Disturb or ... 1/1

1316 Words
ฉันยืนเท้าโต๊ะทำครัวอยู่นิ่งๆ ตั้งแต่เดินผละจากผู้ชายคนนั้นมา โดยที่ในใจปั่นป่วนไปหมด คิดว่าไม่ได้หวั่นไหวทางรักใคร่ชอบพอ แต่เป็นความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่มีคนมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวมากกว่า ความไม่คุ้นเคย.. อาจจะเป็นแบบนั้น คิดได้คำตอบแล้วก็ตัดสินใจไปสงบอารมณ์ที่เดิม คว้าสมาร์ทโฟนกับหูฟังกะจะเดินไปที่สวน แล้วสายตาก็ไปเจอเข้ากับพัสดุที่มาส่งได้หลายวันแล้วแต่ไม่มีเวลาแกะ วางของในมือแล้วแกะพัสดุ เป็นหนังสือพอคเกตบุ๊คเล่มเล็กพอดีมือสามสี่เล่ม ฉันเลือกมาหนึ่งเล่ม คว้าของที่วางไว้ข้างๆ ตรงไปที่สวนลับ เสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงสบายๆ หยิบหนังสือมาเปิดอ่าน ..... พ่อลูกขึ้นรถไฟด้วยกัน ลูกชายอายุ 24 ปี มองนอกหน้าต่างรถไฟและตะโกนว่า “พ่อ! ดูต้นไม้เหล่านั้นสิ” ..... พ่อยิ้มตอบกลับด้วยความสุข วัยรุ่นสองคนนั่งเบาะตรงข้าม มองดูลูก และทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ ..... ทันใดนั้น ลูกชายก็ตะโกนเสียงดังอีกว่า “พ่อ! ดูก้อนเมฆที่ลอยตามหลังเราสิ” ..... วัยรุ่นสองคนที่นั่งเบาะตรงข้ามส่ายหัว แล้วพูดเสียงดังกับคนเป็นพ่อว่า “ทำไมคุณถึงไม่พาลูกชายคุณไปหาหมอ?” ..... ผู้เป็นพ่อตอบว่า “ผมได้พาลูกชายของผมไปหาหมอแล้ว และเราก็เพิ่งกลับจากโรงพยาบาล” ..... “ลูกชายของผมเขาตาบอดตั้งแต่เกิด เขาเพิ่งมองเห็นวันนี้เป็นครั้งแรก” ..... ทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีเรื่องราวในแบบของตนเอง และแตกต่างกัน ‘อย่าเป็นคนที่ตัดสินคนอื่นจากการกระทำ แต่ตัดสินตัวเองจากเจตนา’ ... เจตนางั้นเหรอ เอาเถอะ ไว้ค่อยคิดต่อแล้วกัน หลังปิดร้านวันนี้ฉันก็ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนทุกวัน หาอะไรใส่ท้อง อาบน้ำ พักผ่อน กินยา แล้วดูการ์ตูนก่อนนอน ไม่ลืมที่จะเสียบหูฟัง ฟังเสียงฝนกล่อมตัวเองให้พ้นคืนนี้ให้เร็วที่สุด ...แต่ คืนนี้ฉันถูกคุกคามพื้นที่ปลอดภัยจากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ให้ตายเถอะ นอนไม่หลับเลย ใจเย็นๆ ไนท์ อย่าไปนึกถึง มันผ่านมาแล้วผ่านไป ทำหัวให้โล่งเข้าไว้ หลังจากพยามทำแบบนั้นได้สักพัก หันไปมองนาฬิกาพรายน้ำปรากฏเวลา 2:00 A.M. ไม่ได้ละ ฉันเลือกวิธีที่เร็วที่สุด ลุกเดินไปที่ตะกร้าใส่ยา แกะ ¼ clonazepam เข้าปากตามด้วยน้ำสองอึก (ถ้ามากกว่านี้ พรุ่งนี้อาจจะตื่นไม่ไหว) คราวนี้ฉันถอดหูฟังแต่เปิดเสียงฝนตกคลอเบาๆ หลับตาแล้วปล่อยความคิดให้ค่อยๆ หายไป ไม่นานยาก็ออกฤทธิ์ ช่วยเหลือฉันให้ผ่านพ้นไปอีกวัน เช้าวันถัดมา ลืมตามาก็ความรู้สึกว่ามีแสงลอดมาในม่านสีดำ แล้วคำตอบก็ชัดที่นาฬิกาอีกครั้ง 8:00 A.M. สายไปหน่อย แต่ก็เปิดร้านทันอยู่ดี ฉันมองรอบห้องนิ่งๆ เดินไปหยิบยาเช้ามากิน ถึงจะบอกว่ายาหลังอาหาร แต่เคยถามหมอแล้วว่าไม่กัดกระเพาะ เพราะงั้น จัดไปเถอะ ถึงแม้บางครั้งลมมันจะตีเอาควันผงยาขาวๆ ออกมาจากปากกับจมูกจนแสบไปหมด ควานหาน้ำมาเทลงคอแทบไม่ทัน แต่มันคงไม่มีอะไรแย่กว่าที่เคยผ่านมาหรอก ....