ในพิธีพระราชทานเพลิงของหม่อมจรรยา มัลลิกายังคงแอบร้องไห้หลบมุมเหมือนเดิม หนูน้อยมองคุณหญิงจริญญาที่ร้องไห้โฮในอ้อมกอดบิดาแล้วก็เหมือนเห็นภาพซ้อนในวันที่เผามารดาของตน ที่ช่อพิกุลกับมัลลิกากอดกันกลมร้องไห้มีน้าช้องนางคอยปลอบ ทว่าเวลานี้น้าสาวคอยปลอบคุณหญิงอยู่ใกล้ท่านชายตลอดเวลา
กลับมาถึงวังคุณารักษ์ก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง คนงานผู้ใหญ่ต่างก็นั่งร้องไห้เช็ดน้ำตาหน้าเศร้า มัลลิกาเดินเลี่ยงทุกคนไปด้านหลังวังนั่งที่ชิงช้า ในทุกครั้งที่รู้สึกเหงาหนูน้อยจะมาที่นี่
น้ำตายังไหลออกจากดวงตาไม่หยุด มือน้อยปาดลวกๆ บนแก้มตัวเองซ้ำๆ จนช้ำ ยิ่งนึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนกับมือบางนุ่มๆ ที่ลูบศีรษะตนของหม่อมจรรยามัลลิกาก็ยิ่งสะอื้น แม้ไม่เจ็บปวดแสนสาหัสราวหายใจไม่ออกเหมือนเช่นตอนสูญเสียมารดา หากความเศร้าเสียใจก็มีมาก
“ฉันนั่งด้วยคนได้ไหม”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้มัลลิกาสะดุ้งหันมอง
ร่างสูงโปร่งก้าวเดินมาใกล้ชิงช้าทำให้ร่างเล็กกระโดดลงก้มหน้าจะเดินหนี ทว่าไหล่เล็กถูกแตะรั้งให้หยุด
“กลับมานั่งเถิด”
“ก็คุณชายจะนั่ง”
มัลลิกาพึมพำเสียงอยู่เพียงในลำคอ
“ฉันนั่งได้ เธอตัวเล็กนิดเดียว ฉันเคยนั่งกับหญิงเล็กบ่อยๆ”
หนูน้อยยังยืนเฉยแต่กลับถูกคุณชายหฤษฎ์โอบเอวยกให้กลับขึ้นไปนั่งบนชิงช้าที่เจ้าตัวต้องเขย่งเท้าเวลาขึ้นนั่ง
มัลลิกาตกใจรีบคว้าจับเชือกด้านชิดตัวเองด้วยสองมือเมื่อร่างสูงโปร่งนั่งลงเบียดบนชิงช้าด้วย ทว่าก็รู้สึกได้ถึงแขนอีกฝ่ายที่โอบอ้อมหลังตนมาจับเชือกใกล้ๆ ขณะชิงช้าเริ่มเคลื่อนไหวตามแรงเหวี่ยงของขายาวที่ขยับ
“ร้องไห้ คิดถึงแม่หรือ”
“คิดถึงหม่อมด้วยค่ะ”
เจ้าตัวตอบเสียงเบาทำให้ใบหน้าคมคายที่มีดวงตาคู่คมกริบหันมามอง
“ขอบใจ”
มัลลิกาเหลือบมองคนตัวโตกว่าแวบหนึ่ง เห็นว่าดวงตาคุณชายแดงก่ำทว่าไม่มีน้ำตา ขณะที่ตัวเองน้ำตาไหลอีกแล้วจนต้องรีบเช็ด
“ไม่ต้องรีบเช็ดก็ได้ ร้องเถิด ฉันไม่ได้หวง ห้ามร้องไห้คิดถึงหม่อมแม่สักหน่อย”
คุณชายหฤษฎ์บอกคนตัวเล็ก ท่าทางอีกฝ่ายดูแล้วน่าสงสารและมอมแมมดูไม่จืดทีเดียว
“คุณชายกลางไม่เห็นร้องเลย”
คนโตกว่าชะงักไปกับคำพูดไร้เดียงสา ก่อนมือหนาจะวางลงบนศีรษะเล็กพร้อมใบหน้าคมคายหมองลง ดวงตาก็เศร้าลึก
“ร้องสิ แต่ร้องตอนที่อยู่คนเดียวน่ะ”
“ทำไมคะ”
“ไม่รู้สิ ไม่อยากให้คนอื่นเห็นมั้ง”
คุณชายตอบง่ายๆ อาจเพราะเป็นผู้ชายจึงไม่ได้มีน้ำตาหรือร้องไห้โยเยเช่นน้องสาวตลอดเวลา วันแรกๆ น้ำตาก็ไหลบ่อยครั้งด้วยไม่อาจสะกดความเสียใจได้ ทว่าเวลาผ่านไปจะเป็นตอนอยู่เงียบๆ คนเดียว
“อายหรือคะ ร้องไห้เพราะไม่มีแม่แล้วไม่เห็นน่าอาย”
ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มอ่อนแต่กลับต้องขยับเม้มเพราะน้ำตาเริ่มเอ่อคลอจนต้องกะพริบถี่กลบลงไป
“ถูกของเธอ ไม่น่าอายเลยสักนิด เราเสียใจคิดถึงแม่ก็ต้องร้องไห้สิ”
พลางพึมพำคุณชายก็หันมองออกไปไกลและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่แสนสดใสต่างกับใจแสนหม่นเศร้าของตน
มัลลิกามองตามอีกฝ่ายแล้วก็ได้เห็นน้ำตาที่ไหลรินลงบนแก้มสอบจรดลงปลายคาง มือเล็กยื่นขึ้นไปเช็ดให้อย่างไม่ทันคิดอะไรทำให้ใบหน้าคมคายหันมามอง
ดวงตาคู่คมกริบจ้องนิ่งที่ดวงหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ขณะที่ดวงตาคู่เรียวงามที่มองมานั้นแสนใสซื่อบริสุทธิ์
“ขอบใจ”
คุณชายหฤษฎ์ยิ้มบางอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยความรู้สึกอ่อนโยน ขอบใจที่แม่หนูน้อยอยากปลอบตนจากใจจริง
หลังเสร็จสิ้นงานศพของหม่อมจรรยาคุณชายหิรัญยังอยู่ต่อทว่าอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับ นับแต่ช่วยช่อพิกุลอุ้มมัลลิกาไปส่งยังเรือนคนใช้ คุณชายใหญ่ก็ไม่ได้หาเวลาอยู่ตามลำพังกับอีกฝ่าย อาจเพราะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ช่อพิกุลเองก็ไม่ได้เข้าใกล้คุณชาย ทั้งสองต่างอยู่ในที่ทางของตนและพูดคุยในบางครั้ง ทว่าเมื่อมองไปยังอีกฝ่ายก็มักประสานสายตากันและกันเสมอ
ใจสาวน้อยเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งที่บังเอิญสบตากับคุณชายใหญ่ แม้รู้ว่าไม่ควรทว่าช่อพิกุลเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะเสียใจมากจึงแอบลอบมองอย่างห่วงใย แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นเพียงน้ำตาที่เอ่อคลอจนกระทั่งวันสุดท้ายของงาน
ในเช้าตรู่วันที่คุณชายใหญ่จะบินกลับอังกฤษช่อพิกุลใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หากก็รีบไปเรือนครัวเพื่อช่วยหั่นผักเตรียมอาหารเช่นทุกเช้า ทว่ากลับมีคนมาฉุดให้หลบไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ทันทีที่ลงมาจากเรือนคนใช้ และเมื่อเห็นคนตรงหน้าชัดเจนเสียงหวานก็พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ
“คุณชาย”
“ฉันกระวนกระวายใจ ถ้าจะกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับเธอ”
คุณชายหิรัญจ้องหน้าเธอพลางจับมือข้างหนึ่งกุมไว้
“งานหม่อมแม่ที่ผ่านมา ฉันพยายามเก็บความรู้สึกนึกคิดตัวเองที่วนเวียนอยู่กับเธอมาตลอด บอกตัวเองว่ายังไม่ใช่เวลา ยังไงเธอก็อยู่ที่วังนี้ ไม่ไปไหน แต่พอต้องไปจริงๆ ฉันกลับไปเฉยๆ ไม่ได้ มันกังวลไปหมดเพราะฉันต้องไปเรียนอย่างน้อยก็เป็นปี หรือมากกว่านั้น”
ช่อพิกุลหัวใจเต้นแรง ใจเธอเองก็วนเวียนอยู่กับคุณชายใหญ่เช่นกัน
“เธอสัญญาว่าจะรอฉันได้ไหมพิกุล”
คุณชายหิรัญเข้าเรื่องทันที
“อย่าเพิ่งสนใจใคร หรือปลงใจไปกับใคร รอฉันกลับมา ถึงตอนนั้นฉันคงพูดเรื่องของเธอกับท่านพ่อได้เต็มปากมากกว่าตอนนี้”
“เอ่อ...”
“รอฉันนะ”
คุณชายย้ำมาอีกราวไม่ต้องการให้ช่อพิกุลปฏิเสธ
หัวใจของสาวน้อยที่เพิ่งอายุเต็มสิบเก้าปีมาสองเดือนยังไร้เดียงสา และแน่นอนว่าความรู้สึกดีประทับใจที่ตัวเองมีต่อคุณชายใหญ่ทำให้ช่อพิกุลตอบรับ
“ค่ะ”
เพียงเท่านั้นร่างบอบบางก็ถูกคว้าไปกอดแนบอกแกร่ง อ้อมแขนกำยำกับอกอุ่นทำให้หัวใจเล็กๆ เต้นโครมคราม
ช่อพิกุลคิดว่านี่คือความรัก
หนึ่งปีผ่านไป มัลลิกาไปโรงเรียนกับคุณหญิงอย่างมีความสุขตามประสาเด็ก เวลาเยียวความหมองเศร้าทว่าไม่ได้ลบความทรงจำ ยังจดจำความเมตตาของหม่อมจรรยาได้เสมอ ไม่ต่างจากยังคิดถึงมารดาของตนจนบางครั้งก็นอนร้องไห้เงียบๆ กลางดึกโดยที่พี่สาวซึ่งหลับสนิทไม่รับรู้
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือน้าช้องนางย้ายขึ้นไปอยู่บนตึกใหญ่ สำหรับมัลลิกาที่ยังเป็นเด็กนั้นไม่ได้รู้เรื่องราวใดมากมายนัก และยังเรียกน้าสาวของตนว่า ‘น้าช้อง’ เช่นเดิม ในขณะที่คนงานในวังคุณารักษ์ต่างเรียก ‘หม่อมช้อง’
แต่ถึงอย่างนั้นน้าช้องนางก็ยังเป็นพี่เลี้ยงของคุณหญิงจริญญาเพราะแม้คุณสร้อยหาคนใหม่มาให้คุณหญิงก็เรียกหาแต่พี่เลี้ยงคนสนิท
“เร็วๆ น้าช้อง ลุงสมเอารถมารอแล้ว”
เสียงคุณหญิงดังมาจากในตึกใหญ่
ขณะที่มัลลิกาเองก็มายืนรอหน้าตึกพร้อมกระเป๋าใบโตของตน เมื่อร่างเล็กของคุณหญิงจริญญาในชุดนักเรียนกระโปรงเอี้ยมสีน้ำเงินน่ารักออกมาลุงสมก็เปิดประตูรถรอ คุณหญิงลงบันไดไปหยุดยืนรอใกล้รถ หันมองช้องนางที่ตามมาพร้อมกระเป๋าแล้วก็หน้างอ
“น้าช้องช้าจังเลย”
“ขอโทษค่ะคุณหญิง”
“ผมช่วยครับหม่อม”
ลุงสมเข้าไปช่วยถือกระเป๋านักเรียนจากคนที่ใบหน้าค่อนข้างซีดเซียวเข้าไปใส่ในรถให้ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณสร้อยเดินมายังประตู
“เสียงดังไปถึงข้างบนแน่ะค่ะคุณหญิง ต้องพูดเบาๆ สิคะ”
แม้จะเอ่ยราวเอ็ดหากก็น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ค่ะป้าสร้อย”
คุณหญิงพูดเสียงเบาลงแต่ใบหน้ากลับยิ้มร่าไม่ได้สลดเมื่อถูกดุ จากนั้นก็รีบยกมือไหว้พลางย่อตัวเร็วๆ
“สวัสดีค่ะป้าสร้อย น้าช้อง...ไปกันเร็วมะลิ”
เมื่อหันมาเรียกมัลลิกาแล้วก็ผลุบเข้าไปนั่งในรถทันที พร้อมกับเสียงเข้มๆ ของคุณสร้อยที่พูดแทบไม่ทันคุณหญิง
“ดูสิ ย่อสวยๆ สิคะ จะรีบไปไหน โรงเรียนไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
มัลลิกาไหว้คุณสร้อยกับน้าช้องนางอย่างเรียบร้อยก่อนจะขึ้นรถด้านหน้าตามไป ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองอย่างเอ็นดู
เมื่อรถแล่นออกไปแล้วคุณสร้อยก็บ่นเบาๆ กับช้องนาง
“คุณหญิงทำอะไรก็ดูกระโดกกระเดกไปหมด ไม่เหมือนมะลิ รายนั้นเรียบร้อย แล้วอย่างนี้จะให้ฉันเห็นด้วยเรื่องที่ท่านชายทรงดำริว่าจะตามใจคุณหญิงขอไปอยู่ประจำได้ยังไง ปล่อยไปคงได้รวมตัวกับพวกทะโมนหรือไม่ก็คงตั้งตนเป็นหัวหน้าในโรงเรียนเสียกระมัง”
ช้องนางยิ้มบางอย่างไม่ออกความเห็น คุณสร้อยเป็นลูกหลานคนเก่าคนแก่ในวังคุณารักษ์ เป็นคนที่แม้แต่ท่านชายกับหม่อมจรรยาก็ยังฟังเสียง นับแต่หม่อมจากไปคุณสร้อยก็เป็นคนดูแลตัดสินใจทุกอย่างรวมถึงค่าใช้จ่ายเงินภายในวังคุณารักษ์ซึ่งจริงๆ แล้วเจ้าตัวก็ช่วยหม่อมจัดการมาแต่แรก เพียงแต่ตอนนี้สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองทั้งหมด
“ว่าแต่หม่อมเป็นยังไงบ้างคะ แพ้มากหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”
“ไม่เท่าไรค่ะ”
“เดินเหินก็ระมัดระวัง พักผ่อนมากๆ ไม่ต้องหยิบจับอะไร เรื่องดูแลคุณหญิงฉันจะให้พิกุลช่วย นี่ก็ใกล้สอบเสร็จแล้วใช่ไหม ปิดภาคเรียนน่าจะมีเวลา ส่วนเรื่องทำงานฉันจะถามคุณทนายว่าจะพอฝากให้ไปช่วยงานเอกสารได้ไหม”
“ขอบคุณค่ะ”
ช้องนางยกมือไหว้ขอบคุณแทนหลานสาว อดระลึกไปถึงหม่อมจรรยาที่ฝากฝังหลานสาวทั้งสองคนเอาไว้ไม่ได้
‘พิกุลกับมะลิ ฉันอยากช่วยให้ถึงฝั่ง ถ้าเขาอยากเรียนก็ให้เรียนถึงอุดมศึกษา ถ้าอยากทำงานก็แล้วแต่ความสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องให้ทำงานแค่ในวังนี่หรอก’
ขณะที่ป่วยหนักหม่อมจรรยาบอกเล่าความตั้งใจทั้งกับคุณสร้อยและช้องนางพร้อมกัน เงินที่ใช้ในการส่งเสียให้ช่อพิกุลกับมัลลิกาได้เล่าเรียนนั้นเป็นเงินส่วนตัวของหม่อมเอง ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติฝั่งท่านชายบวรภพ นั่นทำให้ช้องนางยิ่งรู้สึกขอบคุณหม่อมจรรยามากยิ่งนัก เต็มใจปรนนิบัติดูแลท่านชายเมื่อหม่อมเอ่ยขอให้ช่วยเพื่อตอบแทนบุญคุณ
‘ถือว่าเห็นแก่ฉันนะจ๊ะช้อง’
‘หม่อมมีบุญคุณ รับช้องที่แม่เอามาฝากไว้เพราะเลี้ยงดูไม่ไหวตั้งแต่ยังเด็ก แล้วยังรับอุปการะหลานกำพร้าทั้งสองคน ให้ได้มีที่ซุกหัวนอน ได้กินเต็มอิ่ม ได้เรียนหนังสือ ช้องเต็มใจค่ะ’
ช้องนางได้รับความเมตตาจากท่านชายบวรภพไม่น้อย ไม่ได้เป็นเพียงเมียบ่าว และตอนนี้ก็ตั้งท้องอ่อนๆ ท่านชายดีพระทัยมาก ทั้งคุณสร้อยก็ดูแลอย่างดีหายาบำรุงครรภ์มาให้กินอย่างใส่ใจ
“กรี๊ดดด”
เช้าวันหนึ่งช้องนางตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกปวดท้องมาก และสิ่งที่เห็นเมื่อพยายามจะขยับตัวลงจากเตียงก็คือเลือดไหลออกมาจากระหว่างขาเต็มไปหมด
“ลูก ไม่นะ ลูกแม่...”
ช้องนางกรีดร้องอย่างหนัก น้ำตาไหลพราก ตัวสั่นเทา คุณสร้อยที่อยู่ห้องใกล้กันของชั้นหนึ่งภายในตึกใหญ่รีบมาเคาะประตูหลังจากได้ยินเสียงแว่วเพราะกำลังจะลงไปดูแลในเรือนครัวพอดี
“หม่อมช้อง มีอะไรหรือคะ”
คนที่ยังตกใจร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนักไม่กล้าขยับตัวแม้ได้ยินเสียงเรียก ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงท่านชายแล้วก็มีเสียงไขประตูเข้ามา
ผ้าปูเตียงที่เต็มไปด้วยเลือดกับผ้าถุงของคนที่นั่งร้องไห้บนเตียงทำให้ท่านชายบวรภพกับคุณสร้อยชะงัก ทว่าก็เป็นท่านชายที่รีบเข้าไปโอบไหล่ที่กำลังสั่นเทาปลอบโยน
“ชายท่าน ลูกเพคะ ลูก...ฮือออ”
“ไม่เป็นไรนะช้อง ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ สร้อยตามหมอเร็ว”
“เพคะ”
คุณสร้อยหน้าซีดเผือดหากก็รีบกุลีกุจอออกไปโทรศัพท์หาหมอประจำตระกูลตามรับสั่งชองท่านชาย
ช้องนางสูญเสียลูกแม้ว่าหมอจะมาถึงในเวลาไม่นานก็ไม่อาจช่วยได้
‘สุขภาพหม่อมช้องไม่ค่อยแข็งแรง เลือดลมไม่ปกตินักนับแต่ตั้งท้องฝ่าบาท กระหม่อมเองก็กังวลมาตลอดเพราะอายุหม่อมช้องก็ไม่น้อยแล้ว’
แม้ว่าช้องนางจะอายุยี่สิบเก้าปี หากก็นับว่าเยอะแล้วสำหรับการตั้งครรภ์
‘อย่าคิดมากเลยนะช้อง รักษาเนื้อรักษาตัวให้สุขภาพแข็งแรงเถิด’
ท่านชายตรัสปลอบใจ แม้จะเสียดายที่ไม่มีลูกน้อยน่ารักๆ ทว่าสงสารหม่อมของพระองค์มากกว่า ไม่อยากให้เจ้าตัวเสียใจจนคิดมาก
นับจากนั้นช้องนางก็ดูไม่ค่อยสดใสนัก หากก็ยังปรนนิบัติท่านชายอย่างดี ทว่าท่านชายบวรภพหรือแม้แต่คุณสร้อยก็มองออกว่าหญิงสาวยังเสียใจเรื่องสูญเสียลูกอยู่มาก
ไม่มีใครบอกเล่าเรื่องนี้กับมัลลิกาและคุณหญิงจริญญาเพราะยังเด็ก แต่หนูน้อยก็รู้สึกได้ว่าแววตาของน้าสาวเจือความเศร้ากว่าเมื่อก่อน
======