c u a g a i n

1331 Words
Night’ s Part เจ็บ.. ฉันค่อยๆ ลืมตาช้าๆ กะพริบตาเมื่อต้องแสงที่กระทบมา เจ็บไปทั้งตัว หลับตาลงช้าๆ แล้วลืมตาอีกครั้ง น้ำตาค่อยๆ ไหลช้าๆ .... ทำไมถึงยังอยู่ ทั้งที่ควรต้องตายแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังมีสิทธิมีลมหายใจต่อไป ทั้งที่ฉันไร้ค่าขนาดนี้... ฉันค่อยๆ ยกแขนมาดูทั้งสองข้าง มีผ้าก๊อซพันและแผลที่ถูกเย็บแปะทับด้วยก๊อซกันน้ำเต็มมือและแขน จนต้องเจาะให้น้ำเกลือที่ข้างข้อมือ แผลถลอกและรอยช้ำจากการทุบไม่ยั้งมือเต็มแขนและขา ฉันกำมือสองข้างจนเลือดไหลออกมาจากแผล ก้มหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ทำไมคนที่อยากอยู่ถึงไม่ได้อยู่ คนที่อยากจากไป ทำยังไงก็ไม่ตายสักที! “ฮีก.. ฮือ” น้ำตาไหลจนเปื้อนหมอน ให้ตาย ทรมานชะมัด... ก๊อก ก๊อก.. เสียงเปิดประตูไม่ทำให้ฉันหันไปมองแม้สักนิด “เป็นยังไงบ้างคะ ทานอะไรหน่อยแล้วทานยานะคะ” พยาบาลปรับเตียงขึ้นให้ฉันนั่ง “อะ เลือดออกอีกแล้ว รอสักครู่นะคะจะไปเอาอุปกรณ์มาทำแผลให้” เธอว่าแล้วเดินออกไป ฉันกระชากผ้าก๊อซที่เปื้อนเลือดออก มองแผลทั้งหมด ในหัวฉายภาพนั้นซ้ำๆ ทำไมถึงไม่ตาย ทำไม ทำไม ทำไม!!!!!!!!! น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ฉันหลับตาลง รู้สึกได้ว่าร้อนตาไปหมด เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง พยาบาลพูดอะไรมาฉันไม่ใส่ใจที่จะฟัง ฉันมองเธอทำแผลให้ ไม่รู้สึกว่าได้ยินอะไรเลย เธอทำแผลแล้วพูดอะไรสักอย่างก่อนเดินออกไปพร้อมรถเข็นชุดทำแผล ฉันนอนมองเพดานห้องสีขาวเงียบๆ ความรู้สึกมันชาไปหมด เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไร เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง “สวัสดีค่ะ” เสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้น ฉันกะพริบตาแล้วหันไปมอง แพทย์หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีส่งยิ้มมาให้ฉัน ฉันยกมือขึ้นสวัสดีช้าๆ จากนั้นเธอก็เริ่มงานของเธอ.. ‘จิตแพทย์’ ฉันนอนโรงพยาบาลในแผนกจิตเวชเป็นเวลาสองเดือน ทำจิตบำบัดและกินยาวันละเป็นกำมือ และรักษาด้วยการใช้ไฟฟ้าอีกครั้ง ฉันทำมันมาจนไม่อยากนับครั้งแล้ว จิตแพทย์แนะนำให้ฉันฉีดยาทุกเดือนเพื่อรับมือกับอาการนี้ แต่คนอย่างฉัน สิ้นหวังขนาดนี้ จำเป็นเหรอที่ต้องพยายามมีชีวิตอยู่ขนาดนั้น อีกอย่างฉันเพิ่งออกจากงานไม่ได้มีเงินมากมายจึงปฏิเสธไป และแม้นี่ไม่ใช่การแอดมิดแผนกจิตเวชครั้งแรกของฉัน ....ฉันไม่รู้สึกเคยชินกับมันเลย คำวินิจฉัยของแพทย์ : Dysthymia/Persistent Depressive Disorder (โรคซึมเศร้าเรื้อรัง) สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ ไนท์ (Night) นับตั้งแต่ออกโรงพยาบาลมาได้ปีกว่า ตอนนี้ฉันเปิดคาเฟ่เล็กๆ อยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ฉันอยากมีร้านเล็กๆ ขายน้ำขายขนมโฮมเมดมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีทุนพอในการสร้างมัน ในร้านมีน้องพนักงานผู้หญิงอีกสองคนมาช่วย คนหนึ่งชื่อ แยม มาช่วยทำขนมอบ อีกคนชื่อ ยิ้ม ยิ้มเก่งสมชื่อ เลยให้ดูแลลูกค้าคอยเสิร์ฟ เพราะฉันไม่เหมาะกับงานนั้นเอาซะเลย วันทำงานให้น้องมาตอนร้านเปิด หยุดทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ร้านเปิด 11:00 – 18:00 น. ฉันเปิดร้านเองและสั่งวัตถุดิบเอง ฉันเอาพายทูน่าเข้าเตาอบ ระหว่างรอก็ไถมือถือเล่นไปเรื่อย ตอนนี้เป็นช่วงสายๆ คนยังไม่เยอะมาก กริ๊ง~ เสียงกระดิ่งหน้าร้านเป็นสัญญาณว่ามีคนเข้าร้านมา ฉันลุกจากหลังร้านไปรับลูกค้า “รับ..อะไรดีคะ” ฉันเงยหน้ามองร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวสแล็คสุภาพสีน้ำตาลเข้ม เสียงฉันหายไปช่วงหนึ่ง เพราะอะไร เพราะเขาหล่อเหรอ? ก็ส่วนหนึ่ง แต่เพราะเขาเป็นคนที่ฉันจำได้ไม่ลืม เจ้าของส่วนสูงไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบห้าแน่ๆ ผิวขาวจนเห็นเส้นเลือดที่แขนชัดมาก มีกล้ามเนื้อสวยงามสมบูรณ์ ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์ตะวันตกล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่ง ดวงตาสีฟ้าเทาเปล่งประกาย ริมฝีปากสีสด แต่.. “คุณ..” เขาพูดขึ้นแล้วยิ้มอย่างยินดี อืม เขาคือคนที่ช่วยฉันในคืนนั้น และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฉันอยากแทรกพื้นร้านลงนรกไปเลยตอนนี้ ประสบการณ์แรกพบไม่น่าประทับใจสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้ายังคงราบเรียบภายใต้แมสก์สีดำ “อ่า สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” ฉันเช็ดเคาท์เตอร์อีกครั้งทั้งที่มันก็สะอาดอยู่แล้ว “มีเมนูแนะนำมั้ยครับ” เขาพูดเสียงนุ่มด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่ ฉันจะมองตาค้างไม่ได้ คิดได้ก็ก้มหน้าทันที “บราวนี่เนื้อฟัดจ์กับโกโก้หรือชาเขียว เป็นเมนูขายดีค่ะ” “งั้นผมขอครัวซองต์กับอเมริกาโน่ร้อน ทานที่ร้านครับ” เขาพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ฉันเงยหน้ามองรู้สึกเคืองเล็กๆ แล้วจะถามทำไม “เงยหน้าแล้ว” ดวงตายิ้มได้ของเขาสบเข้ามาในตาฉันจังๆ ดาเมจแรงมาก.... สรุปที่กวนประสาทก็เพราะอยากให้เงยหน้าเหรอ? “ยิ้มมากๆ นะครับ” “ไม่มีอะไรน่ายิ้มนี่คะ” ฉันพึมพำเบาๆ มือก็ชงอเมริกาโน่จากเครื่องดริฟกาแฟ “เชิญนั่งที่โต๊ะได้เลยค่ะ เสร็จแล้วจะยกไปเสิร์ฟ” “ผมยืนคุยด้วยได้มั้ย” เขาเอาแขนเท้าขอบเคาท์เตอร์ด้านนอกยิ้มๆ “....” ฉันไม่ตอบแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธอะไร มือก็ทำนู้นทำนี่ไป “คุณทำเองทั้งหมดเลยเหรอครับ ขนมพวกนี้” เขาก้มมองขนมในตู้กระจก “ขนมอบทำเองค่ะ แต่ขนมไทยหลายอย่างมีคนฝากมาวาง” ฉันยกถาดแก้วกาแฟกับครัวซองต์ชิ้นใหญ่วางเสิร์ฟบนโต๊ะไม้ทรงน่ารัก เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้ ยกกาแฟขึ้นดมและจิบ “อืม กาแฟดี” ว่าแล้วใช้ส้อมจิ้มครัวซองต์ขึ้นกัด “หื้มมมมม อร่อย! กรอบ หอม นุ่ม” เขาตาโต ซึ่งฉันคิดว่ามันเว่อร์ซะไม่มี แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ดูดี.. “ถ้าคุณอร่อยก็ดีใจค่ะ” ฉันพูดเสียงเรียบแล้วเดินเอาถาดไปเก็บหลังเคาท์เตอร์ “ผมขอเค้กมะพร้าว เค้กส้ม เรดเวลเวด เค้กช็อคหน้านิ่ม อย่างละชิ้น ครัวซองต์สามชิ้น แล้วก็บราวนี่ซิกเนเจอร์อีกหนึ่งถาดครับ” เขาจะเอาไปถมคนไข้รึไง สั่งขนมยาวเหยียดจบแล้วส่งยิ้ม..อบอุ่น? มาให้ ฉันที่ไม่เคยได้รับยิ้มแบบนี้มาก่อนอดรู้สึกดีในใจไม่ได้ .....แต่มันก็เท่านั้น ฉันไม่ควรรู้สึกอะไร ความสัมพันธ์ทุกอย่างล้วนเจ็บปวด ทุกคนในชีวิตเข้ามาเพื่อสร้างแผลให้เรา เพียงแค่รอเวลา เร็วหรือช้าเท่านั้น ทุกคนเหมือนกันทั้งนั้น... พวกเขาล้วนเหมือนกัน... ฉันพยักหน้าช้าๆ เดินไปหยิบกล่องใส่ขนมแล้วค่อยๆ หยิบใส่ลงไปตามชนิดเงียบๆ จัดลงถุงแล้วคิดราคา เขารับถุงไป แล้วจ่ายเงิน “ขอบคุณสำหรับกาแฟกับขนมอร่อยๆ ครับ” เขายิ้มให้ รอยยิ้มเขาให้ความรู้สึกเหมือนถุงน้ำร้อนอุ่นๆ ไม่ร้อนเกินไปในวันที่อากาศเย็น แล้วประคบที่อก มันอุ่นวาบ .....แต่ก็เท่านั้น “คุณจ่ายเงิน เพราะฉะนั้นคนที่ต้องขอบคุณควรเป็นฉันนะคะ” ฉันส่งยิ้มไร้อารมณ์ให้จางๆ ซึ่งเขาคงไม่เห็นมันอยู่ดี “ผมต้องไปแล้ว แล้วจะแวะมาใหม่ พักผ่อนบ้างนะครับ” เขาส่งยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะหยิบถุงเดินออกจากร้านไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD