ตอนที่ 20 : เมื่อรู้ความจริง

1408 Words
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอ่อนจากริมหน้าต่างสาดทาบลงบนเตียงนอนอย่างแผ่วเบา สวีสิฮันที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเงียบ ๆ เธอหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มองดูชายหนุ่มที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าผ่อนคลาย เสี้ยววินาทีนั้น...เธอยิ้มบาง ๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว มือเรียวค่อย ๆ เอื้อมไปแตะแก้มของเขาเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลง จุมพิตบนใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างแผ่วเบา โม่โฉวรู้สึกตัวทันทีที่สัมผัสอ่อนโยนนั้นแตะลง เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ พร้อมคลี่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวไปมหาวิทยาลัยด้วยกันนะครับ” เสียงของเขายังพร่าเล็กน้อยจากความง่วง สวีสิฮันยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่แฝงด้วยน้ำหนัก “ตื่นขึ้นไปอาบน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวฉันมีเรื่องจะบอก...” โม่โฉวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เขารู้ว่า...น้ำเสียงแบบนั้นของเธอแปลว่า “เรื่องนั้น” อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เขาก็พร้อมจะฟัง เพราะไม่ว่าเรื่องนั้นจะคืออะไร...เธอก็ยังเป็น “คนที่เขาเลือกจะอยู่เคียงข้าง” เสมอ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโม่โฉวก็นั่งลงที่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ กลางห้อง เขาหันมามองใบหน้าของสวีสิฮัน พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน“เมื่อเช้า...ฮันฮันบอกว่าจะพูดอะไรกับผมงั้นเหรอครับ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง...แม้จะกลบไว้อย่างแนบเนียน สวีสิฮันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้า แล้วพูดออกมาเสียงเรียบ “จริง ๆ แล้ว...ฉันกับเติ้งหนิงเฉิงเป็นคู่หมั้นกัน” ...เสียงของโลกภายนอกพลันเงียบลงในหูโม่โฉวทันทีที่ได้ยินคำนั้น มือที่กำลังจะตักข้าวหยุดชะงักช้อนหล่นกระทบกับจานเบา ๆ แต่เสียงนั้นกลับดังก้องในใจเขา เธอมองสีหน้าเขา ก่อนจะรีบอธิบายต่อ “แต่เราสองคนไม่ได้รักกันนะ...มันเป็นการคลุมถุงชนจากผู้ใหญ่ แล้ว...ถ้าหนิงเฉิงเขาไปบอกพ่อทุกอย่าง เพื่อจบสัญญาหมั่นหมายกัน นายก็รู้ ว่าถ้าพ่อฉันรู้...ฉันจะเจอกับอะไรบ้าง” เธอเอื้อมมือไปแตะแขนเขาเบา ๆ “ฉันแค่อยากขอ...ให้เรื่องของเราเป็นความลับ ได้ไหม?” โม่โฉวเงยหน้าขึ้นสบตาเธอแต่รอยยิ้มที่เคยมีกลับเลือนหาย เหลือเพียงแววตาเจ็บลึก “แล้วทำไมคุณไม่บอกผมแต่แรก?” เขาถามด้วยเสียงต่ำ “ก็...ถ้าฉันบอก...นายอาจจะ...” “คุณควรจะบอกผม...ก่อนที่เราจะมีอะไรเกินเลยกัน” น้ำเสียงของเขาขาดความอ่อนโยนไปในวินาทีนั้น เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แม้จะไม่ได้ตะคอกหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมามากนักแต่ความเงียบของเขา...กลับทำให้ห้องทั้งห้องเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก เขาหยิบกระเป๋า หันหลังให้เธอก่อนจะพูดทิ้งท้ายโดยไม่หันกลับมา “ผมจะไปมหา’ลัยก่อนนะครับ” ประตูห้องเปิดออก...แล้วก็ปิดลงอย่างแผ่วเบา เหลือเพียงสวีสิฮัน ที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารมองจานข้าวที่ไม่มีใครแตะต้องก่อนจะหลุบตาลงช้า ๆ เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ...เพราะรู้ดีว่าคำใด ๆ ก็ไม่สามารถลบความผิดหวังในดวงตาของเขาได้อีกแล้ว หนึ่งสัปดาห์ต่อมา โม่โฉว...ยังคงทำตัวห่างเหินเขาไม่พูด ไม่สบตา และไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้กลุ่มเพื่อนเหมือนเคยแม้ว่าเพื่อนจะถาม ก็ได้เพียงคำตอบสั้น ๆ ตัดบท “ไม่มีอะไร” แต่น้ำเสียงนั้นบอกได้ชัดเจนว่า...เขากำลังพยายามหลบเลี่ยงบางสิ่ง...หรือบางคน วันธรรมดาวันหนึ่ง ในห้องเรียน โม่โฉวมาถึงก่อนใครนั่งอยู่มุมเดิมริมหน้าต่าง ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างบานเล็กแต่ใจเขากลับร้อนราวกับถูกขังอยู่ในเตาไฟ เขากำลังเปิดหนังสือ แต่สายตาไม่เคยจับจ้องที่ตัวอักษร...จนกระทั่งเสียงประตูห้องเปิดออก เธอมาแล้ว ร่างบางในชุดนักศึกษาก้าวเข้ามาช้า ๆในวินาทีนั้น...โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนสำหรับเขา ...ความคิดถึงที่อัดแน่นมาตลอดสัปดาห์ทำให้ดวงตาของโม่โฉวทอแววรุนแรง ราวกับจ้องจะกลืนกินเธอทั้งร่าง สวีสิฮันรับรู้ได้ถึงสายตานั้นทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องเธอชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะพยายามทำเป็นไม่สนใจหันหน้าหลบไปทางอื่น แล้วก้าวไปหาที่นั่งด้านหลัง แต่นั่นไม่ช่วยอะไรเลยเพราะเธอรู้...ว่าเขายังคงจ้องอยู่...จ้องแบบที่ไม่เคยจ้องเธอด้วยแววตานั้นมาก่อน แววตาอัดแน่นไปด้วยคำถาม ความคิดถึง และ...ความเจ็บปวด ตลอดทั้งคาบเรียนเธอไม่กล้าหันหลังกลับไปแต่กลับรู้สึกได้ชัดเจน...ถึงแรงสายตาของเขาที่จับจ้องอยู่ไม่วาง และคนที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนอีกคนก็คือ...เติ้งหนิงเฉิง เขานั่งไขว้ขาอยู่ตรงกลางห้องพยายามอ่านอารมณ์ของทั้งสองฝ่ายจากบรรยากาศรอบตัว เขาไม่ได้พูดอะไร...แต่แววตาคมกริบของเขานั้นแสดงชัดเจนว่าเขา "รู้" รู้ว่ามีบางอย่าง...ได้เปลี่ยนไปแล้ว เวลาเที่ยง ณ หน้าห้องน้ำมหาลัย โม่โฉวเพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่ทันได้หยิบมือถือขึ้นมาดู ก็ถูกกลุ่มเพื่อนล้อมไว้ทันที “เฮ้ย! จับมัน!” “อะไรวะ?! เฮ้ย...เฮ้ย! เดี๋ยว!” เขายังไม่ทันตั้งตัว ร่างก็ถูกล็อกแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะมีใครบางคนเอาผ้าดำมาคลุมหัว เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ดังระงมล้อมรอบตัว “ให้มันรู้ซะบ้าง ว่าทิ้งเพื่อนไปหลายวัน...มันมีผลยังไง!” ณ ห้องดนตรีมหาวิทยาลัย เสียงประตูปิดดัง “ปัง!”แสงไฟเหนือศีรษะสว่างจ้า ผ้าดำบนหัวโม่โฉวถูกดึงออกในพริบตา “อึ่ก...” เขาหลี่ตาลงจากแสงจ้า ก่อนจะรู้สึกถึงเทปที่พันปิดปากอยู่ “อ่า ๆ...เงียบแบบนี้คงยอมสารภาพแล้วสินะ ” เพื่อนคนหนึ่งแกล้งเอาหูแนบลงไปใกล้ปาก “...อือ อือออ!” โม่โฉวส่งเสียงอู้อี้พยายามร้อง “เห้ย มันพูดไม่ได้ว่ะ! มึงลืมเหรอว่าปิดปากมันอยู่!” อีกคนรีบเข้ามาแกะเทปกาวออกอย่างลวก ๆ “โอ๊ยย...เบาหน่อยสิวะ!” เขาสบถทันทีที่ปากเป็นอิสระ “อะ ขอโทษ ๆ ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะของเพื่อนดังขึ้นอีกรอบ โม่โฉวมองไปรอบห้องเพื่อนทั้งกลุ่มยืนล้อมเขาเหมือนกำลังทำพิธีจับผิด “นี่พวกมึงลักพาตัวกูมาทำไมวะ!?” เขาพูดพลางขมวดคิ้ว ใจยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “ก็เพราะมึงแม่งหายไปเป็นอาทิตย์!” “ไม่ตอบแชท ไม่มาเล่นเกม ไม่มากินข้าว!” “แล้วก็ชอบทำหน้าเครียดใส่พวกกูอีก!” เสียงโวยวายของแต่ละคนประสานกันวุ่นวาย คนหนึ่งกอดอก ทำหน้าจริงจัง “ตกลง...มึงเป็นอะไร?” โม่โฉวเงียบไปชั่วครู่ สบตาเพื่อนทีละคนแววตาจากความหงุดหงิดของพวกเขา...กลายเป็นความเป็นห่วงแบบเพื่อนจริง ๆ เขาถอนหายใจเบา ๆก่อนจะพูดออกมาเสียงแผ่ว “...กูแค่มีเรื่องในใจนิดหน่อย” “กับใครวะ? …อย่าบอกนะว่า…” เพื่อนอีกคนหรี่ตามอง “สวีสิฮัน” เสียงหนึ่งพูดขึ้นเบา ๆ อย่างจงใจแทงใจดำ โม่โฉวเงียบไม่มีคำแก้ตัว ไม่มีคำอธิบาย “เห้ยจริงดิ…” “ไอ้โม่...นี่มึงชอบน้องเขาจริง ๆ ใช่ไหมวะ” เขาเงยหน้าขึ้น “ไม่ใช่แค่ชอบ...กูรักเธอ” ทั้งห้องเงียบลงทันทีก่อนเสียงโห่ร้องของเพื่อน ๆ จะระเบิดขึ้น “เชี่ยเอ๊ยยยย!” “ไอ้โม่มีหัวใจ!” “โอ๊ยยย...ในที่สุดก็ยอมพูด!” เสียงหัวเราะและการตบไหล่เริ่มตามมาพร้อมกับเสียงล้อกันไม่หยุด แต่ในดวงตาของโม่โฉว แม้จะมีรอยยิ้มบางแต่ลึก ๆ ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ... เพราะแม้จะพูดออกมาแล้ว...แต่เขาไม่รู้เลยว่า หัวใจของ “เธอ” คิดยังไงกับเขากันแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD