“มาอยู่ในรั้วในวัง ต้องทำตัวให้เรียบร้อย เชื่อฟังน้า เชื่อฟังผู้ใหญ่ อยู่ต่อหน้าเจ้านายท่านต้องสำรวมเข้าใจไหม”
ช้องนางบอกกับสองพี่น้องซึ่งมานั่งอยู่ในห้องนอนเล็กภายในเรือนคนใช้ โดยมัลลิกานั่งอยู่ในอ้อมกอดของพี่สาว ทั้งคู่ยังตาบวมแดงช้ำ สีหน้าเศร้าหมอง เพราะงานศพของมารดาเพิ่งผ่านพ้นไป ระหว่างจัดงานมีช้องนางคอยช่วยจัดการทุกอย่างและขาดเหลือสิ่งใดหม่อมจรรยาก็ช่วยเหลือทั้งยังรับเป็นเจ้าภาพให้
โดยหม่อมจรรยาทูลปรึกษากับหม่อมเจ้าบวรภพขอรับสองพี่น้องมาอยู่ในอุปถัมป์และท่านชายก็ทรงอนุญาต เมื่อเสร็จงานช้องนางก็พาหลานสองคนมาอยู่ด้วยโดยให้นอนกับตน ความจริงช่อพิกุลกับมัลลิกาก็อยู่กับช้องนางนับแต่เกิดเรื่องแล้ว เพราะจะให้เด็กสองคนกลับไปอยู่ที่บ้านตามลำพังคนเป็นน้าก็อดห่วงไม่ได้
“พิกุลกลับจากเรียนแล้วก็ต้องช่วยทำงานนะ น้าจะถามคุณสร้อยให้ว่าให้เราช่วยทำอะไรบ้าง”
หม่อมจรรยาบอกว่าจะส่งเสียให้ทั้งสองคนได้เรียนหนังสือ และตอนนี้กำลังติดต่อโรงเรียนให้ช่อพิกุล
“จ้ะ”
“มะลิก็อย่าวิ่งไปทั่ว ต่อไปนี้ต้องเดิน ถ้าคุณหญิงไม่เรียกหาก็อยู่ที่เรือนคนใช้ เล่นอยู่แถวๆ นี้”
มัลลิการับคำตามพี่สาวเสียงเบา แววตาหนูน้อยยังเศร้าและกอดพี่สาวซบหน้ากับอกเมื่อน้ำตาซึมออกมาอีก ไม่มีมารดาแล้วก็มีเพียงพี่สาวที่ตนพึ่งพาได้
แม้การใช้ชีวิตภายในวังคุณารักษ์ของมัลลิกาจะดูไม่ลำบากอดมื้อกินมื้อ และได้กินของอร่อยๆ กับคุณหญิงจริญญาบ่อยๆ ทว่าแววตาของหนูน้อยก็ยังเศร้าหมอง ตอนกลางคืนยังนอนร้องไห้คิดถึงมารดา ช่อพิกุลต้องกอดปลอบน้องสาวแม้ว่าตัวเองจะน้ำตาซึมไปด้วย บางคืนช้องนางก็ไม่ได้นอนในห้อง สองพี่น้องรู้เพียงว่าน้าสาวต้องขึ้นไปบนตึกใหญ่ตามที่หม่อมจรรยาเรียกหา
ตอนนี้คุณหญิงจริญญากำลังตื่นเต้นกับการได้ซ้อนท้ายจักรยานที่คุณชายหฤษฎ์หรือคุณชายกลางพาขี่เล่นหลังกลับจากโรงเรียน
‘หญิงยังเล็กเกินไป ขี่เล่นกับชายกลางแล้วก็ซ้อนท้ายไปก่อนก็แล้วกัน รอโตกว่านี้อีกหน่อยค่อยหัดขี่’
ท่านชายบวรภพทรงอนุญาตเพราะคุณหญิงอ้อนขอทุกวัน ทว่าก็ให้ขี่เล่นได้โดยมีคุณชายกลางคอยจับประคองเท่านั้น
คุณหญิงมักจะไปรอรับพี่ชายพร้อมจักรยานทุกวันจนคุณชายหฤษฎ์ต้องฝากคนขับรถเอากระเป๋าไปเก็บให้ โดยมีมัลลิกาตามติดไปคอยช่วยช้องนางหิ้วตระกร้าขนมกับน้ำ เพราะน้าสาวต้องจูงจักรยาน
ทว่าวันนี้พี่เลี้ยงสาวกลับเข้าไปเอาผ้าเช็ดหน้าของคุณหญิงที่ลืมติดมาด้วย ทำให้คุณหญิงจริญญาพยายามจะขึ้นคร่อมขี่จักรยานก่อนพี่ชายกลับมาถึง
“คุณหญิงรอน้าช้องเถอะค่ะ”
“หญิงอยากลองขี่ก่อนน้าช้องจะออกมา มะลิห้ามบอกใครนะ”
คุณหญิงเอาเท้ายันเข็นจักรยานไปข้างหน้าเรื่อยๆ พร้อมกับพยายามจะเหยียบที่เหยียบแต่ก็ทรงตัวไม่ได้
มัลลิกาไม่กล้าแย้งได้แต่ยืนหน้าซีด พอคุณหญิงเริ่มไปไกลทั้งยังเข็นจักรยานที่ใหญ่กว่าตนเองโอนเอนไปมา เจ้าตัวก็วิ่งตามไปด้วย
“คุณหญิงคะ”
“เบาๆ สิมะลิ เดี๋ยวใครได้ยินก็มาตรงนี้หรอก”
คนที่กำลังพยายามตั้งสมาธิกับการควบคุมจักรยานบอกพร้อมมือที่จับคันบังคับงอกแงกไปมา ทั้งหนักทั้งเหนื่อยไม่อาจควบคุมจักรยานได้
“คุณหญิง รถค่ะ รถ”
มัลลิการีบเร่งฝีเท้าตัวเองให้ทันพร้อมร้องบอกเมื่อเห็นว่าจักรยานของคุณหญิงจริญญามุ่งไปยังถนนที่รถกำลังเคลื่อนเข้ามา
คุณหญิงเองก็ยิ่งตกใจมือสั่นใจสั่นด้วยความตระหนก เพราะจักรยานที่ใหญ่กว่าหมุนล้อไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท้าเล็กยันพื้นอย่างไรก็หยุดไม่อยู่
“มะลิ ทำยังไงดี หญิงหยุดไม่ได้”
มัลลิกากลัวหากก็อยากช่วยคุณหญิง หนูน้อยพยายามไปให้ทันแล้วคว้าที่จับให้จักรยานหักเลี้ยวกลับมา ทว่ากลายเป็นทำให้จักรยานกับคุณหญิงจริญญาล้มลงตรงหน้าถนนพอดี
“โอ๊ย! ฮือออ”
คุณหญิงศอกกระแทกพื้นถนนจึงเจ็บแล้วร้องไห้ทันที โดยร่างส่วนใหญ่ทับอยู่บนตัวของมัลลิกา
ขณะนั้นรถที่ไปรับคุณชายหฤษฎ์ก็มาหยุดลงใกล้ๆ ร่างสูงโปร่งของคุณชายในชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นรีบลงมาด้วยความตกใจ
“หญิงเล็ก”
“พี่ชายกลาง หญิงเจ็บ ฮือออ”
คุณชายหฤษฤรีบอุ้มร่างน้อยของน้องสาวขึ้น พร้อมกับที่ช้องนางเพิ่งกลับมายังสนามหญ้าและวิ่งมาหา
“ตายแล้ว! คุณหญิงเจ็บตรงไหนบ้างคะเนี่ย”
คุณหญิงจริญญากอดคอพี่ชายทำให้เห็นชัดว่าข้อศอกมีแผลเลือดออก ช้องนางตกใจจึงรีบบอกคุณชาย
“ต้องให้คุณหมอมาดูไหมคะคุณชาย ไม่รู้กระดูกจะเป็นอะไรหรือเปล่านะคะ”
“นั่นสิครับ”
คุณชายหฤษฎ์กังวลเช่นกันเพราะน้องสาวรัดคอตนแน่นและร้องไห้จ้าไม่หยุด จึงตัดสินใจบอกให้คนขับรถไปรับหมอประจำตระกูลที่บ้าน แล้วรีบอุ้มร่างเล็กของน้องสาวพาไปยังตึกใหญ่โดยมีช้องนางตามไปทั้งปลอบทั้งลูบหลังคุณหญิงจริญญา
มัลลิกานั่งมองตามน้าของตนไปพร้อมคุณชายกับคุณหญิ งรวมทั้งรถก็คล่อยๆ เคลื่อนออกไป ไม่มีใครหันมามองตนแม้แต่คนเดียว มือน้อยลูบเข่าตนที่เป็นแผลได้เลือดพลางเม้มปากเล็กทว่าน้ำตาไหลพราก ขาเรียวเล็กข้างหนึ่งยังถูกจักรยานทับอยู่เลย แต่เมื่อจะดึงออกกลับเจ็บร้าวจนต้องสะดุ้ง หันมองรอบๆ ก็ไม่มีใคร หนูน้อยต้องกัดฟันดึงขาตนเองออกมาจากใต้จักรยาน ขณะที่พยายามกลั้นก้อนสะอื้นแม้จะอยากร้องไห้จ้าเช่นที่คุณหญิงทำ แต่ก็ไม่อาจทำได้ มัลลลิกากลัวเพราะตนมีความผิดที่ทำให้จักรยานของคุณหญิงล้มติดตัวอยู่ด้วย
หนูน้อยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินกะเผลกช้าๆ ไม่กล้าลงน้ำหนักเท้าข้างที่เจ็บมาก พลางปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
ร่างเล็กนั่งกอดเข่าร้องไห้จุมปุ๊กในมุมห้องนอน พอประตูห้องเปิดก็สะดุ้งเฮือกแล้วเห็นว่าเป็นพี่สาวของตนก็ยิ่งสะอึกสะอื้น
“มะลิเป็นอะไร ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้”
ช่อพิกุลรีบเข้ามาดูน้องสาวเมื่อกลับมาถึงแล้วเห็นอีกฝ่ายร้องไห้เงียบๆ คนเดียว กว่าเธอจะกลับจากโรงเรียนมาถึงวังก็ใช้เวลาครู่ใหญ่ และยังไม่ทันรู้เรื่องราวในวังว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะรีบตรงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะได้ไปช่วยงานคนอื่นๆ
“หัวเข่าแตกนี่ เกิดอะไรขึ้น”
“ฮึก ฮือ...จักร...จักรยาน คุณหญิง...ล้ม”
“ฮะ! แล้วคุณหญิงเป็นยังไง เจ็บมากหรือเปล่า”
ช่อพิกุลถามเพราะเห็นว่าน้องสาวตัวเองยังหัวเข่าแตกคุณหญิงก็น่าจะเจ็บตัวไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่านั่นทำให้มัลลิกาน้อยใจที่มีแต่คนห่วงคุณหญิงจริญญา ไม่มีใครสนใจตนแม้แต่พี่สาว
ดวงตาที่แสนเศร้ากับใบหน้าที่ผิดหวังของน้องสาวทำให้ช่อพิกุลเข้าใจว่าอีกฝ่ายเจ็บมากจึงรีบบอก
“เดี๋ยวพี่ทำแผลให้ ลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป”
ใบหน้าเล็กส่ายไปมาทำให้พี่สาวคิดว่าอีกฝ่ายงอแง
“อาบน้ำ จะได้รีบทำแผล พี่ไม่มีเวลามากนะ ต้องรีบไปช่วยคนอื่นเขาทำงาน ไม่งั้นจะโดนดุ เร็วสิ”
มัลลิกายังไม่ยอมลุก ช่อพิกุลเริ่มขุ่นใจและตนก็ไม่มีเวลามากจริงๆ
“งั้นพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าไปทำงานก่อนก็แล้วกัน อยากอาบเมื่อไรก็อาบ กลับมาค่ำๆ พี่จะทำแผลให้”
ช่อพิกุลบอกน้องสาวเสียงขุ่นแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่มัลลิกามองตามพี่สาวพร้อมน้ำตานองหน้า หนูน้อยโกรธระคนน้อยใจที่พี่สาวไม่ใส่ใจตนจึงไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเมื่อพี่สาวออกไปจากห้อง
“แม่จ๋า มะลิคิดถึงแม่ ฮือออ”
หนูน้อยพึมพำเสียงเครือ อยากได้อ้อมกอดของมารดาที่เคยโอบกอดปลอบตนในยามเจ็บป่วยเหมือนเช่นเมื่อก่อน
เพราะคุณหญิงจริญญาบาดเจ็บบนตึกใหญ่จึงค่อนข้างวุ่นวาย กว่าเจ้าตัวจะหยุดร้องไห้และนอนหลับช้องนางก็ต้องคอยดูแลอาบน้ำป้อนอาหาร ท่านชายบวรภพกับหม่อมจรรยาก็ต้องปลอบบุตรสาวคนเล็กในห้องอยู่นานกว่าเจ้าตัวจะหลับ กว่าทุกคนจะได้แยกย้ายก็ค่อนข้างดึก ยังดีที่คุณหญิงเพียงแค่ศอกถลอกเท่านั้น ไม่มีปัญหากระดูกร้าวหรือหัก กระนั้นช้องนางก็ถูกท่านชายบวรภพดุอย่างหนักที่ปล่อยให้เด็กๆ อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ช่อพิกุลเองก็รอช่วยสาวใช้คนอื่นเก็บสำรับอาหารล้าง ทำให้กว่าจะกลับห้องก็ดึกมากเช่นกัน เข้ามาแล้วเห็นร่างเล็กของน้องสาวฟุบนอนหลับในชุดเดิมก็หงิดหงุดเพราะเจ้าตัวงอแงไม่ออกไปกินข้าวในเรือนครัวด้วย
“มะลิ นี่ยังไม่อาบน้ำอีกหรือ ทำไมถึงดื้อแบบนี้”
มือบางตีแขนเล็กดังเผียะ ไม่ได้ตั้งใจให้เจ็บแต่ก็พลั้งมือเพราะคิดว่าตัวเองต้องดูแลน้อง ทำให้น้องเชื่อฟังให้ได้เหมือนแม่จึงดุอีกฝ่าย
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ”
ร่างเล็กของมัลลิกาสะดุ้งลืมตาพร้อมกับที่พี่สาวฉุดแขนดึงขึ้น
“ไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้มากินข้าว พี่ขอแบ่งข้าวมาให้แล้ว เร็วเข้า”
พร้อมบอกช่อพิกุลยังรั้งน้องสาวให้ลุกขึ้นยืนทั้งที่หนูน้อยยังงัวเงียไม่ตื่นเต็มตา ทำเอาเผลอวางเท้าข้างที่เจ็บบนพื้นแล้วก็ต้องร้องออกมาทันทีด้วยความรวดร้าว
“โอ๊ย...”
ร่างเล็กทรุดฮวบลงจับข้อเท้าสะอึกสะอื้นอีกครั้ง คราวนี้ช่อพิกุลมองตามอย่างสังเกตเพราะเป็นคนละข้างกับแผลที่หัวเข่าแล้วก็เห็นข้อเท้าเล็กเขียวช้ำ
“อะไรน่ะ ข้อเท้าเจ็บหรือมะลิ ทำไมไม่รีบบอกพี่”
“มีอะไรกัน เสียงดังเชียวสองพี่น้อง”
ช้องนางที่เสร็จธุระจากบนตึกกลับเข้ามาในห้องเอ่ยถาม
“เป็นอะไรหืมมะลิ ร้องไห้ทำไม”
“มะลิน่าจะข้อเท้าแพลงหรือเคล็ดหรือเปล่าก็ไม่รู้น้าช้อง เขียวช้ำเลย ขยับไม่ได้ ยืนไม่ได้ด้วย”
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรช่อพิกุลก็หน้าเสียรีบหันมาบอกน้าสาวของตน
“อ้าว? เป็นอะไร เจ็บตั้งแต่เมื่อไร”
“พิกุลกลับมาเห็นหัวเข่าแตก พอถามก็บอกคุณหญิงจักรยานล้ม เลยบอกให้ไปอาบน้ำจะทำแผลให้ แต่มะลิไม่ยอมลุก ไม่ยอมบอกพิกุลด้วยว่าเจ็บขา พิกุลคิดว่างอแงก็เลยไปทำงานเลย รอให้อาบน้ำก่อนเสร็จงานจะกลับมาทำแผลให้ แต่เพิ่งมาเห็นว่าข้อเท้าเขียวมากเลยจ้ะ”
“ตายจริง เจ็บตั้งแต่ที่ล้มกับคุณหญิงน่ะหรือ”
ช้องนางรีบนั่งลงใกล้ๆ แล้วก็อดสงสารหลานสาวไม่ได้ ตนเองก็ห่วงคุณหญิงจนลืมสังเกตเจ้าตัวไป
“คุณหมอมาตรวจคุณหญิงเพิ่งจะกลับไปเอง แต่เดี๋ยวน้าจะไปขออนุญาตหม่อม ขอเอารถออกพาไปหาคุณหมอที่บ้านก็แล้วกัน พิกุลพาน้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”
“จ้ะน้าช้อง”
เมื่อรับคำแล้วช่อพิกุลก็รีบอุ้มน้องสาวพาไปอาบน้ำ
======