“การที่กูแสดงคำพูดแล้วก็ท่าทีแบบนี้เขาเรียกว่าหวงหรอวะ กูว่ากูเกลียดมากกว่า เกลียดผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างมึงตอนนี้ ที่ทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาแต่จริงๆแล้ว../
“เจษ!แพรวเดินมาโน่นแล้ว ถ้านายไม่อยากให้แพรวคิดมากก็หยุดสักที”
หนูยิ้มกัดฟันแน่นพยายามรวบรวมความกล้าปรามสติเจษ เธออยากเดินหนีแต่ร่างกายก็เหมือนถูกตรึงไม่ให้ก้าวถอย
“ระวังตัวไว้นะยิ้ม…”
เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความคาดคั้น ราวกับเขากำลังประกาศสงครามส่วนตัวกับทั้งกฤตและเธอ หนูยิ้มยืนตัวสั่นใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ต้องฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้แพรวสังเกตเห็นอะไรผิดปกติ เพราะเธอรู้ดีทุกคำพูดทุกสายตาของเจษ คือแรงกดดันที่เธอต้องแบกรับคนเดียว กฤตยื่นมือมาจับมือเธอแน่นเสียงเขาเบาแต่มั่นคง
“เราอยู่ด้วยกันได้นะยิ้ม…ไม่ว่าใครจะว่าอะไร ฉันจะอยู่ตรงนี้เสมอ”
แต่คำพูดนั้นก็ไม่สามารถลบความเจ็บปวดที่เจษเพิ่งฝากไว้ในใจเธอได้ มันเหมือนรอยแผลลึกที่ยังไม่หายดี และทุกครั้งที่เจษสบตาความกลัวก็กลับมากดทับหัวใจเธออีกครั้ง
เพื่อนๆรอบโต๊ะเริ่มเบาเสียง พยายามไม่ให้ความตึงเครียดลุกลาม แต่สำหรับหนูยิ้ม มันเหมือนโลกทั้งใบถูกรัดแน่นอยู่ระหว่างเจษกับกฤต สองแรงกดดันที่ต่างกัน แต่มีจุดร่วมเดียวคือเธอต้องทนแบกรับไว้คนเดียว จนกระทั่งมีกลุ่มรุ่นพี่วิศวะปี4เดินเข้ามา ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดมีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆ ที่ส่งเสียงดังเมื่อเห็น 4 หนุ่มเดินเข้ามา 'วาโย'พี่ชายข้างบ้านของเธอ แล้วก็เพื่อนของเขาอีก 3 คน อคิราห์ เดย์ ไนท์ โดยเฉพาะอคิราห์ ที่เป็นตัวตึงวิศวะแถมยังเป็นนักแข่งรถที่ฮอตสุดในตอนนี้ แต่หนูยิ้มไม่ได้สนใจข้อมูลพวกนั้นเลยสักนิด
“พี่วาโย!”
วาโยคือความอบอุ่นเดียวของหนูยิ้มในตอนนี้ เธอปล่อยมือจากกฤตแล้วเดินไปหาวาโย หลบอยู่ด้านข้างเขา
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมหนูยิ้มหน้าซีดๆ”
สายตาของเขาแล้วก็น้ำเสียงที่ฟังแล้วอบอุ่น จนเธอหายใจโล่งอย่างบอกไม่ถูก วาโยเข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี
“ไม่มีค่ะหนูยิ้มแค่พักผ่อนน้อยเลยเพลียๆนิดหน่อย ว่าแต่ทำไมพวกพี่ถึงมาที่นี่ได้คะ”
“ทำไมโรงอาหารคณะบริหาร ไม่ต้อนรับวิศวะหรอ?”
