แต่ความจริงคือ... เธอกำลังหลอกตัวเอง
เสียงโทรศัพท์สั่นครืดในกระเป๋า หนูยิ้มเหลือบมองหน้าจอที่ปรากฏชื่อ'กฤต'ใจเธอสะดุ้งวาบ แต่ก็รีบกดปิดเสียงไว้ แพรวเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยิน
“เป็นอะไรน่ะยิ้ม ทำไมช่วงนี้ดูเหม่อๆ”
แพรวถามพลางเอื้อมมือมากระตุกแขนเบาๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
หนูยิ้มฝืนยิ้มบางๆ
“เปล่าหรอกแพรว… แค่พักผ่อนไม่ค่อยพอเท่านั้นเอง”
แพรวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะรีบพูดเสียงดังขึ้นมานิดหน่อย
“งั้นพักเยอะๆหละ เดี๋ยวเรียนไม่รู้เรื่อง”
หัวใจหนูยิ้มเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที เพราะความจริงแล้วเธอกำลังโกหกเพื่อนสนิทที่เธอรักที่สุด ความลับที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเจษในคืนนั้น เรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยยังคงพันธนาการเธอไว้แน่น และเธอไม่อาจบอกใครได้...แม้แต่แพรว
ไม่นานนักเสียงหัวเราะ และเสียงทักทายดังขึ้นเมื่อเจษเดินเข้ามายังโต๊ะกลุ่มเพื่อน เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นเผยให้เห็นท่อนแขนแกร่ง สายตาคมกริบตวัดมาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเบือนหนี แต่เพียงเท่านั้นหัวใจหนูยิ้มก็ร่วงวูบลงไปที่ตาตุ่ม ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน
“เฮ้ยเจษ! มานี่ๆนั่งด้วยกันสิ”
วิทกวักมือเรียกเจษ ร่างสูงก้าวเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน สีหน้าเย็นชาแต่แฝงรังสีอำนาจที่ทำให้ใครๆรู้สึกเกรงใจ เขาทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามหนูยิ้ม สายตาไม่แม้แต่จะชายตามอง แต่กลับเปิดสมุดจดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าในแววตาคมดุที่กดต่ำกลับสะกดหัวใจเธอให้สั่นระรัว
“นี่เจษ วันนี้มีรายงานกลุ่มนะนายเตรียมมาหรือยัง”
เพื่อนชายอีกคนเปิดประเด็นขึ้นมา
“เตรียมสิ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอื่อยๆตอบกลับ แต่เมื่อหางตาเฉียดไปเห็นหนูยิ้มที่ก้มหน้างุดทำทีเขียนอะไรในสมุด เขากลับแค่นยิ้มเหยียดมุมปาก ก่อนเอ่ยประโยคแทงใจออกมาเสียงดังพอให้ทุกคนได้ยิน
“บางคนคงไม่ต้องเตรียมหรอกมั้ง ยังไงก็มีนิสัยเกาะคนอื่นอยู่แล้ว”
หนูยิ้มชะงักปากกาหยุดค้างบนกระดาษทันที ร่างกายร้อนวูบเหมือนถูกสาดน้ำมันก๊าดแล้วจุดไฟ ทุกสายตาหันมามองเธอ บ้างก็หัวเราะแห้งๆพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่แพรวรีบหันขวับไปมองเจษ
“เจษ! พูดแบบนี้หมายความว่าไง ทำไมต้องว่าหนูยิ้มด้วย”
เจษเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ หัวเราะในลำคออย่างดูถูก
“อ้าว ก็พูดความจริงไม่ใช่เหรอ คนบางคนก็ถนัดทำตัวเป็นภาระอยู่แล้ว จะให้เก่งอะไรนักหนา”
คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่บาดลึกเข้าไปในใจหนูยิ้ม เธอกำปากกาแน่นจนแทบหัก แต่ไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา เธอกลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและดูแคลน
“พอได้แล้วเจษ มึงนี่ยังไงกันจ้องจะกัดอยู่กับยัยยิ้มตลอด นั่นเพื่อนแฟนมึงนะแถมยังเป็นเพื่อนของพวกกูด้วย”
วิทที่นั่งฟังเจษพูดคงอดไม่ได้ที่จะปรามขึ้น แต่เจษกลับยกยิ้มมุมปาก ดวงตาคมเฉียงตวัดมองหนูยิ้มเพียงเสี้ยววินาที แววตาที่ทั้งกดดันทั้งบังคับราวกับเตือนว่า อย่าแม้แต่คิดจะปริปากเรื่องคืนนั้น หนูยิ้มกำลังจะลุกหนี แต่เสียงโทรศัพท์ของเธอสั่นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ทันปิดหน้าจอแพรวเห็นเต็มๆว่าเป็น 'กฤต'
“กฤตโทรมาหาเธอทำไมยิ้ม?”
แพรวเอ่ยด้วยความแปลกใจ แต่หนูยิ้มไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจะต้องเสียงดังด้วย ทำให้เพื่อนหันมามองเธอหมดโดยเฉพาะสายตาของเจษที่มองมา หนูยิ้มรีบยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋า
“เอ่อ… ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเก่าๆ”
หนูยิ้มฝืนหัวเราะกลบเกลื่อน แต่เสียงหัวเราะสั่นพร่าเกินกว่าจะหลอกใครได้ โดยเฉพาะกับเจษ เขาเลิกคิ้วสูงทันทีมุมปากกระตุกยิ้มเย็นอย่างน่ากลัว
“หึ…กลับไปคบกับเศษขยะที่เคยทิ้งมึงสินะ ดีหนิเหมาะสมกันดีนี่”
คำพูดนั้นเหมือนตบหน้าหนูยิ้มต่อหน้าทุกคน ความอับอายพุ่งขึ้นร้อนผ่าวทั่วร่าง แต่เธอไม่อาจเถียงไม่อาจอธิบายใดๆได้เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูด มันคือกำแพงที่กดเธอให้จมลงลึกยิ่งกว่าเดิม แพรวขมวดคิ้ว
“เจษ! นายพูดแรงไปแล้วนะ ยิ้มไม่ได้เป็นแบบนั้น../ ไม่ต้องปกป้องหรอกแพรว”
เจษขัดขึ้นเสียงเรียบ ดวงตาคมตวัดมาที่หนูยิ้มอีกครั้ง
“คนที่อยากหนีไปหาคนเก่าก็แค่กำลังหาทางเอาตัวรอดชั่วคราว มันไม่ต่างอะไรกับหนูหนีเสือปะจระเข้”
บรรยากาศบนโต๊ะเงียบกริบลงในพริบตา เพื่อนทุกคนอึดอัดไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ส่วนหนูยิ้มเหมือนกำลังหายใจอยู่ในห้องที่ไร้ออกซิเจน โลกทั้งใบกดทับจนร่างเล็กสั่นสะท้าน เจษยังคงนั่งพิงเก้าอี้มองเธอด้วยแววตาที่แฝงความเหี้ยมเกรียม ความลับระหว่างพวกเขากลายเป็นโซ่ตรวนที่รัดเธอจนแทบขาดใจ
หนูยิ้มได้แต่ยิ้มบางๆฝืนทนต่อไป เพราะเธอรู้ดีหากความจริงหลุดออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอคงพังพินาศยับเยินในทันที แต่ก็ใช่ว่าจะอยากให้เขากดอยู่ฝ่ายเดียว
“ถ้าฉันจะกลับไปคบขยะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยเจษ!ขอบคุณที่เตือนฉันนะ”
หนูยิ้มพูดออกมาด้วยความโมโห เจษได้แต่นั่งกัดกรามคราวนี้พูดไม่ออก
สายลมกลางวัน พัดเอาความร้อนจากแสงแดดลอดเข้ามาในโรงอาหารของมหาลัย บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงคุยเสียงหัวเราะของนักศึกษา แต่สำหรับหนูยิ้มมันกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด และความอึดอัด เหมือนมีแรงกดดันล่องลอยอยู่ในทุกอณูอากาศ
เธอเดินเข้าไปในแถวซื้ออาหาร พลางมองหาโต๊ะว่าง แต่หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นร่างสูงของ เจษ นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน เขายังคงนั่งกอดอก แววตาคมกริบจ้องมาที่เธอเหมือนจับผิดทุกความเคลื่อนไหว เธอพยายามฝืนยิ้มตอบเพื่อนที่ทักทาย แต่ในใจกลับเหมือนถูกบีบให้หายใจไม่ออก
และเหมือนโชคชะตาเล่นตลก ทันทีที่เธอเดินผ่านโต๊ะ กลิ่นของเจษ แววตาที่ฉายความเกลียดชังชัดเจนทำให้หัวใจของเธอสั่นรัว
“ยิ้ม…วันนี้กินข้าวด้วยกันไหม?”
กฤตเอ่ยเรียกจากด้านหลัง เธอสะดุ้งและหันไปพบเขายืนอยู่ใกล้ๆ ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความตั้งใจจริง หนูยิ้มยิ้มบางๆตอบกลับ
“อืม…ได้สิ”
เธอเลือกที่จะเดินไปกับกฤต เพราะอย่างน้อยการอยู่ใกล้เขาก็ทำให้หัวใจเธอสงบลงบ้างชั่วขณะ แต่ทันทีที่ก้าวไปไม่ถึงสองก้าว แววตาคมกริบของเจษก็ตวัดมองมาที่เธอ สายตาเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยการข่มขู่
“หึ…คิดจะหนีไปกับแฟนเก่าหรอ?”
เจษเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ มุมปากกระตุกเยาะ
“ผู้หญิงอย่างมึง สมแล้วที่ต้องมีชีวิตแบบนี้”
หนูยิ้มเม้มริมฝีปากแน่น พลางเดินก้าวถอยไปหากฤตที่ยืนรออยู่ กฤตไม่รอช้าเขายืดตัวขึ้นเต็มความสูง เดินไปยืนตรงข้ามเจษโดยไม่หวาดหวั่น ดวงตาคมเข้มเผชิญหน้ากับสายตาของเจษอย่างไม่ถอย
“กูไม่ชอบวิธีที่มึงมาทำร้ายผู้หญิงคนนี้ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เลยเจษ ยิ้มไม่ได้ทำอะไรผิด!”
กฤตเอ่ยเสียงเข้ม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยแรงปกป้อง เจษหัวเราะในลำคอ ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ราวกับเยาะเย้ยความกล้าหาญนั้น
“มึงกล้าพูดหรอว่าหนูยิ้มของมึงไม่เคยทำอะไรผิด แล้วมึงคิดว่ากูจะกลัวผู้ชายอย่างมึงด้วยงั้นหรอ?”
เพื่อนๆรอบๆพากันหันมามองด้วยความตื่นตระหนก บรรยากาศในโรงอาหารพลันตึงเครียด ราวกับกำลังรอระเบิดที่จะปะทุ หนูยิ้มยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง เธอพยายามก้าวถอยหลังแต่กฤตจับข้อมือเธอเบาๆ แล้วรั้งเข้าไปไกล้เขา
“ยิ้ม…อย่ากลัวนะ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
เสียงของเขาเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงความกลัวในใจเธอให้สงบลงบ้าง แต่เพียงเสี้ยววินาทีถัดมาเจษก็ก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องมาที่เธอเต็มไปด้วยแรงกดดัน
“ก็แค่หนีไปหาแฟนเก่า มึงคิดว่าจะรอดจากกูง่ายๆ เหรอ?”
กฤตสบตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้ มือทั้งสองข้างกางออกเล็กน้อย ราวกับเตรียมพร้อมจะรับมือ เจษยักไหล่พลางยิ้มเยาะแล้วหันมามองหนูยิ้มอีกครั้ง เสียงทุ้มต่ำเหมือนคำสาปที่พูดเบาๆได้ยินกันเพียงแค่สองคนกับหนูยิ้ม
“หึ…ผู้หญิงอย่างมึงมันก็แค่ของเล่นของผู้ชายแหละยิ้ม จำไว้นะกูยังอยู่ตรงนี้กูจะไม่ปล่อยให้มึงมีความสุขง่ายๆหรอก”
คำพูดนั้นแทงลึกลงไปในหัวใจหนูยิ้ม เธอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความรู้สึกผิดและความกลัวผสมปนเปกันจนแทบจะทำให้เธอเป็นลม
เพื่อนๆรอบโต๊ะเริ่มพากันพยายามห้าม แต่เจษไม่สนใจใคร มือกระชับลงบนโต๊ะราวกับพร้อมจะคว้าความจริงออกมา
“อย่ามายืนขวางทางกู!”
เจษตวาดเสียงแข็ง ดวงตาแฝงความโกรธเคือง
“กูจะไม่ยอมให้ยิ้มถูกทำร้ายต่อหน้ากูอีก เจษมึงถอยไป!กูว่าคนที่มึงควรหวงคือแฟนมึงนะไม่ใช่หนูยิ้ม”
เจษหัวเราะเยาะเบาๆพลางก้าวเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ความใกล้ชิดของเขาทำให้หนูยิ้มตัวแข็งเกร็ง แววตาสั่นพร่าไปด้วยความกลัว
“การที่กูแสดงคำพูดแล้วก็ท่าทีแบบนี้เขาเรียกว่าหวงหรอวะ กูว่ากูเกลียดมากกว่า เกลียดผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างมึงตอนนี้ ที่ทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาแต่จริงๆแล้ว../
“เจษ!”