หรือว่าไม่แน่? จัดการตัวเองเสร็จก็ลงมาเตรียมของเปิดร้าน โชคดีที่เมื่อวานจัดการความรู้สึกได้ค่อนข้างดี แถมได้ตื่นสาย โล่งใจหน่อยๆ ฉันเปิดเพลงคลอในร้าน เดินโยกศีรษะนิดๆ ตามจังหวะไปเปิดประตูให้แสงเข้า แล้วก็จะกวาดร้านด้วย แอ๊ดดดด “มอนิ่งครับ” ฉันยืนนิ่ง ค่อยๆ หันหลังไปช้าๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใคร “ร้านยังไม่เปิดค่ะ” ฉันเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “มากินข้าวด้วยไงครับ” เขายิ้ม กอปรกับแสงอาทิตย์ที่เพิ่งเริ่มพ้นขอบฟ้า ส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีสวยน่ามองมากจริงๆ เขาวางถุงผ้าลงบนโต๊ะ พร้อมกับถุงน้ำเต้าหู้สองถุงกับปาท่องโก๋ประมาณสิบกว่าตัวในห่อกระดาษ “มากินด้วยกันครับ ผมไม่รู้ว่าคุณชอบแบบไหนหรือแพ้อะไรเลยซื้อแบบธรรมดามา” พูดอะไรของเขาน่ะ “คุณมาเพื่อยืมสถานที่ดื่มน้ำเต้าหู้เหรอคะ” “ผมมาเพราะผมบอกว่าผมจะมา” สีหน้าฉันฉงนสุดๆ เขาเพี้ยนรึไง “คุณไม่ยอมกินอะไรเมื่อวานบ่าย ผมมาเพราะผมบอกแล้วว่าจะมากินข้าวกับคุณทุกวัน” “นี่คือการลงโทษ?” “คุณคิดแบบนั้นเหรอ ผมแค่อยากมีเพื่อนกินข้าว” เขายิ้ม “ฉันไม่ใช่เพื่อนคุณ” ใช่ มีแต่เขาที่ชอบเข้ามาในพื้นที่ของฉัน เขาอาจจะสงสาร คงยังมีภาพจำเมื่อครั้งแรกที่เจอกัน สภาพน่าสมเพชของฉันคงทำให้คนหลายคน ‘สงสาร’ ......อาจรวมไปถึงคุณคนนี้ “งั้น.. เป็นเพื่อนกันมั้ยครับ” “หา?” หลังคำพูดใจร้ายนั่น ฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้สักนิด “คุณเพี้ยนเหรอคะคุณหมอ เราจะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง” น่าแปลก ถ้าฉันไม่พยายามขยับกล้ามเนื้อใบหน้า มันไม่เคยแสดงออกอะไรเลย เหมือนขยับเองไม่ได้ ระบบประสาทที่ใบหน้าฉันพังรึไงนะ เพราะแบบนั้น ไม่ว่าจะสงสัยแค่ไหน ต้องการปฏิเสธแค่ไหน สีหน้าฉันยังคงไร้อารมณ์ ....มันราบเรียบ “ได้สิครับ ถ้ารู้จักกันก็เป็นเพื่อนกันได้” “ตลก ฉันไม่รู้ชื่อคุณด้วยซ้ำ” ฉันพูดสวนขึ้น ความรู้สึกร้อนรนในอกคืออะไร มัน..จะเกิดขึ้นอีกเหรอ ไม่.. ไม่อยากเจอแบบนั้นอีก ไม่อยากผิดหวังอีกแล้ว... ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ามือกำลังสั่น.. “ผมดอว์นครับ ผมเป็นหมอเฉพาะทางกระดูกที่โรงพยาบาลใกล้ร้านคุณ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยน หมอหนุ่มสังเกตร่างบางที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ... Panic “คุณโอเคนะ กินอะไรบ้างรึยังครับเช้านี้” เสียงนุ่มค่อยๆ พูดช้าๆ รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มที่ริมฝีปาก เขาเลี่ยงที่จะถามว่า กินยารึยัง มันอาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ฉันกัดริมฝีปากลิ้มรสเลือด สั่นอีกแล้ว.. ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร” น้ำตาเอ่อคลอดวงตาที่ไม่เคยฉายแววของความสุข “หายใจลึกๆ นะครับ ผมเป็นเพื่อนคุณ คุยกับผมได้เสมอ นะ..” ยิ้มอ่อนโยนแบบเดียวกับวันนั้น ก้อนสะอื้นจุกที่ลำคอ ฉันกลั้นมันไหว แต่น้ำตา.. ไม่ทันจริงๆ เขาเห็นน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าค่อยๆ พรั่งพรูจากร่างบางที่สั่นเทา เธอมักจะเป็นแบบนี้เสมอสินะ พูดว่าไม่เป็นไรเหมือนสะกดจิตตัวเองให้คิดว่าไม่เป็นไร ทั้งที่วิญญาณบอบช้ำเหลือเกิน.. “คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ยครับ หิวรึเปล่า” เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอช้าๆ ด้วยท่าทีไม่คุกคามทว่าให้ความรู้สึกอบอุ่น ฉันกลืนน้ำลายพร้อมกับก้อนแข็งๆ นั้นลงไป หายใจลึกๆ ฉันต้องไม่นึกถึงมัน ไม่อีกแล้ว ฉันเหลียวไปมองนาฬิกาติดฝาผนังร้าน 8:45 A.M. สายแล้ว.. “ขอโทษค่ะ ฉันทำคุณเสียเวลา เดี๋ยวฉันไปหยิบแก้วให้” เธอเดินไปที่หลังเคาท์เตอร์หยิบแก้วเซรามิกขึ้นด้วยมือสั่นๆ แล้วก็ตามพลอตหนังโง่ๆ ไม่ก็ฉันโง่เอง เพล้งง เธอพยายามกำมันไว้ก่อนที่จะตกลงไป ทำให้ขอบแก้วเซรามิกบาดเข้าไปในฝ่ามือบางจนเลือดสีเข้มหยดเป็นทาง “คุณ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD