มัลลิกาไม่ได้เจอคุณหญิงจริญญามาสิบกว่าวันแล้ว เจ้าตัวไม่อยากให้คุณหญิงโกรธตนเองจนไม่อยากมาเล่นด้วย เมื่อแผลที่เข่าตนหายแล้ว ทว่ายังเหลือเพียงข้อเท้าที่เข้าเฝือกอ่อนไว้แต่ก็เดินลงน้ำหนักได้บ้าง จึงมานั่งรอสองสามวันติดกันแล้ว แม้กลัวว่าตนอาจถูกทำโทษ แต่ไม่อยากถูกเพื่อนทิ้งก็ต้องมาเฝ้ารอเพื่อขอโทษและง้ออีกฝ่าย
หนูน้อยรู้จากน้าสาวว่าเพราะการบาดเจ็บของคุณหญิงในครั้งนี้ทำให้ถูกท่านชายห้ามขี่จักรยาน แต่ก็คิดว่าหายดีเมื่อไรคุณหญิงต้องลงมาเล่นที่ศาลาในสวนอย่างแน่นอน
วันนี้ร่างเล็กจึงค่อยๆ ก้าวช้าๆ มาแอบเมียงมองตึกใหญ่เผื่อว่าจะเห็นคุณหญิงอีกเช่นเคย แล้วก็เห็นคนยกของว่างไปที่ศาลาจึงแอบย่องตามไปดูใกล้ๆ คิดว่าอาจเป็นคุณหญิง แต่กลับเห็นหม่อมจรรยาอยู่กับแขกซึ่งเป็นผู้หญิง รวมถึงคุณสร้อยด้วย
มัลลิกาหน้าหงอย ตั้งใจจะเดินกลับแต่เพราะบทสนทนาที่แว่วมาทำให้กลับไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่แอบฟัง
“ไม่เห็นจำเป็นต้องให้มะลิเรียนโรงเรียนเดียวกับคุณหญิงเลยนี่คะหม่อม”
เป็นเสียงของคุณสร้อยที่ทักท้วง
“หญิงเล็กเล่นกับมะลิมาตั้งแต่จำความได้ ในบรรดาเด็กแถวนี้ก็สนิทกับมะลิกว่าใคร ส่งไปเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันก็ดีแล้วนี่สร้อย”
“โธ่ ดีอะไรกันล่ะคะหม่อม คุณหญิงเป็นลูกเจ้าลูกนาย ถึงจะเป็นเพื่อนเล่นกัน ก็ไม่ควรยกขึ้นมาให้เทียบเคียงคุณหญิงนะคะ สร้อยรู้ว่าหม่อมเมตตาเพราะเห็นมาตั้งแต่ชบาท้องโตมารับดอกไม้ไปขาย ช่วยเก็บดอกไม้ ปลูกดอกไม้ แต่มะลิริมรั้ว ยังไงก็ยังเป็นแค่ดอกไม้ริมทางนะคะหม่อม ให้เรียนโรงเรียนใกล้ๆ แถวนี้เถิดค่ะ ไม่เห็นจะต้องให้เรียนโรงเรียนผู้ดีที่เดียวกับคุณหญิงเลย”
เด็กน้อยที่เป็นเพียงมะลิริมรั้วทรุดกายลงนั่งพิงต้นไม้น้ำตาเอ่อคลอ ไม่ได้ใฝ่สูงอยากเรียนที่เดียวกับคุณหญิงเพราะรู้ฐานะตัวเองดี ยิ่งได้ยินกับหูก็ยิ่งทำให้มัลลิการู้ว่าตัวเองต้องเจียมตัวเจียมตน
“สร้อยก็พูดอะไรอย่างนั้น เด็กๆ หรือช้องนางมาได้ยินเข้าจะน้อยใจเอา”
“เรื่องจริงทั้งนั้นนี่คะ ยังไงสร้อยก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้มะลิเรียนโรงเรียนเดียวกับคุณหญิงค่ะ”
หม่อมจรรยาถอนหายใจอย่างหนักใจ แล้วก็มีเสียงของผู้หญิงที่มัลลิกาไม่คุ้นเคยออกความเห็น
“เอาอย่างนี้ไหมคะหม่อม ทูลถามท่านชายไหมคะ”
“อืม ดีเหมือนกัน ท่านชายทรงตัดสินพระทัยด้วยตนเอง หากไม่ทรงติดขัด คนแถวนี้จะได้เลิกแย้งฉันสักที”
“หม่อมก็”
วันต่อๆ มามัลลิกาก็ไม่ได้ไปรอคุณหญิงจริญญาแถวใกล้ๆ ตึกใหญ่อีกแล้ว เข้าใจว่าคุณสร้อยไม่ค่อยชอบให้ตนเองเล่นกับคุณหญิง ช่วงนี้ปิดภาคเรียนช่อพิกุลจึงอยู่ที่วังตลอดแต่ก็ช่วยงานในวังตั้งแต่เช้า ไม่เคยอยู่นิ่งเฉย พี่สาวของหนูน้อยเป็นที่เอ็นดูของบรรดาคนใช้ในวังทั้งสิ้น แต่นั่นก็ทำให้คนเป็นน้องสาวยิ่งโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครดูแล
หนูน้อยมานั่งเล่นชิงช้าซึ่งผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ใกล้ประตูหลังวังคนเดียวแม้ขายังใส่เฝือกแต่เดินได้ดีขึ้นแล้ว ช้องนางบอกว่าอีกสองสามวันจะพาไปให้คุณหมอถอดให้ ได้ยินเสียงเด็กๆ ดังมาจากนอกรั้ว น่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดิมที่ตนเคยเล่นด้วยก่อนจะเข้ามาอยู่ในวัง มัลลิกาเดินไปดูแล้วพยายามเอื้อมมือดึงที่เปิดประตูเปิดออก แล้วก็เห็นเพื่อนขี่จักรยานไปยังศาลาริมสระ
“อ้าว มะลิ”
อารีย์น้องสาวบังอรที่อายุเท่ามัลลิกาหันมาเห็นแล้วก็กวักมือเรียก
“มาเล่นด้วยกันสิมะลิ”
มัลลิกาสนิทกับอารีย์มากกว่าบังอรที่โตกว่าหลายปี แม้จะคิดถึงเพื่อนเหมือนกัน และอยู่อย่างเหงาๆ มาหลายวันทำให้อยากไปเล่นกับทุกคน แต่หนูน้อยกลับยืนนิ่งไม่กล้าขยับ
“ทำไมไม่มาเล่นด้วยกันล่ะมะลิ”
อารีย์ถามอีกครั้ง
“โอ๊ย ไม่ต้องไปเรียกหรอกอารีย์ นังมะลิมันไม่สนใจแกแล้ว ตอนนี้มันอยู่ในวังมีเพื่อนเป็นคุณหญิงแล้ว”
เสียงบังอรพี่สาวพูดขึ้น
มัลลิกาเห็นอารีย์หน้าเสียก็รู้สึกไม่ดี เท้าเล็กจึงขยับอย่างกล้าๆ กลัวๆ นับแต่ที่ตนตกน้ำตรงศาลารวมทั้งมารดาจากไปเพราะจมน้ำหนูน้อยก็รู้สึกกลัวน้ำจนไม่กล้ามาที่สระนี้อีก พออารีย์เห็นมัลลิกาออกมาจากวังก็รีบวิ่งมาจูงมือ
“มะลิออกมาแล้ว พี่บังอรโกหก”
“อย่าไปยุ่งกับมัน”
บังอรวิ่งตามมาปัดมือมัลลิกาออก
“ฉันอยากให้มะลิเล่นด้วยนี่นา”
“ไม่มีใครอยากเล่นกับมัน มันต้องบอกคุณหญิงไม่ให้ออกมาเล่นกับเราแน่ๆ คุณหญิงถึงไม่ออกมาอีกเลย”
“ฉันเปล่านะ”
มัลลิกาเถียง เมื่อเหลือบไปยังแตงไทกับน้องสาวแตงอ่อนก็เห็นว่ามองมาอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“แกนั่นแหละ แตงไททำให้แกตกน้ำ แกก็เลยไม่อยากให้พวกฉันได้กินขนมอร่อยๆ อีกใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่นะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะแกแล้วทำไมคุณหญิงไม่ออกมาเลย อย่ามาทำเป็นตอแหล!”
พร้อมกับพูดบังอรก็ผลักไหล่เล็กจนมัลลิกาล้มลงแล้วดึงอารีย์กลับไป
“ไปเลยนะ พวกเราไม่อยากเล่นกับแก เมื่อก่อนที่ให้แกตามมาด้วยก็เพราะคุณหญิงชอบแก พวกฉันถึงพลอยได้มาเล่นด้วยแล้วก็ได้กินขนมกับผลไม้อร่อยๆ ตอนนี้แกอยู่ในวังสบายๆ แล้วนี่ ไม่ต้องมาเล่นกับพวกฉัน”
มัลลิกาล้มก้นกระแทกพื้นแล้วนั่งนิ่งเพราะอึ้งกับสิ่งที่บังอรพูด ดวงตาคู่กลมโตมองตามอารีย์ที่อีกฝ่ายยังมองตนด้วยท่าทางหงอย แต่ถูกพี่สาวดึงกลับไปยังศาลาแล้วก็ได้แต่เม้มปาก ความเสียใจท่วมท้นเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนๆ ไม่ได้อยากเล่นกับตัวเอง
ร่างน้อยค่อยๆ ลุกขึ้นหันหลังเดินกลับเข้าวังเงียบๆ
อากาศหนาวเริ่มมาเยือน ตอนนี้มัลลิกาเข้าโรงเรียนแล้วทั้งยังเป็นที่เดียวกันกับคุณหญิงจริญญา หนูน้อยไม่รู้ว่าเพราะอะไรตนถึงได้เรียนที่นี่ แต่ต้องเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนพร้อมกับคุณหญิงอยู่พักหนึ่ง และนี่เป็นเหตุผลที่คุณหญิงจริญญาไม่ได้ลงมาเล่นข้างล่าง
มัลลิกานั่งรถด้านหน้าข้างคนขับ ไปกลับพร้อมคุณหญิงจริญญา และกลับจากโรงเรียนก็มานั่งอ่านทบทวนสิ่งที่เรียนมาด้วยกันที่ศาลาในสวน โดยที่หม่อมจรรยามานั่งเฝ้าอย่างไม่ปล่อยปละละเลย
“แค่กๆ”
“สร้อยบอกแล้วว่าไม่ควรออกมาข้างนอก หม่อมก็ดื้อเหลือเกิน”
เมื่อหม่อมจรรยาไอบ่อยครั้ง คุณสร้อยก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อยู่แต่บนตึกตั้งแต่เช้าจรดเย็น ออกมารับลมบ้างจะเป็นไรไป แค่ก...”
“ก็ไออย่างนี้น่ะสิคะ”
ยิ่งพูดหม่อมจรรยาก็ยิ่งไอหนักมากขึ้นไม่หยุด จนคุณหญิงจริญญาหันมองรวมทั้งมัลลิกาด้วย สุดท้ายคุณหญิงก็ลุกขึ้นไปนั่งโอบเอวมารดา
“หม่อมแม่ไม่สบายหรือคะ”
“ไม่ใช่หรอกลูก แค่ช่วงนี้อากาศเย็นน่ะ แค่กๆๆ”
แม้จะบอกอย่างนั้นทว่าหม่อมจรรยากลับไอเสียงดัง มือถือผ้าเช็ดหน้าที่ปิดปากออกมาแล้วก้มลงมองก็รีบเก็บกำไว้ทันทีกลัวว่าบุตรสาวจะเห็น ทว่าคุณสร้อยที่อยู่ใกล้ๆ หน้าเสียไปแล้ว
“กลับเข้าไปข้างในเถิดค่ะหม่อม เดี๋ยวสร้อยเรียกคุณหมอให้นะคะ”
“ช้องให้คุณหญิงอ่านทวนให้จบบทแล้วพาไปอาบน้ำนะ”
“ค่ะหม่อม”
ช้องนางที่นั่งอยู่ด้วยก็สีหน้าไม่ดีนัก ผู้ใหญ่เหมือนจะต่างก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยกเว้นเด็กน้อยทั้งสองคน
เพียงหนึ่งเดือนต่อมาในวังคุณารักษ์ก็มีข่าวเศร้าเมื่อหม่อมจรรยาจากไปด้วยอาการเจ็บป่วยเรื้อรังที่เป็นมานาน คุณหญิงจริญญาร้องไห้โยเยหนักมาก แม้ช้องนางจะพยายามปลอบอย่างไรก็ไม่เป็นผล มัลลิกาทำได้เพียงหลบร้องไห้มองห่างๆ อยู่ในมุมหนึ่ง ช่อพิกุลเองก็เสียใจน้ำตาไหลตลอดเวลาเช่นคนในวังทุกคน แต่ก็ยังช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง คุณสร้อยเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลทุกอย่าง แม้ใบหน้าจะเศร้าสร้อยตาแดงก่ำหากก็เห็นได้ชัดว่าควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีมาก
ท่านชายบวรภพเสียพระทัยจนแทบไม่เสวย คุณชายหฤษฎ์เองก็น้ำตาไหลบ่อยครั้ง ทว่าไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดเช่นน้องสาวคนเล็ก และคุณชายหิรัญคุณชายใหญ่ที่เรียนอยู่อังกฤษก็บินกลับมา
ร่างสูงกำยำไหล่กว้างหนาของหม่อมราชวงศ์หิรัญในวัยยี่สิบสองปีดูภูมิฐานใกล้เคียงหม่อมเจ้าบวรภพ รวมถึงเค้าโครงใบหน้าก็คล้ายคลึง ความคมเข้มคมสันโดดเด่นหล่อเหลาชนิดที่หญิงสาวสูงศักดิ์ซึ่งมาร่วมงานต่างเมียงมองอย่างสนใจ หากก็ต้องพยายามสำรวมเอาไว้เพราะเป็นงานสูญเสีย
ส่วนหม่อมราชวงศ์หฤษฎ์ซึ่งเวลานี้อายุย่างเข้าสิบเจ็ดปี ยังไม่โตเต็มวัยหนุ่ม หากก็ค่อนข้างสูงชะลูด มองออกว่าน่าจะรูปร่างสูงใหญ่กว่าท่านชายกับคุณชายใหญ่ ใบหน้ามีส่วนคล้ายหม่อมจรรยารวมไปถึงดวงตา ด้านคุณหญิงจริญญาก็มีเค้ามารดามากกว่าทว่าดวงตาเหมือนท่านชายบวรภพ
ช่อพิกุลคุกเข่าเข้าไปใกล้ท่านชายกับคุณชายทั้งสองแล้ววางแก้วน้ำบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า ทว่าขณะที่ถอยจะลุกเสียหลักตัวเอียงเล็กน้อยก็มีมือหนามาคว้าไว้ เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นก็พบกับดวงตาคู่คมเข้มของคุณชายหิรัญจึงรีบขอบคุณและตั้งหลักได้ก่อนจะถอยออกมาเมื่ออีกฝ่ายปล่อย เพราะเวลานี้กำลังฟังพระสวดมนต์
ออกไปด้านนอกแล้วใจสาวน้อยยังเต้นรัวแรงกับแววตาคมเข้มนุ่มลึกนั้น แต่เพราะสาวใช้รุ่นพี่เรียกให้ไปช่วยยกน้ำให้แขกอีกด้านจึงต้องละทิ้งอาการใจสั่นของตนไปโดยไม่ใส่ใจ
เหนื่อยล้าจากการวิ่งวุ่นช่วยงานจนดึกดื่น แต่เมื่อเห็นน้องสาวตนนอนขดตัวหลับฟุบข้างเสาช่อพิกุลก็ทรุดนั่งลงข้างๆ อย่างหมดแรง บนแก้มเล็กยังมีคราบน้ำให้เห็น ก็คงเหมือนคุณหญิงที่ร้องไห้หนักจนหลับไปพร้อมน้ำตา ซึ่งมีน้าช้องนางคอยดูแลอุ้มไปนอนพัก ต่างจากน้องสาวตนที่ได้เพียงนั่งแอบในมุมที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ
“ตัวเย็นเฉียบเชียว”
ช่อพิกุลพึมพำพลางมองหาผ้าที่จะพอคลุมร่างเล็กได้แต่ก็ไม่มี จึงรีบอุ้มอีกฝ่ายเพราะไม่อยากปลุกเจ้าตัวแม้ว่าจะปวดหลังไปหมด ก่อนจะค่อยๆ พาเดินกลับไปยังเรือนคนใช้
“ส่งน้องเธอมานี่เถิด ฉันช่วยดีกว่า”
เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมร่างสูงกำยำเดินเข้ามาหา
คนที่กำลังหนักหยุดหันมอง แขนเรียวรองรับน้ำหนักน้องค่อนข้างลำบาก หากก็ไม่กล้าส่งร่างเล็กไปให้ผู้อาสา
“ไม่เป็นไรค่ะคุณชาย”
“ส่งมาเถิด”
มือหนายื่นมาพร้อมแขนสอดมาหา ช่อพิกุลตกใจกับสัมผัสจากเนื้อผิวชายหนุ่มจึงจำต้องรีบปล่อย มัลลิกาขยับตัวงัวเงียส่งเสียงประท้วงในคอแต่ยังไม่ตื่น เจ้าตัวพลิกหน้าแนบซอกคอหนาทำเอาคนเป็นพี่สาวมองอย่างกังวล
“เอ่อ คือ...”
“ฉันช่วยอุ้มไปส่งให้เอง”
สุดท้ายช่อพิกุลก็ต้องขอบคุณอีกฝ่าย ขณะที่คุณชายเริ่มเดินนำเธอก็เดินตามแต่ก็ลอบมองน้องสาวกับใบหน้าคมสันไปด้วยอย่างเกรงใจ
“เธอชื่อช่อพิกุลสินะ”
“ค่ะ”
“ชายกลางเขียนจดหมายเล่าให้ฉันฟัง เรื่องหม่อมแม่อุปถัมป์เด็กผู้หญิงสองคน ฉันก็นึกว่าเป็นเด็กจริงๆ ไม่คิดว่าจะ...โตแล้ว”
เงียบไปเล็กน้อยคุณชายหิรัญก็พูดต่อจนจบ ช่อพิกุลไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรแต่ใจเธอเต้นแรงไม่หยุดนับแต่คุณชายเดินเข้ามาหา
“อุ๊ย คุณชายใหญ่ ช่วยอุ้มมะลิมาถึงนี่เลยหรือคะ”
ป้าแม่ครัวที่เหมือนจะเพิ่งจัดการภายในครัวเสร็จและกลับเรือนคนใช้เช่นกันเห็นเข้าจึงเอ่ยทัก
“ครับป้า เห็นตัวเล็กๆ ก็หนักเอาการอยู่นะครับ”
จากนั้นมีคนงานในครัวคนอื่นๆ เดินตามมาและต่างก็มองคุณชายใหญ่อย่างชื่นชมในความใจดี ทว่าคนที่ทำตัวไม่ถูกคือช่อพิกุล
“เอ่อ พิกุล อุ้มต่อไปเองก็ได้ค่ะ ใกล้ถึงเรือนแล้ว”
“ไม่เป็นไร จะถึงอยู่แล้วนี่”
เอ่ยจบคุณชายหิรัญก็เดินต่ออย่างรู้ทางเป็นอย่างดี ทำให้ช่อพิกุลต้องก้มหน้างุดก้าวตาม
หลายคนที่ตามมาต่างแยกย้ายไปห้องตนเมื่อถึงเรือนคนใช้ ช่อพิกุลรีบเปิดประตูห้องของช้องนาง และคุณชายก็เดินเข้าไปอย่างไม่ถือตัว วางร่างเล็กของมะลิบนฟูกแผ่วเบา
“ขอบคุณค่ะ”
ช่อพิกุลขอบคุณอีกครั้ง ขณะที่ร่างสูงกำยำลุกขึ้น ร่างโปร่งบอบบางยืนชิดผนังใกล้ประตูด้วยความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ ทว่าแทนที่คุณชายจะเดินผ่านออกจากห้องไปเลยกลับมาหยุดตรงหน้าเธอ
“ว่าแต่พิกุลนี่หอมหรือเปล่า”
ใบหน้าเรียวผ่องใสเงยขึ้น ดวงตาคู่เรียวสวยฉายแววความไม่แน่ใจขณะที่ริมฝีปากอิ่มเผยอเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“ฉันไม่เคยลองดม อยู่ๆ ก็นึกอยากรู้ขึ้นมา”
ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มอ่อน ดวงตาคู่คมเข้มกวาดมองดวงหน้านวลผ่อง คิ้วเรียวงามรับดวงตาคู่สวยชวนมองอย่างไม่ค่อยเห็นหญิงสาวที่ตาสวยคมเช่นนี้ คุณชายหิรัญสะดุดตาสะดุดใจจนนึกอยากพูดคุยกับเจ้าตัว แม้ยังไม่คิดไปไกลแต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะเข้ามาพูดคุยทำความรู้จักกันไว้
“กลิ่นอ่อน ไม่หอมหรอกค่ะ”
ช่อพิกุลตอบไปตามความคิดของตน หากเทียบกันแล้ว มะลิสวย ขาวผุดผ่อง และหอมกว่าพิกุลที่เป็นเพียงดอกไม้เล็กๆ บางคนไม่ชอบกลิ่นด้วยซ้ำ
“อย่างนั้นหรือ สงสัยต้องลองดมดูสักครั้งว่าเธอพูดถูกไหม”
เอ่ยจบคุณชายหิรัญก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ช่อพิกุลกะพริบตาปริบๆ อยู่กับความกังขาในใจ
ไยเธอรู้สึกราวคุณชายใหญ่ไม่ได้พูดถึงดอกพิกุล
======