ!”
“โอ๊ยยย...ในที่สุดก็ยอมพูด!”
เสียงหัวเราะและการตบไหล่เริ่มตามมาพร้อมกับเสียงล้อกันไม่หยุด แต่ในดวงตาของโม่โฉว แม้จะมีรอยยิ้มบางแต่ลึก ๆ ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ...
เพราะแม้จะพูดออกมาแล้ว...แต่เขาไม่รู้เลยว่า หัวใจของ “เธอ” คิดยังไงกับเขากันแน่