วาโยก้มลงมากระซิบไกล้หูของหนูยิ้ม ยิ่งทำให้พวกสาวๆในโรงอาหาร ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
“เปล่าค่ะ หนูยิ้มแค่แปลกใจเพราะไม่ค่อยเห็นพวกพี่มาที่นี่ หรือว่ามีใครในกลุ่มนี้มาหาแฟนที่คณะนี้หรือเปล่าคะ”
หนูยิ้มยิ้มออกมาสดใสที่สุดในเวลานี้ รอยยิ้มที่หายไปพร้อมกับความรู้สึกผิดตั้งแต่วันนั้น จนเจษชะงักไปชั่วขณะ รอยยิ้มร่าเริงที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ มันหายไปหลังจากคืนนั้น ตอนนี้หนูยิ้มกล้ากลับมายิ้มสดใสได้อีกครั้ง ทั้งๆที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้ แต่เธอกลับยิ้มสดใสให้แค่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นหรอ เขาเกลียดรอยยิ้มนี้ของเธอ เกลียดที่เธอกล้ายิ้มให้กับผู้ชายคนอื่นได้อย่างเต็มเปี่ยม
“ก็ต้องมีแน่นอนสิครับ ทั้งไอ้อคิราห์ ทั้งไอ้วาโย ก็มีสาวที่หมายปองที่คณะบริหาร พวกมันเลยชวนพวกพี่มา”
เดย์รีบตอบก่อนจะโดนวาโยเตะเท้าไปหนึ่งที
“ปากมึงนี่ พูดมากนะไอ้เดย์”
“หรอคะ ดีจังงั้นแบบนี้หนูยิ้มก็ได้เจอพี่วาโยบ่อยขึ้นสิคะ”
“หนูยิ้มอยากเจอบ่อยแค่ไหนก็ได้ ขอแค่หนูยิ้มบอกพี่”
วาโยยิ้มให้หนูยิ้มจนลืมไปเลยว่ามีเพื่อนมาด้วย
“กูเลี่ยนว่ะ งั้นกูไปหา'แพรวา'ก่อนนะ”
พูดจบอคิราห์ก็เดินเลี่ยงออกไปแบบนิ่งๆ โดยที่ไม่ได้สนใจเสียงกรี๊ดกร้าดจากสาวๆเลย ส่วนวาโยจ้องหน้ากฤตอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะสบถคำด่าออกมา
“ไอ้ลูกหมานี่ มึงยังมีหน้ากล้ามาวอแวน้องกูอีกหรอวะ”
วาโยแทบพุ่งไปหากฤต แต่โดนหนูยิ้มห้ามไว้ซะก่อน เดย์กับไนท์รีบขวางวาโยไว้เช่นกัน
“มึงหยุดเลยนะไอ้วาโย ถ้ามีอะไรค่อยเคลียร์กันนอกมหาวิทยาลัย”
“เล่นแ***ตรงนี้ก็ยังได้ มึงไปเลยนะไปให้ไกลๆตีนกูแล้วห้ามมายุ่งกับหนูยิ้มอีก ถ้ามึงยังกล้ามึงก็เตรียมนอนในโลงศพได้เลย”
วาโยกัดกรามแน่น
“ผมขอโทษ แต่หนูยิ้มให้โอกาสผมแล้ว ครั้งนี้ผมสัญญาผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก”
“เพื่ออะไรหนูยิ้ม พี่จะไม่ยอมให้หนูยิ้มกลับไปคบกับไอ้เศษสวะนี่อีก มันทำหนูยิ้มเจ็บปางตายแค่ไหนจำไม่ได้หรอ”
วาโยหันมาดุหนูยิ้ม เธอได้แต่ก้มหน้าจับชายเสื้อวาโยไว้แน่น ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆไหลออกมา ไม่ใช่เสียใจที่วาโยไม่ได้กลับไปคบกับกฤต แต่เสียใจที่ตัวเองตัดสินใจผิด ที่ยอมเปิดโอกาสให้กฤตมาในชีวิตเพื่อแบ่งเบาความเจ็บปวดจากเจษ วาโยดึงร่างบางเข้ามาซบอกเขาต่อหน้าทุกคน
“พี่วาโย~”
“ไม่ต้องร้องพี่อยู่นี่ ใครหน้าไหนก็ทำอะไรหนูไม่ได้ถ้าพี่ไม่อนุญาต”
วาโยกอดปลอบหนูยิ้มยกมือขึ้นมาลูบผมเธอเบาๆ ก่อนสายตาคมจะตวัดไปมองกฤตด้วยแรงอาฆาต ทำให้กฤตเดินออกไปจากโรงอาหาร แพรวเดินเข้ามาหาหนูยิ้มที่ยังยืนซบวาโยอยู่
“พี่ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูยิ้มเป็นเพื่อนแพรว แพรวจะดูแลเองค่ะ”
“เพื่อนหนูยิ้มหรอ งั้นพี่ฝากด้วยนะครับ ”
“ค่ะ”
“งั้นพี่ไปก่อนนะ”
วาโยยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาบนแก้มเธอเบาๆ
“ค่ะ”
หนูยิ้มรีบผละออกจากอ้อมกอดของวาโย เธอเผลอไปสบตาเข้ากับเจษ สายตาที่มีความเกลียดชังมากอยู่แล้วกลับทวีคูณมากขึ้นไปอีก เจษเดินผ่านหนูยิ้มออกไปจากโรงอาหาร ก่อนจะพูดผ่านเธอก่อนจะพูดผ่านเธอเบาๆ
“ผู้หญิงอย่างมึงเรียกว่าวันทองคงไม่พอ”
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเข้ามาในห้องเรียนใหญ่ ชั้นเรียนเต็มไปด้วยเสียงกระดาษพลิกและเสียงครูอธิบายบทเรียน แต่สำหรับหนูยิ้มบรรยากาศทุกอย่างเหมือนถูกกลืนหายไปในอากาศ
เธอนั่งอยู่มุมโต๊ะด้านหลัง แอบมองไปยังโต๊ะด้านหน้า โต๊ะที่เธอและแพรวเคยนั่งด้วยกันอย่างสนิทสนม แต่วันนี้เธอกลับนั่งห่างออกมา เพราะสายตาของเธอติดอยู่กับคู่รักที่นั่งซ้อนกันอยู่โต๊ะหน้า แพรวและเจษ
พวกเขานั่งใกล้กันมากจนแทบจะสัมผัสกันได้ แพรวเอียงหน้ามาแล้วยิ้มหวานให้เจษ เสียงหัวเราะนุ่มๆ ของเธอก้องอยู่ในหัวหนูยิ้ม เหมือนระฆังแห่งความเจ็บปวด
“เจษ…วันนี้สนุกไหม?”
แพรวเอ่ยเสียงนุ่ม มือเล็กเธอยกขึ้นแตะแก้มเขาเบาๆ
เจษยิ้มมุมปาก มองเธอด้วยแววตาอบอุ่นผิดกับตอนที่เขาพูดจาหยาบคายใส่หนูยิ้ม
“มีความสุขมากกว่า แพรวอยู่ตรงนี้แล้ว วันทั้งวันของเจษก็มีความสุขหมดเเหละ”
หนูยิ้มแทบกลืนลมหายใจลงคอ หัวใจเหมือนถูกบีบเเทบแหลกสลาย เธอยกมือกุมหน้าอกตัวเองพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงหัวเราะและคำพูดหวานๆของทั้งคู่เหมือนเข็มทิ่มแทงใจหนูยิ้มรัวๆ
“เจษ มีใครเคยบอกไหม ว่าเวลานายยิ้มแล้วนายหล่อที่สุด”
แพรวเอียงตัวไปใกล้มากขึ้นมือเล็กเกาะแขนเขา เจษโน้มตัวไปกระซิบข้างหูแพรว เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“มีสิ!”
“ใคร ?”
แพรวชักสีหน้าเหมือนไม่พอใจ มือหนาของเขายกขึ้นมาบีบแก้มของแพรวเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ในตัวของเขาที่หนูยิ้มไม่เคยได้รับ
“แพรวที่รักของเจษไงครับ”
'ที่รักของเจษไงครับ'คำพูดนั้นเขา จงใจพูดเสียงดังให้หนูยิ้มได้ยิน ก่อนจะหันมายิ้มเย้ยหยันให้เธอ คำว่า 'ที่รักของเจษ' ที่เขาพูดเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่สำหรับหนูยิ้มมันเหมือนคมมีดกรีดลึกเข้าไปในใจ หนูยิ้มฝืนก้มหน้าพลางพยายามจดจ่อกับสมุด แต่สายตาก็ไม่อาจละจากพวกเขาได้
“เจษอย่าลืมทำงานกลุ่มด้วยนะ เดี๋ยวอาจารย์ดุ”
แพรวพยายามเตือนพลางหัวเราะเขินๆ เจษยิ้มให้เธออีกครั้ง มือหนาของเขาจับมือเล็กของแพรวแน่น ราวกับโลกทั้งใบเป็นของพวกเขา
“ไม่ต้องห่วงฉันจะทำให้ดีที่สุด…แต่ถ้าเธออยู่ตรงนี้ ฉันก็แฮปปี้ที่สุดแล้วแพรว”
หนูยิ้มชะงักมือที่กำปากกาแน่นเริ่มสั่น เธอแทบอยากลุกหนีออกจากห้อง แต่ก็ต้องเกรงใจเพื่อนคนอื่นและไม่อยากให้ใครสงสัย เพื่อนรอบตัวเริ่มสังเกตความเงียบของเธอ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร เพราะทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับความหวานของคู่รัก
“เจษ…แพรวอยากให้เจษอยู่ใกล้แพรวแบบนี้ตลอดเลย”
แพรวเอ่ยเสียงหวาน มือเล็กลูบไปตามแขนเขาเบาๆเจษโน้มตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น พูดเสียงกระซิบกับเธอ
“ฉันก็อยากอยู่ใกล้เธอทุกวันเลย ยิ่งเวลาเห็นเธอยิ้ม ฉันก็ยิ่งรักเธอมากขึ้นทุกที”
หนูยิ้มรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มทับ เธอไม่เคยคิดว่าการนั่งในห้องเรียนธรรมดาจะทำให้หัวใจเจ็บปวดได้ขนาดนี้ แต่ภาพความใกล้ชิดและความสวีทของคู่รักตรงหน้า ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก ถูกกีดกันจากความสุขของเพื่อน